ปืนเล็กยาว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
M1903 Springfield M16A1
บน: ปืนเล็กยาวเบเกอร์สมัยศตวรรษที่ 19
กลาง: ปืนเล็กยาวเอ็ม1903 สปริงฟิลด์ ปืนเล็กยาวแบบลูกเลื่อนช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ล่าง: M16A1 ปืนเล็กยาวจู่โจมขับดันด้วยแก๊สและบรรจุกระสุนในซองกระสุนยุคแรก ๆ


ปืนเล็กยาว หรือ ไรเฟิล (อังกฤษ: Rifle) เป็นอาวุธปืนที่มีขนาดยาว ถูกออกแบบมาเพื่อการยิงทำลายเป้าหมายที่อยู่ในระยะไกลโดยเฉพาะ โดยจะมีพานท้ายสำหรับใช้ประทับร่องไหล่ เพื่อช่วยในการเล็งหาเป้าหมาย ภายในลำกล้องมีการเซาะให้เป็นสันและร่องเกลียวที่ผนังลำกล้อง ซึ่งสันเกลียวเรียกว่า "Land" ส่วนร่องเกลียวเรียกว่า "Groove" ซึ่งสันเกลียวนี้จะสัมผัสกับหัวกระสุนและรีดหัวกระสุนไปตามสันเกลียวและหมุนควงรอบตัวเอง เพื่อรักษาการเคลื่อนที่ของหัวกระสุนไม่ให้ตีลังกาในอากาศและเพื่อเพิ่มความแม่นยำตลอดจนอานุภาพสังหาร เทียบได้กับการขว้างลูกบอลในกีฬาอเมริกันฟุตบอลหรือกีฬารักบี้ คำว่า "ไรเฟิล (Rifle)" นั้นมาจากคำว่า Rifling ซึ่งแปลว่าการทำให้เป็นร่อง นิยมใช้เป็นอาวุธของทหารในสงคราม การล่าสัตว์ และกีฬายิงปืน

ในทางทหารแล้วคำว่า "ปืน (Gun)" ไม่ได้หมายถึงปืนเล็กยาว ในทางทหารคำว่า "ปืน (Gun)" หมายถึง ปืนใหญ่ นอกจากนี้ ในงานนวนิยายหลายเรื่อง คำว่าปืนเล็กยาวหรือปืนไรเฟิลจะหมายถึงอาวุธใด ๆ ก็ตามที่มีพานท้ายและต้องประทับบ่าก่อนยิง ถึงแม้ว่าอาวุธดังกล่าวจะไม่ได้ทำร่องในลำกล้องหรือไม่ได้ยิงกระสุนก็ตาม

คำอธิบาย[แก้]

ร่องที่เป็นเกลียวในลำกล้องของปืนเล็กยาว

ในอดีต ปืนเล็กยาวจะถูกนิยมใช้ในกลุ่มนักแม่นปืน ในขณะที่ทหารราบจะนิยมใช้ปืนคาบศิลาในการเข้าปะทะ เนื่องจากคนในสมัยก่อนคิดว่าปืนคาบศิลามีความรุนแรงกว่าปืนเล็กยาว ซึ่งจะยิงกระสุนกลม ๆ ซึ่งอาจมีขนาดถึง 19 ม.ม. (0.75 นิ้ว)จนกระทั่ง เบนจามิน โรบินส์ นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ค้นพบว่ากระสุนของปืนเล็กยาวนั้น จะพุ่งได้เร็วกว่ากระสุนแบบกลมของปืนคาบศิลา แต่ทว่า งานของโรบินส์และคนอื่นๆนั้น กว่าจะได้การยอมรับก็ต้องรอจนถึงช่วงประมาณศตวรรษที่ 18

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ปืนเล็กยาวก็ถูกพัฒนา มีการปรับปรุงให้เหมาะสม จนกระทั่งปืนคาบศิลาเริ่มถูกแทนที่ด้วยปืนเล็กยาว จากนั้น ปืนเล็กยาวก็เริ่มมีพานท้าย เพื่อประทับยิง ปืนเล็กยาวของกองทัพในช่วงแรก ๆ อย่างเช่น ปืนไรเฟิลบาร์คเกอร์ จะมีขนาดสั้นกว่าปืนคาบศิลา และมักจะถูกใช้โดยพลแม่นปืน จนกระทั่งใกล้ช่วงศตวรรษที่ 20 ปืนเล็กยาวก็เริ่มมีความยาวมากขึ้น เช่น ปืน 1890 มาตินี่ เฮนรี่ มีความยาวเกือบ 2 เมตร และติดดาบปลายปืนสำหรับจ้วงแทงศัตรูในระยะประชิดได้ และด้วยความต้องการอาวุธปืนยาวที่กระชับมากขึ้นของเหล่าทหารม้าทำให้มีการพัฒนาปืนเล็กสั้น (Carbine) ขึ้นมา

