นิตตะ โยชิซาดะ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นิตตะ โยชิซาดะ (ญี่ปุ่น: 新田 義貞โรมาจิNitta Yoshisada ค.ศ. 1300 ถึง ค.ศ. 1338) ซามูไรซึ่งมีช่วงชีวิตอยู่ในปลายยุคคามากูระและต้นยุคมูโรมาจิ เป็นผู้ล้มล้างรัฐบาลโชกุนคามากูระ

นิตตะ โยชิซาดะ

นิตตะ โยชิซาดะ เป็นโกเกนิง (ญี่ปุ่น: 御家人โรมาจิGokenin ) หรือซามูไรผู้ปกครองผืนดินอยู่ที่เมืองนิตตะ (ปัจจุบันอยู่ที่เมืองโอตะ จังหวัดกุมมะ) ในแคว้นโคซูเกะ (ญี่ปุ่น: 上野โรมาจิKōzuke) ตระกูลนิตตะสืบเชื้อสายมาจากตระกูลเซวะเง็งจิ (ญี่ปุ่น: 清和源氏โรมาจิSeiwa Genji ) เฉกเช่นเดียวกับตระกูลอาชิกางะ ในค.ศ. 1333 จักรพรรดิโกะ-ไดโงะ ทรงประกาศเชื้อเชิญให้บรรดาซามูไรทั้งหลายที่ไม่พอใจการปกครองของรัฐบาลโชกุนเมืองคามากูระเข้าร่วมกับกองกำลังของพระองค์ในการล้มล้างรัฐบาลโชกุนฯ เรียกว่า สงครามปีเก็งโก (ญี่ปุ่น: 元弘の乱โรมาจิGenkō no ran) ในขณะที่อาชิกางะ ทากาอูจิ (ญี่ปุ่น: 足利 尊氏โรมาจิAshikaga Takauji ) ยึดเมืองเกียวโตถวายแด่พระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะนั้น นิตตะ โยชิซาดะ ยกทัพจากแคว้นโคซูเกะทางไปทางใต้เพื่อเข้ายึดเมืองคามากูระ หลังจากที่มีชัยชนะเหนือทัพของรัฐบาลโชกุนในยุทธการที่บูไบงาวาระ (ญี่ปุ่น: 分倍河原โรมาจิBubaigawara เมืองฟูจูในโตเกียวปัจจุบัน) นิตตะ โยชิซาดะจึงยกทัพเข้าประชิดเมืองคามากูระ แต่ทว่าชัยภูมิของเมืองคามากูระมีภูเขาล้อมรอบสามด้าน การโจมตีเมืองคามากูระนั้นต้องผ่านทางทะเลผ่านแหลมอินามูรางาซากิ (ญี่ปุ่น: 稲村ケ崎โรมาจิInamuragasaki) นิตตะ โยชิซาดะ จึงทำพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าแห่งทะเล โดยการโยนดาบลงไปในทะเล หลังจากเสร็จสิ้นพิธีคลื่นทะเลกลับเปลี่ยนทิศไปในทางที่ส่งเสริมทัพของโยชิซาดะ โยชิซาดะจึงสามารถยึดเมืองคามากูระได้ ผู้สำเร็จราชการคนสุดท้ายคือ โฮโจ ทากาโตกิ (ญี่ปุ่น: 北条高時โรมาจิHōjō Takatoki) ทำการเซ็ปปูกุเสียชีวิตไปพร้อมกับขุนนางซามูไรทั้งหลายในรัฐบาลโชกุนคามากูระ

นิตตะ โยชิซาดะ ทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าแห่งทะเล ที่แหลมอินามูรางาซากิ

หลังจากการล่มสลายของรัฐบาลคามากูระ จักรพรรดิโกะ-ไดโงะทรงก่อตั้งการปกครองขึ้นมาใหม่โดยมีอำนาจและศูนย์กลางอยู่ที่ราชสำนักเมืองเกียวโต ดังที่เคยเป็นมาในยุคเฮอัง และลดอำนาจของชนชั้นซามูไร เรียกว่า การฟื้นฟูปีเค็มมุ (Kemmu Restoration) สร้างความไม่พอใจให้แก่ชนชั้นซามูไรโดยทั่วไป ในค.ศ. 1335 อาชิกางะ ทากาอูจิ แยกตนออกไปเพื่อก่อตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่นิตตะ โยชิซาดะ ยังคงจงรักภักดีต่อพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ โดยที่นิตตะ โยชิซาดะ เป็นคู่แข่งคนสำคัญของอาชิกางะ ทากาอูจิ นิตตะ โยชิซาดะ ยกทัพไปปราบอาชิกางะ ทากาอูจิ ที่เมืองคามากูระแต่พ่ายแพ้ ทำให้อาชิกางะ ทากาอูจิ สามารถยกทัพเข้าประชิดเมืองเกียวโตได้ คูซูโนกิ มาซาชิเงะ (ญี่ปุ่น: 楠木 正成โรมาจิKusunoki Masashige) ป้องกันเมืองเกียวโตได้สำเร็จทำให้ทากาอูจิต้องถอยร่นไป

