อุปสมบท
ส่วนหนึ่งของชุดบทความ |
ศาสนาพุทธ |
---|
อุปสมบท (อ่านว่า อุปะ อุบปะ-) แปลว่า การเข้าถึง คือการบวชในศาสนาพุทธ ใช้หมายถึงการบวชเป็นภิกษุและภิกษุณี เรียกเต็มว่า อุปสมบท
อุปสมบทเป็นสังฆกรรมอย่างหนึ่ง พระโคตมพุทธเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติไว้รัดกุมและละเอียดมากโดยทรงบัญญัติให้สวดอนุสาวนาไม่ต้องระบุนามแต่ระบุเพียงโคตร (สกุล) ได้และสวดประกาศครั้งละ 2-3 รูปได้โดยมีอุปัชฌายะ และทรงอนุญาตให้นับอายุผู้บวชว่าครบ 20 ปี โดยคิดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ศาสนทายาทที่ดีไว้สืบสานพระศาสนาอย่างแท้จริงไม่ควรจะบวชตามประเพณีที่สืบต่อกันมาเพราะถ้าเป็นส่วนหนึ่งเช่นนั้นแล้วถือว่าท่านกำลังจะสร้างนรกให้กับตนเองอยู่อย่างที่รู้ๆกันประเพณีพึ่งจะมีมาในภายหลังสาเหตุของการบวชจริงๆของอริยสาวกทั้งหลายในครั้งยุคพุทธท่านทั้งหลายมีความดำริอย่างนี้ว่า
"ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลีบรรพชาเป็นโอกาสว่างการที่จะทำให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวเหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้วทำได้ยากในเพศฆราวาสไฉนเลยเราจะพึงปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะออกบวชเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด"
การบวชทั้งหลายพระเถระในครั้งยุคพุทธกาลท่านมีความดำริแบบนี้จึงออกบวชการบวชนี้ไม่ใช่เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ไม่ใช่บวชตามประเพณีไม่ใช่เป็นผู้หนีราชการไม่ใช่เป็นผู้ยากไร้แล้วจึงบวชไม่ใช่เป็นผู้ที่บวชแล้วเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวันๆไม่ได้บวชเพราะเห็นแก่ลาภสักการะไม่ได้บวชเพื่อหวังให้คนกราบไหว้แต่บวชเพราะเห็นว่าเป็นทางสิ้นไปแห่งกองทุกข์ทั้งปวงบวชเพื่อทำความสิ้นไปแห่งอาสวะให้ปรากฎนี้แหละคือสาเหตุที่แท้จริงของการบวชในครั้งยุคพุทธกาล
อนึ่งกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาบรรพชาอุปสมบทควรจะศึกษาเรื่องพระวินัยเสียก่อนอาทิเช่น ปาราชิก 4 และ สังฆาทิเสส อีก 13 ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการดำรงใว้ซึ่งเพศบรรพชิต
ประเภท[แก้]
- เอหิภิกขุอุปสัมปทาการอุปสมบทที่กล่าวคำว่าท่านจงมาเป็นภิกษุเถิด เป็นการอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าบวชให้โดยพระองค์เอง
- ติสรณคมนูปสัมปทาการอุปสมบทที่ผู้บวชกล่าวว่าพระรัตนตรัยเป็นที็นการอุปสมบทโดยพระเถระที่พระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งอนุญาตแทนพระองค์(เกิดจากการลำบากในการเดินทางมาทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงประทานอุปสมบทให้)
- ญัตติจตุตถกรรมวาจาการอุปสมบทด้วยการเห็นชอบของสงฆ์ ตามพระบรมพุทธานุญาติ ที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ (เกิดจากการที่พระพุทธเจ้าทรงมอบให้สงฆ์เป็นผู้ตัดสินใจในการให้อนุญาตกุลบุตรผู้มาขออุปสมบท)
มีการอุปสมบทที่พิเศษแตกต่างไปจากนี้ เช่น การประทานโอวาท ๓ ประการแก่พระมหากัสสปะ การให้อุปสมบทด้วยการประทานครุธรรม๘ประการ แก่พระนางกีสาโคตมี และทรงเปลี่ยนให้การบวชแบบติสรณคมนูปสัมปทา ให้เป็นรูปแบบการบวชของสามเณร สามเณรี สิกขมานา แทน
ส่วนคำว่า บรรพชา ซึ่งหมายถึงการบวชเป็นสามเณรสามเณรี สิกขมานา แม่ชี และพราหมณ์ (ผู้ถืออุโบสถศีล) ส่วนอาชีวัฏฐมกศีลแม้บางคนอาจถือแล้วนุ่งขาวปฏิบัติธรรม แต่จะไม่ใช่การบรรพชาแต่เป็นเพียงการรับศีลที่สูงกว่าปัญจศีลเท่านั้น
บุคคลที่ห้ามบวช[แก้]
ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ 4 มหาวรรค ภาค 1 พระพุทธเจ้าระบุว่าบุคคลดังต่อไปนี้ มิให้อุปสมบท ได้แก่
- คนลักเพศ[1]
- ผู้นับถือศาสนาอื่น[1]
- สัตว์เดรัจฉาน[2]
- ผู้ทำมาตุฆาต[3]
- ผู้ทำปิตุฆาต[3]
- ผู้ฆ่าพระอรหันต์[3]
- ผู้ข่มขืนภิกษุณี[4]
- ผู้ทำสังฆเภท[4]
- ผู้ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต[4]
บุคคล 9 จำพวกนี้ ทรงห้ามมิให้อุปสมบท ที่อุปสมบทไปแล้วก็ให้สึกเสีย
อ้างอิง[แก้]
- พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช), พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548