เอเค 47

ผู้ใช้ปืนเล็กยาวมักจะติดดาบปลายปืน (Bayonet) ไว้ตรงบริเวณด้านล่างของปากลำกล้อง ซึ่งจะมีจุดให้ติดดาบปลายปืน เพื่อใช้สำหรับฟันและจ้วงแทงศัตรูที่เข้ามาโจมตีในระยะประชิด นอกจากดาบปลายปืนแล้ว พานท้ายของปืนเล็กยาวก็สามารถใช้ทุบตีศัตรูให้บาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ มีการนำปืนเล็กยาวมาใช้ในสงครามใหญ่ๆเพื่อการป้องกันและการโจมตี เป็นจำนวนมาก โดยในช่วงเวลานั้น ทหารในหลายๆประเทศ ยังคงใช้ ปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อน รุ่นต่าง ๆ เป็นอาวุธหลักในการรบเป็นส่วนใหญ่ เช่นในช่วงของ สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น, สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, สงครามโลกครั้งที่สอง รวมไปถึงช่วง สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง, สงครามเกาหลี และในบางช่วงของ สงครามเวียดนาม เป็นต้น

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปืนเล็กยาวถือว่าเป็นอาวุธที่ใช้ต่อต้านอากาศยานของฝ่ายศัตรูได้ โดยการให้ทหารที่มีปืนเล็กยาวรุมยิงกระสุนขึ้นไปใส่เครื่องบินรบของฝ่ายศัตรู โดยมีเป้าหมายที่ตัวนักบินและโครงสร้างของเครื่องบิน เนื่องจากโครงสร้างของเครื่องบินรบในยุคนั้นยังไม่ได้ถูกพัฒนาด้วยวัสดุที่แข็งแกร่งมากนั้น ทำให้ปืนเล็กยาวสามารถสร้างความเสียหายให้กับเครื่องบินรบในยุคนั้นได้อย่างมาก

ประเภทของปืนเล็กยาว[แก้]

1.ปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อน หรือ Bolt-action rifle เป็นประเภทของปืนเล็กยาวที่ยิงกระสุนออกไปได้เพียงทีละนัด อาศัยการงัดแล้วดึงคันรั้งลูกเลื่อนด้วยตัวผู้ใช้เองหลังจากการยิงกระสุนแต่ละนัดเพื่อขับปลอกกระสุนออกจากตัวปืน และการดันแล้วพับคันรั้งลูกเลื่อนเก็บไว้ด้วยตัวผู้ใช้เองเพื่อเตรียมการยิงกระสุนนัดต่อไป ปืนเล็กยาวประเภทนี้เป็นปืนเล็กยาวที่เก่าแก่ แต่ได้รับการพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน แม้หนึ่งกระบอกของปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อนจะไม่สามารถยิงทำลายเป้าหมายที่มีจำนวนมากกว่าได้อย่างรวดเร็วนัก เมื่อเทียบกับปืนเล็กยาวระบบกึ่งอัตโนมัติและปืนเล็กยาวจู่โจม แต่พลังในการยิงของปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อนนั้นมีสูงมาก เพียงพอที่จะยิงทำลายเป้าหมายที่อยู่ในระยะไกลได้อย่างแม่นยำ ในช่วงต้นของศตวรรษที่ยี่สิบ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง) ปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อนจำนวนมากถูกนำมาใช้เป็นอาวุธหลักของทหารราบบนแนวหน้าทั่วโลก เช่นเดียวกับระเบิดมือ และปืนกลประเภทต่างๆ อีกทั้งยังเป็นอาวุธหลักของพลซุ่มยิงในสนามรบอีกด้วย จนกระทั่งถึงช่วงต้นและช่วงกลางของสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเริ่มมีการผลิตและพัฒนาปืนเล็กยาวระบบกึ่งอัตโนมัติอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาให้ทหารใช้ยิงต่อสู้ฝ่ายศัตรูเพื่อกุมความได้เปรียบในการยิงปะทะ นับตั้งแต่นั้นมา ปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อนจึงลดบทบาทลงจนกระทั่งปืนเล็กยาวระบบกึ่งอัตโนมัติและปืนเล็กยาวจู่โจมได้เข้ามาเป็นอาวุธหลักของทหารจำนวนมากทั่วโลกในช่วงต้นและช่วงกลางของยุคสงครามเย็น แทนที่ปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อนไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม ปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อนยังคงได้รับการผลิตและพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน โดยยังมีกลุ่มผู้ใช้หลัก อย่าง พลซุ่มยิงของทหาร ไปจนถึงเหล่าพรานป่า ดังเช่นในอดีต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยวัสดุที่นำมาสร้างเครื่องบินรบนั้นยังไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าวัสดุในการสร้างเครื่องบินรบในยุคต่อๆมา ปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อนจึงเป็นหนึ่งในอาวุธที่สามารถทำลายเครื่องบินรบของศัตรูที่อยู่ในระยะยิงได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับปืนกลและปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ตัวอย่างของปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อน เช่น ปืน MAS-36 และ Lebel 1886 จากประเทศฝรั่งเศส, ปืน Karabiner 98 kurz หรือ Kar98k และปืน Gewehr 98 จากประเทศเยอรมนี, ปืน Lee–Enfield จากสหราชอาณาจักร, ปืน M1903 Springfield จากสหรัฐอเมริกา, ปืน Carcano จากประเทศอิตาลี, ปืน Mosin–Nagant จากประเทศรัสเซียและสหภาพโซเวียต, ปืน อะริซากะ (Arisaka) จากประเทศญี่ปุ่น และปืนเล็กยาว 66 หรือ ปลย.66 ของประเทศไทย