ในค.ศ. 1336 อาชิกางะ ทากาอูจิ ยกทัพมาอีกครั้งเป็นทัพขนาดใหญ่ทั้งทางบกและทางทะเลเข้ามายังเมืองเกียวโต คูซูโนกิ มาซาชิเงะ เสนอว่าควรจะให้จักรพรรดิโกะ-ไดโงะเสด็จออกจากนครเกียวโตไปก่อนเพื่อไปทำการตั้งรับนอกเมือง เนื่องจากทัพของอาชิกางะมีขนาดใหญ่ แต่นิตตะ โยชิซาดะ ยืนกรานที่จะตั้งรับอยู่ภายในนครหลวงเกียวโต ในยุทธการที่แม่น้ำมินาโตะ (ญี่ปุ่น: 湊川の戦いโรมาจิMinatogawa-no-tatakai) ทัพของนิตตะ โยชิซาดะ ถูกโจมตีจนถอยร่นไป ส่งผลให้ทัพของฝ่ายพระจักรพรรดิพ่ายแพ้ต่อทัพของอาชิกางะ อาชิกางะ ทากาอูจิ สามารถเข้ายึดนครเกียวโตได้ นิตตะ โยชิซาดะ จึงนำองค์จักรพรรดิโกะ-ไดโงะเสด็จหลบหนีไปยังวัดเขาฮิเอ ชานเมืองเกียวโต และเสด็จหนีต่อไปยังเมืองโยชิโนะ (ญี่ปุ่น: 吉野โรมาจิYoshino ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนาระ) เพื่อก่อตั้งราชสำนักขึ้นมาใหม่ที่นั่น กลายเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายใต้ ในขณะที่อาชิกางะ ทากาอูจิ ก็ตั้งองค์จักรพรรดิขึ้นใหม่อีกองค์ที่เมืองเกียวโต ซึ่งต่อมากลายเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายเหนือ เป็นจุดเริ่มต้นของ ยุคราชวงศ์เหนือใต้ (ญี่ปุ่น: 南北朝โรมาจิNanboku-chō)

ในค.ศ. 1337 จักรพรรดิโกะ-ไดโงะมีพระราชโองการให้นิตตะ โยชิซาดะ นำพระโอรสสองพระองค์คือ เจ้าชายทากานางะ (ญี่ปุ่น: 尊良親王โรมาจิTakanaga shinnō) และเจ้าชายสึเนนางะ (ญี่ปุ่น: 恒良親王โรมาจิTsunenaga shinnō) เสด็จไปยังแคว้นเอจิเซ็ง (ญี่ปุ่น: 越前โรมาจิEchizen จังหวัดฟูกูอิในปัจจุบัน) ทางตะวันออกอันห่างไกลเพื่อสร้างกองกำลังขึ้นมาเพื่อยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลโชกุนอาชิกางะ แต่ทว่าทัพของรัฐบาลโชกุนใหม่ยกทัพติดตามมา ทำให้นิตตะ โยชิซาดะ และเจ้าชายทั้งสองถูกทัพของรัฐบาลโชกุนฯ ห้อมล้อมอยู่ที่ป้อมคาเนงาซากิ (ญี่ปุ่น: 金ヶ崎โรมาจิKanegasaki) ต่อมาป้อมคาเนงาซากิแตกทัพของรัฐบาลโชกุนฯ สามารถเข้ายึดป้อมได้ นิตตะ โยชิอากิ (ญี่ปุ่น: 新田義顕โรมาจิNitta Yoshiaki) บุตรชายคนโตของโยชิซาดะ ทำการเซ็ปปูกุเสียชีวิต เจ้าชายทั้งสองพระองค์ถูกปลงพระชนม์ ส่วนนิตตะ โยชิซาดะนั้น หลบหนีออกไปได้ ในค.ศ. 1338 โยชิซาดะรวบรวมกำลังเข้าโจมตีป้อมคูโรมารุ (ญี่ปุ่น: 黒丸โรมาจิKuromaru) ซึ่งเป็นป้อมของรัฐบาลโชกุนฯ ในขณะการสู้รบที่ป้อมคูโรมารุ ม้าของโยชิซาดะต้องธนูและล้มทับร่างของโยชิซาดะทำให้ไม่สามารถขยับได้ เมื่อเห็นว่าตนเองกำลังพ่ายแพ้ ตามวรรณกรรมเรื่อง "ไทเฮกิ" (ญี่ปุ่น: 太平記โรมาจิTaiheiki) นิตตะ โยชิซาดะ ได้ใช้ดาบตัดศีรษะของตนเอง จนถึงแก่ความตายในที่สุด

หลังจากที่นิตตะ โยชิซาดะ เสียชีวิตไปแล้ว บุตรหลานที่ยังคงมีชีวิตรอดของโยชิซาดะ เปลี่ยนชื่อสกุลจากนิตตะเป็นอิวามัตสึ (ญี่ปุ่น: 岩松โรมาจิIwamatsu) และกลับไปครองเมืองนิตตะที่แคว้นโคซูเกะตามเดิมไปตลอดจนถึงยุคเอโดะ

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]