อินเกเบิร์กแห่งเดนมาร์ก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อินเกเบิร์กแห่งเดนมาร์ก

อินเกเบิร์กแห่งเดนมาร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส
ประสูติค.ศ. 1175
สิ้นพระชนม์29 กรกฎาคม ค.ศ. 1236
จักรพรรดินีพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศส
อินเกเบิร์กแห่งเดนมาร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส
ราชวงศ์กาเปเซียง
พระบิดาพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 1 แห่งเดนมาร์ก
พระมารดาโซเฟียแห่งมินสก์

อินเกเบิร์กแห่งเดนมาร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Ingeburge de Danemark) (1175 - 29 กรกฎาคม 1236) เป็นพระอัครมเหสีในพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศส และเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส

พระนางอินเกเบิร์กแห่งเดนมาร์ก เสด็จพระราชสมภพเมื่อ ค.ศ. 1175 พระองค์เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 1 แห่งเดนมาร์กกับโซเฟียแห่งมินสก์ พระองค์เป็นพระราชนัดดาของวอร์โลดาร์แห่งมินส์กับริเชซาแห่งโปแลนด์ พระมารดาของพระองค์เป็นพระขนิษฐภคินีของพระเจ้าคนุตมหาราช

พระนางอินเกเบิร์ก ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1193 กับพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศส หลังการสิ้นพระชนม์ของอิซาเบลลาแห่งเฮนนุล์ทพระมเหสีองค์แรกในพระเจ้าฟิลิปที่ 2

การอภิเษกสมรส[แก้]

อิงเกอร์บอร์กอภิเสกสมรสกับพระเจ้าฟิลิปที่ 2 ออกุสตุสแห่งฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1193 หลังการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีคนแรกของฟิลิป อิซาเบลลาแห่งเอโนลต์ พระองค์มีสินสอดก้อนโตที่พระเชษฐา พระเจ้าคนุดที่ 6 แห่งเดนมาร์ก ให้ติดตัวมาด้วย[1] เมื่อแต่งงาน พระองค์ได้รับชื่อใหม่ว่าอิซัมบูร์ วันหลังจากที่แต่งงานกับอิงเกอบอร์ก พระเจ้าฟิลิปเกิดเปลี่ยนใจ และพยายามจะส่งพระองค์กลับเดนมาร์ก อิงเกอบอร์กหนีไปคอนเวนต์ในซวยส์ซงส์ที่พระองค์ได้ยื่นคัดค้านต่อพระสันตะปาปาเซเลสตินที่ 3[2]

สามเดือนหลังการแต่งงาน ฟิลิปเรียกประชุมสภานักบวชในคอมปิเยญและให้วาดผังตระกูลแบบผิดๆ ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์กับอินเกอบอร์กเป็นญาติกันผ่านทางพระมเหสีคนแรกของฟิลิป กฎศาสนาในสมัยนั้นไม่อนุญาตให้ชายแต่งงานกับหญิงที่มีบรรพบุรุษร่วมกันในช่วงเจ็ดรุ่นอายุคน สภาจึงประกาศให้การแต่งงานเป็นโมฆะ[1]

อินเกอบอร์กยื่นคัดค้านอีกครั้งและชาวเดนส่งคณะผู้แทนไปพบพระสันตะปาปาเซเลสตินที่ 3 พวกเขาโน้มน้าวพระองค์ว่าผังตระกูลปลอมนั้นไม่ถูกต้อง แต่พระสันตะปาปาทำเพียงแค่ประกาศให้การประกาศให้เป็นโมฆะไม่ชอบด้วยกฎหมายและห้ามไม่ใหม่ฟิลิปแต่งงานใหม่ ฟิลิปไม่สนใจคำตัดสินของพระสันตะปาปา อินเกอบอร์กใช้เวลาตลอด 20 ปีหลังจากนั้นในสภาพเสมือนถูกจองจำในปราสาทฝรั่งเศสหลายแห่ง ครั้งหนึ่งพระองค์ได้ใช้เวลามากกว่าหนึ่งทศวรรษในปราสาทเอต็อมป์ส์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปารีส พระเชษฐาของพระองค์ พระเจ้าคนุตที่ 6 กับคณะที่ปรึกษายังคงเดินหน้าต่อต้านการประกาศให้เป็นโมฆะต่อไป แหล่งข้อมูลในสมัยนั้นยังระบุด้วยว่าที่ปรึกษาของฟิลิปในฝรั่งเศสหลายคนสนับสนุนอินเกอบอร์ก

เหตุผลทางการเมืองของการอภิเษกสมรสครั้งนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียง แต่ฟิลิปอาจต้องการอะไรที่มากกว่าสายสัมพันธ์กับเดนมาร์กเพราะสองประเทศยืนอยู่คนละฝั่งในเรื่องการสืบทอดบัลลังก์ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต พระองค์อาจอยากได้พันธมิตรมาช่วยต่อสู้กับราชวงศ์อ็องฌูแว็งที่เป็นอริ ทรงขอการสนับสนุนจากกองเรือเดนมาร์กเป็นเวลาหนึ่งปีกับสิทธิ์ในการอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์อังกฤษของเดนมาร์กเป็นสินสอด พระเชษฐาของอิงเกอบอร์ก พระเจ้าคนุตที่ 6 ยอมให้แค่เงิน 10,000 มาร์กเป็นสินสอด การแต่งงานถูกเจรจาผ่านทางที่ปรึกษาของฟิลิป แบร์นาร์ด์แห่งแว็งเซนส์ กับกีล์โยม พระอธิการแห่งอารามเอเธลโฮล์ตของเดนมาร์ก

