ทิก กว๋าง ดึ๊ก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

กว๋าง ดึ๊ก
ภาพบุคคลของภิกษุกว๋าง ตึ๊ก
ชื่ออื่นโบ่ ต๊าด ทิก กว๋าง ดึ๊ก (Bồ Tát Thích Quảng Đức, โพธิสัตว์ ทิก กว๋าง ดี๊ก[1])
ส่วนบุคคล
เกิด
เลิม วัน ตึ๊ก (Lâm Văn Túc)

ค.ศ. 1897
โห่ยค้าญ แคว้นอันนัม อินโดจีนของฝรั่งเศส
มรณภาพ11 มิถุนายน ค.ศ. 1963(1963-06-11) (65–66 ปี)
ไซง่อน เวียดนามใต้
สาเหตุเสียชีวิตการจุดไฟเผาตัวเอง
ศาสนาศาสนาพุทธ
นิกายมหายาน (สุขาวดี)
ชื่ออื่นโบ่ ต๊าด ทิก กว๋าง ดึ๊ก (Bồ Tát Thích Quảng Đức, โพธิสัตว์ ทิก กว๋าง ดี๊ก[1])
ตำแหน่งชั้นสูง
ที่อยู่เวียดนามใต้
ช่วงที่ดำรงตำแหน่ง1917–1963
ตำแหน่ง
  • ประธานคณะกรรมการศาสนพิธีสังฆะภิกษุเวียดนาม
  • เจ้าอาวาสวัดเจดีย์เฟื้อกฮหว่า

ทิก กว๋าง ดึ๊ก (เวียดนาม: Thích Quảng Đức; [tʰɪ̌t kwɐ̂ːŋ ɗɨ̌k]; เกิดปี ค.ศ. 1897 — 11 มิถุนายน ค.ศ. 1963) เป็นภิกษุมหายานชาวเวียดนามที่จุดไฟเผาตัวเองจนมรณภาพ ณ ถนนสี่แยกกรุงไซง่อน เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506[2] เพื่อประท้วงรัฐบาลโรมันคาทอลิกภายใต้การนำโดย โง ดิ่ญ เสี่ยม ที่ข่มเหงชาวพุทธในประเทศเวียดนามใต้ ภาพถ่ายการเผาตัวเองของท่านได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกและดึงความสนใจไปให้กับนโยบายของรัฐบาลเสี่ยม จอห์น เอฟ. เคนเนดี เคยกล่าวถึงภาพถ่ายของท่านไว้ว่า "ไม่มีภาพข่าวใดในประวัติศาสตร์ที่สร้างอารมณ์ความรู้สึกไปทั่วโลกได้เหมือนภาพใบนี้"[3] มัลคอล์ม บราวน์ ซึ่งเป็นผู้ที่ถ่ายภาพของท่านได้รับรางวัลภาพถ่ายข่าวแห่งปี

การกระทำของพระกว๋าง ดึ๊ก สร้างแรงกดดันจากนานาชาติให้กับรัฐบาลเสี่ยม ส่งผลให้เขาต้องยินยอมประกาศการปฏิรูปและแสดงเจตจำนงในการผ่อนผันต่อความต้องการของชาวพุทธ อย่างไรก็ตามการปฏิรูปที่รัฐบาลเสี่ยมสัญญาไว้ก็ไม่เคยเกิดขึ้น และยังทำให้ประเด็นพิพาทนี้เลวร้ายลงกว่าเดิม การประท้วงดำเนินเรื่อยไปในขณะเดียวกันกองกำลังพิเศษ ARVN ซึ่งภักดีต่อ โง ดิ่ญ ญู น้องชายของเสี่ยม ได้ทำการบุกรุกวัดพุทธทั่วเวียดนามใต้และพยายามยึดเอาหัวใจที่ไม่ไหม้ของพระกว๋างดึ๊กมาไว้ในการครอบครอง การบุกรุกระลอกนี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีพระสงฆ์อีกจำนวนหนึ่งที่ทำการเผาตนเองจนมรณภาพตามรอยพระกว๋างดึ๊ก ท้ายที่สุดการรัฐประหารที่มีสหรัฐหนุนหลังก็สามารถโค่นล้มรัฐบาลเสี่ยมลงได้สำเร็จ ก่อนที่จะถูกลอบสังหารในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963

