อุปสมบท

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การให้อุปสมบทแก่พระสงฆ์ในประเทศพม่า

อุปสมบท (อ่านว่า อุปะ อุบปะ-) แปลว่า การเข้าถึง คือการบวชในศาสนาพุทธ ใช้หมายถึงการบวชเป็นภิกษุและภิกษุณี เรียกเต็มว่า อุปสมบท

อุปสมบทเป็นสังฆกรรมอย่างหนึ่ง พระโคตมพุทธเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติไว้รัดกุมและละเอียดมากโดยทรงบัญญัติให้สวดอนุสาวนาไม่ต้องระบุนามแต่ระบุเพียงโคตร (สกุล) ได้และสวดประกาศครั้งละ 2-3 รูปได้โดยมีอุปัชฌายะ และทรงอนุญาตให้นับอายุผู้บวชว่าครบ 20 ปี โดยคิดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ศาสนทายาทที่ดีไว้สืบสานพระศาสนาอย่างแท้จริงไม่ควรจะบวชตามประเพณีที่สืบต่อกันมาเพราะถ้าเป็นส่วนหนึ่งเช่นนั้นแล้วถือว่าท่านกำลังจะสร้างนรกให้กับตนเองอยู่อย่างที่รู้ๆกันประเพณีพึ่งจะมีมาในภายหลังสาเหตุของการบวชจริงๆของอริยสาวกทั้งหลายในครั้งยุคพุทธท่านทั้งหลายมีความดำริอย่างนี้ว่า

"ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลีบรรพชาเป็นโอกาสว่างการที่จะทำให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวเหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้วทำได้ยากในเพศฆราวาสไฉนเลยเราจะพึงปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะออกบวชเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด"

การบวชทั้งหลายพระเถระในครั้งยุคพุทธกาลท่านมีความดำริแบบนี้จึงออกบวชการบวชนี้ไม่ใช่เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ไม่ใช่บวชตามประเพณีไม่ใช่เป็นผู้หนีราชการไม่ใช่เป็นผู้ยากไร้แล้วจึงบวชไม่ใช่เป็นผู้ที่บวชแล้วเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวันๆไม่ได้บวชเพราะเห็นแก่ลาภสักการะไม่ได้บวชเพื่อหวังให้คนกราบไหว้แต่บวชเพราะเห็นว่าเป็นทางสิ้นไปแห่งกองทุกข์ทั้งปวงบวชเพื่อทำความสิ้นไปแห่งอาสวะให้ปรากฎนี้แหละคือสาเหตุที่แท้จริงของการบวชในครั้งยุคพุทธกาล

อนึ่งกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาบรรพชาอุปสมบทควรจะศึกษาเรื่องพระวินัยเสียก่อนอาทิเช่น ปาราชิก 4 และ สังฆาทิเสส อีก 13 ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการดำรงใว้ซึ่งเพศบรรพชิต

ประเภท[แก้]

  1. เอหิภิกขุอุปสัมปทาการอุปสมบทที่กล่าวคำว่าท่านจงมาเป็นภิกษุเถิด เป็นการอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าบวชให้โดยพระองค์เอง
  2. ติสรณคมนูปสัมปทาการอุปสมบทที่ผู้บวชกล่าวว่าพระรัตนตรัยเป็นที็นการอุปสมบทโดยพระเถระที่พระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งอนุญาตแทนพระองค์(เกิดจากการลำบากในการเดินทางมาทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงประทานอุปสมบทให้)
  3. ญัตติจตุตถกรรมวาจาการอุปสมบทด้วยการเห็นชอบของสงฆ์ ตามพระบรมพุทธานุญาติ ที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ (เกิดจากการที่พระพุทธเจ้าทรงมอบให้สงฆ์เป็นผู้ตัดสินใจในการให้อนุญาตกุลบุตรผู้มาขออุปสมบท)

มีการอุปสมบทที่พิเศษแตกต่างไปจากนี้ เช่น การประทานโอวาท ๓ ประการแก่พระมหากัสสปะ การให้อุปสมบทด้วยการประทานครุธรรม๘ประการ แก่พระนางกีสาโคตมี และทรงเปลี่ยนให้การบวชแบบติสรณคมนูปสัมปทา ให้เป็นรูปแบบการบวชของสามเณร สามเณรี สิกขมานา แทน

ส่วนคำว่า บรรพชา ซึ่งหมายถึงการบวชเป็นสามเณรสามเณรี สิกขมานา แม่ชี และพราหมณ์ (ผู้ถืออุโบสถศีล) ส่วนอาชีวัฏฐมกศีลแม้บางคนอาจถือแล้วนุ่งขาวปฏิบัติธรรม แต่จะไม่ใช่การบรรพชาแต่เป็นเพียงการรับศีลที่สูงกว่าปัญจศีลเท่านั้น

บุคคลที่ห้ามบวช[แก้]

ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ 4 มหาวรรค ภาค 1 พระพุทธเจ้าระบุว่าบุคคลดังต่อไปนี้ มิให้อุปสมบท ได้แก่

  1. คนลักเพศ[1]
  2. ผู้นับถือศาสนาอื่น[1]
  3. สัตว์เดรัจฉาน[2]
  4. ผู้ทำมาตุฆาต[3]
  5. ผู้ทำปิตุฆาต[3]
  6. ผู้ฆ่าพระอรหันต์[3]
  7. ผู้ข่มขืนภิกษุณี[4]
  8. ผู้ทำสังฆเภท[4]
  9. ผู้ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต[4]

บุคคล 9 จำพวกนี้ ทรงห้ามมิให้อุปสมบท ที่อุปสมบทไปแล้วก็ให้สึกเสีย

อ้างอิง[แก้]