การปกป้องที่ได้รับ[แก้]

พระสันตะปาปาเซเลสตินปกป้องพระราชินีแต่ก็ช่วยพระองค์ได้ไม่มาก ฟิลิปขอให้พระสันตะปาปาประกาศให้การแต่งงานเป็นโมฆะด้วยเหตุผลว่าไม่สมบูรณ์เนื่องจากโดนคุณไสยทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ[1] ฟิลิปไม่เคยใยดีอิงเกอบอร์ก แต่อิงเกอบอร์กยืนกรานว่าการแต่งงานสมบูรณ์แล้ว และพระองค์เป็นพระมเหสีและพระราชินีแห่งฝรั่งเศสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ฟิลิปแต่งงานกับแอ็กเนสแห่งเมราเนียในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1196 ทว่าในปี ค.ศ. 1198 พระสันตะปาปาคนใหม่ อินโนเซนต์ที่ 3 ประกาศให้การแต่งงานครั้งนี้เป็นโมฆะเนื่องจากการแต่งงานครั้งก่อนยังคงถูกต้องในทางกฎหมาย พระองค์สั่งให้ฟิลิปไล่แอ็กเนสไปและรับอินเกอบอร์กกลับมา อินเกอบอร์กเขียนจดหมายถึงพระองค์ กล่าวว่าถูกทำร้ายและถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว และอ้างว่าทรงคิดที่จะฆ่าตัวตายเพราะได้รับการปฏิบัติที่โหดร้าย

ฟิลิปตอบโต้ด้วยการขังอินเกอบอร์กไว้ในชาโตเดต็อมป์ในเอสซอน อินเกอบอร์กถูกขังไว้ในหอคอยเป็นนักโทษ ได้รับอาหารไม่บ่อยนักและบางครั้งก็ไม่เพียงพอ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าพบพระองค์[3] ยกเว้นครั้งเดียวที่อนุศาสนาจารย์ชาวเดนมาร์กสองคนได้รับอนุญาตให้เข้าพบพระองค์ได้ ขณะเดียวกันฟิลิปพาแอ็กเนสกลับมาและอยู่กินกันต่อไป ทรงมีพระโอรสธิดาด้วยกันสองคน เป็นพระโอรสหนึ่งคน การฝ่าฝืนคำสั่งทำให้ฟิลิปถูกตัดขาดออกจากศาสนาในปี ค.ศ. 1200 และเมื่อกษัตริย์ไม่ยอมเชื่อฟัง พระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 จึงให้ฝรั่งเศสโดนคำสั่งห้ามในปี ค.ศ. 1199 จนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1200 เมื่อฟิลิปกล่าวว่าจะยอมเชื่อฟัง ต่อมาพระองค์ผิดคำสัญญานั้น แอ็กเนสตายในปีต่อมา

ในปี ค.ศ. 1201 ฟิลิปขอให้พระสันตะปาปาประกาศให้พระโอรสธิดาของพระองค์เป็นบุตรตามกฎหมาย และพระสันตะปาปายอมสนับสนุนพระองค์ในทางการเมือง ทว่าต่อมาในปีนั้นฟิลิปขอให้ประกาศให้การแต่งงานเป็นโมฆะอีกครั้ง โดยอ้างว่าอิงเกอบอร์กพยายามทำเสน่ห์ใส่พระองค์ในคืนแต่งงานจนทำให้พระองค์ไม่สามารถทำให้การแต่งงานสมบูรณ์ได้ พระองค์จึงขอหย่าด้วยข้อหาใช้เวทมนตร์คุณไสย ความพยายามครั้งนี้ล้มเหลวเช่นเคย

การคืนดีและชีวิตในบั้นปลาย[แก้]

ฟิลิปคืนดีกับอินเกอบอร์กในปี ค.ศ. 1213 ไม่ใช่เพราะความบริสุทธิ์ใจแต่เพราะพระองค์ต้องการอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ของราชอาณาจักรอังกฤษผ่านทางสายสัมพันธ์กับราชบัลลังก์เดนมาร์ก ต่อมาบนเตียงสิ้นพระชนม์ของพระองค์ในปี ค.ศ. 1223 ว่ากันว่าพระองค์บอกพระโอรส หลุยส์ที่ 8 ให้ดูแลอิงเกอบอร์กให้ดี ต่อมาทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 และหลุยส์ที่ 9 ต่างยอมรับอิงเกอบอร์กเป็นพระราชินีที่ถูกต้องตามกฎหมาย ภายหลังอิงเกอบอร์กใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่ในศาสนสำนักแซงต์-ฌอง-เดอ-อีลที่ทรงก่อตั้งขึ้นมา ทรงสิ้นพระชนม์หลังพระสวามี 14 ปี อิงเกอบอร์กแห่งเดนมาร์กสิ้นพระชนม์ไม่ในปี ค.ศ. 1237 ก็ปี ค.ศ. 1238 และถูกฝังที่โบสถ์แห่งคำบัญชาของนักบุญยอห์นในคอร์เบล[4]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 "Ingeborg of Denmark, queen of France", Epistolae, Columbia University
  2. "Ingeborg, Dronning af Frankrig, o.1175-o.1237". Dansk biografisk Lexikon. Retrieved August 1,2018.
  3. Le Château (Léon Guibourgé, Étampes, ville royale, 1957, pp. 227-230)
  4. "Ancienne chapelle de la commanderie de Saint-Jean-en-l'Ile". Observatoire du Patrimoine Religieux. Retrieved August 1, 2018.
  • Alex Sanmark - The Princess in the Tower (History Today February 2006)