สงครามฝิ่นครั้งที่สอง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สงครามฝิ่นครั้งที่สอง
ส่วนหนึ่งของ สงครามฝิ่น

ภาพวาดสะพานปาลิเกียว ช่วงเวลาเย็นของยุทธการที่สะพานปาลิเกียวที่ถูกวาดโดย Émile Bayard
วันที่8 ตุลาคม ค.ศ. 1856 – 24 ตุลาคม ค.ศ. 1860 (4 ปี, 2 สัปดาห์, 2 วัน)
สถานที่
ผล

ฝรั่งเศส-อังกฤษได้รับชัยชนะ

ดินแดน
เปลี่ยนแปลง
  • คาบสมุทรเกาลูนและเกาะสโตนคัตเตอร์สยกให้แก่สหราชอาณาจักรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ฮ่องกง
  • แมนจูเรียภายนอกยกให้แก่จักรวรรดิรัสเซีย
  • คู่สงคราม

    สหรัฐ สหรัฐ
    ราชวงศ์ชิง ราชวงศ์ชิง
    ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ

    กำลัง
    • บริติช: 13,127 นาย[1]
    • ฝรั่งเศส: 7,000 นาย[2]
    7400 นาย[ต้องการอ้างอิง]
    (แปดกองธงและกองทัพค่ายเขียว)
    ความสูญเสีย

    2900 นาย[3]รวมทั้ง  สหราชอาณาจักร

    • เสียชีวิต 134 นาย, บาดเจ็บ 642 นาย
    • เรือปืนถูกจม 3 ลำ
    • เรือปืนถูกสกัดกั้น 3 ลำ
    • เรือบดถูกทำลาย 1 ลำ
    • เรือปืนได้รับความเสียหาย 1 ลำ[ต้องการอ้างอิง]

    ฝรั่งเศส

     สหรัฐ

    • เสียชีวิต 11 นาย, บาดเจ็บ 23 นาย
    • เรือสลุปได้รับความเสียหาย 2 ลำ
    • เรือบดได้รับความเสียหาย 1 ลำ[ต้องการอ้างอิง]

     ราชวงศ์ชิง

    • เสียชีวิตและบาดเจ็บ 2,100–2,801 นาย
    • ถูกจับกุม 2,100 นาย
    • ป้อม 10+ แห่ง ถูกยึด
    • ปืน 736 กระบอกและชิ้นส่วนปืนใหญ่ถูกยึด
    • เรือสำเภาสงคราม 99–109+ ลำ ถูกยึดหรือถูกทำลาย[ต้องการอ้างอิง]
    1 สหรัฐได้วางตัวเป็นกลางอย่างเป็นทางการ แต่ภายหลังได้ให้ความช่วยเหลือแก่อังกฤษในยุทธการที่ป้อมแบริเออร์ (ค.ศ. 1856)และยุทธการที่ป้อมต้ากู๋ (ค.ศ. 1859).[4]

    สงครามฝิ่นครั้งที่สอง (จีน: 第二次鴉片戰爭; พินอิน: Dì'èrcì Yāpiàn Zhànzhēng, ตี้เอ้อร์ชื่ออาเพี่ยนจ้านเจิง), ยังเป็นที่รู้จักกันคือ สงครามอังกฤษ-จีนครั้งที่สอง, สงครามจีนครั้งที่สอง, สงครามแอร์โรว, หรือ การเดินทางเข้าสู่จีนของอังกฤษ-ฝรั่งเศส,[5][ต้องการอ้างอิงเต็มรูปแบบ] เป็นสงครามอาณานิคมซึ่งกินเวลา ตั้งแต่ ค.ศ. 1856 ถึง ค.ศ. 1860, ซึ่งจักรวรรดิบริติชและจักรวรรดิฝรั่งเศสร่วมมือกันทำสงครามกับราชวงศ์ชิงของจีน

    เป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ครั้งที่สองในสงครามฝิ่น ซึ่งต่อสู้รบเพื่อสิทธิ์ในการนำเข้าฝิ่นสู่จีน และส่งผลทำให้ราชวงศ์ชิงพ่ายแพ้เป็นครั้งที่สอง และการบีบบังคับให้การค้าฝิ่นถูกกฏหมาย ทำให้เหล่าข้าราชการจีนหลายคนเชื่อว่าความขัดแย้งกับมหาอำนาจตะวันตกไม่ใช่เป็นการทำสงครามแบบโบราณอีกต่อไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตชาติที่กำลังใกล้เข้ามา

    ใน ค.ศ. 1860 กองกำลังทหารอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าประชิดใกล้กับกรุงปักกิ่งและเข้าต่อสู้รบเพื่อบุกเข้าไปในเมือง การเจรจาสันติภาพได้ยุติลงอย่างรวดเร็ว และข้าหลวงใหญ่แห่งอังกฤษประจำจีนได้สั่งให้กองทหารต่างชาติบุกเข้าปล้นสะดมและทำลายพระราชวังฤดูร้อน ซึ่งเป็นพระราชวังและสวนหลวงที่พระจักรพรรดิต้าชิงใช้เป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดิน

    ในระหว่างและหลังสงครามฝิ่นครั้งที่สอง รัฐบาลชิงถูกบีบบังคับให้ลงนามสนธิสัญญากับรัสเซีย เช่น สนธิสัญญาไอกุน และอนุสัญญาปักกิ่ง ส่งผลทำให้จีนต้องยกดินแดนที่มีพื้นที่ประมาณมากกว่า 1.5 ล้านตารางกิโลเมตรให้แก่รัสเซียในทางตะวันออกเฉียงเหนือและทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง รัฐบาลชิงสามารถพุ่งความสนใจไปที่การปราบกบฎไท่ผิงและรักษาการปกครองของตนเองเอาไว้ได้ นอกเหนือสื่งอื่นใด อนุสัญญาปักกิ่งต้องยกคาบสมุทรเกาลูนให้กับอังกฤษซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฮ่องกง

    ชื่อ[แก้]

    คำว่า "ครั้งที่สอง"และ"สงครามแอร์โรว์" ต่างก็ถูกใช้ในวรรณกรรม สงครามฝิ่นครั้งที่สองหมายถึงหนึ่งในเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของอังกฤษ เพื่อทำให้การค้าฝิ่น[6]ถูกกฏหมาย ความพ่ายแพ้ของจีนยังเป็นการเปิดประเทศจีนทั้งหมดให้กับพ่อค้าอังกฤษและยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าต่างประเทศจากทางผ่านภายในประเทศ คำว่า "สงครามแอร์โรว์" หมายถึง ชื่อของเรือซึ่งเป็นตัวจุดชนวนของความขัดแย้งนี้[7]

    อ้างอิง[แก้]

    1. Frontier and Overseas Expeditions from India. Volume 6. Calcutta: Superintendent Government Printing. 1911. p. 446.
    2. Wolseley, G. J. (1862). Narrative of the War with China in 1860. London: Longman, Green, Longman, and Roberts. p. 1.
    3. https://www.thoughtco.com/the-first-and-second-opium-wars-195276[URL เปล่า]
    4. Magoc, Chris J.; Bernstein, David (2016). Imperialism and Expansionism in American History. Volume 1. Santa Barbara, California: ABC-CLIO. p. 295. ISBN 978-1-61069-430-8.
    5. Michel Vié, Histoire du Japon des origines a Meiji, PUF, p. 99. ISBN 2-13-052893-7.
    6. Bickley, Gillian (2018-04-19). "Young American's first-hand account of second opium war". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2023-01-03.
    7. He, Tao. "British Imperialism in China | Guided History". Boston University (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2023-01-03.