2.ปืนเล็กยาวระบบกึ่งอัตโนมัติ หรือ Semi-automatic rifle เป็นประเภทของปืนเล็กยาวที่ยิงกระสุนออกไปได้ทีละนัด แต่มีกลไกที่สามารถขับปลอกกระสุนออกจากตัวปืนได้ด้วยตัวเอง (คล้ายกับปืนพกระบบกึ่งอัตโนมัติ) จึงทำให้หนึ่งกระบอกของปืนเล็กยาวประเภทนี้ สามารถยิงทำลายเป้าหมายที่มีจำนวนมากกว่าได้มากขึ้นและเร็วขึ้น เมื่อเทียบกับปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อน แม้ว่าส่วนใหญ่แล้ว ระยะการยิงของปืนเล็กยาวระบบกึ่งอัตโนมัติอาจจะไม่ได้มีมากเท่าปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อนก็ตาม แต่ปืนเล็กยาวระบบกึ่งอัตโนมัติก็สามารถทำให้ผู้ใช้ได้เปรียบในการเข้าปะทะและยิงต่อสู้ศัตรูได้อย่างแน่นอน ปืนเล็กยาวประเภทนี้ มีใช้อย่างแพร่หลายในสงครามโลกครั้งที่สองและช่วงสงครามเย็น ก่อนที่ปืนเล็กยาวจู่โจมรุ่นต่างๆจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการสงคราม ตัวอย่างของปืนเล็กยาวระบบกึ่งอัตโนมัติ เช่น ปืน M1 Garand และปืน M1 Carbine จากสหรัฐอเมริกา, ปืน SVT-40 และปืน SKS จากสหภาพโซเวียต และ ปืน Gewehr 43 จากประเทศเยอรมนี

3.ปืนเล็กยาวจู่โจม หรือ Assault rifle เป็นประเภทของปืนเล็กยาวที่สามารถยิงได้ทั้งในแบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งจะยิงกระสุนโจมตีเป้าหมายทีละนัด และแบบยิงกระสุนโจมตีเป้าหมายเป็นชุด ตัวอย่างของปืนเล็กยาวจู่โจม เช่น ปืน StG 44 จากประเทศเยอรมนี, ปืน M16 จากสหรัฐอเมริกา, ปืน Heckler & Koch HK33 จากประเทศเยอรมนี(ตะวันตก) และ ปืน AK-47 จากสหภาพโซเวียต

4.ปืนเล็กยาวต่อสู้รถถัง หรือ Anti-tank rifle

5.ปืนเล็กยาวต่อสู้ หรือ Battle rifle