ชีวประวัติ[แก้]

อัตชีวประวัติของพระกว๋าง ดึ๊ก ได้มาจากข้อมูลที่เผยแพร่โดยองค์การพุทธศาสนาตามสถานที่ต่าง ๆ ท่านเกิดที่หมู่บ้านโห่ยค้าญ อำเภอหวั่นนิญ จังหวัดค้าญฮหว่า ภาคกลางของประเทศเวียดนาม มีชื่อเมื่อเกิดว่า เลิม วัน ตึ๊ก (Lâm Văn Túc) ท่านมีพี่น้องทั้งหมดเจ็ดคน บิดาชื่อ เลิม หืว อึ่ง มารดาชื่อ เหงียน ถิ เนือง เมื่ออายุได้เจ็ดปีท่านได้ออกเดินทางเพื่อศึกษาพุทธศาสนาภายใต้การอุการะของพระมหาเถราจารย์[a] ทิก หวั่ง เทิม ผู้เป็นลุงฝั่งแม่ในฐานะบุตรคนหนึ่ง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น เหงียน วัน เคี๊ยด (Nguyễn Văn Khiết) เมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านก็เข้าบรรพชาเป็นสามเณร จนกระทั่งเมื่ออายุครบ 20 ปี ก็ได้อุปสมบทเข้าเป็นภิกษุ ภายใต้ฉายา ทิก กว๋าง ดึ๊ก ในชื่อภาษาเวียดนาม ทิก (Thích; ) มาจากคำว่า "ทิก กา" (Thích Ca) หรือ "ทิก ส่า" (Thích Già) (釋迦) อันแปลว่า "ผู้มาจาก / เกี่ยวพันธ์กับสกุลสักกะ"[4] หลังเข้าบวชเป็นพระภิกษุท่านก็ได้ออกธุดงค์สู่ภูเขาลูกหนึ่งใกล้กับเมืองนิญฮหว่าพร้อมกับประกาศตนขอปลีกวิเวกเป็นเวลาสามปี ในช่วงชีวิตภายหลังท่านก็ได้กลับมาเพื่อเปิดพระเจดีย์เทียน หล่กที่สำนักสงฆ์บนภูเขาแห่งนี้[5][6]

หลังจากเสร็จสิ้นการปลีกวิเวก พระกว๋าง ดึ๊ก ก็ได้เริ่มต้นออกเดินทางไปทั่วเวียดนามกลางเพื่อเผยแผ่หลักธรรม หลังจากผ่านไปสองปีก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดซักตู๊เทียนเอิน ใกล้กับเมืองญาจาง ใน ค.ศ.1932 ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการประจำพุทธสมาคมในเมืองนิญฮหว่า และได้เป็นผู้ตรวจการภิกษุประจำจังหวัดคั้ญฮหว่าซึ่งเป็นบ้านเกิดในเวลาต่อมา ในช่วงระหว่างนี้ท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างวัดในเวียดนามกลางรวมทั้งสิ้น 14 แห่ง[7] ใน ค.ศ. 1934 ท่านได้ออกเดินทางไปตามชนบททั่วเวียดนามใต้เพื่อเผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนา พร้อมกับเดินทางไปศึกษาศาสนาพุทธแบบเถรวาทที่ประเทศกัมพูชาเป็นเวลาสองปี

เมื่อเดินทางกลับมาจากกัมพูชา ในระหว่างการพำนักที่เวียดนามใต้ท่านก็ได้ดูแลการก่อสร้างวัดใหม่อีกจำนวน 17 แห่ง โดยวัดแห่งสุดท้ายจาก 31 วัดใหม่ที่ท่านเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างคือ วัดกว๊าน เถ่ะ อัม ในอำเภอฟู้เหฺญวิ่น จังหวัดซาดิ่ญ แถบชานเมืองไซง่อน[7] ถนนสายที่วัดนี้ตั้งอยู่ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นถนนกว๋าง ดึ๊ก ในภายหลัง ในปี ค.ศ. 1975 หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาการก่อสร้างวัดจำนวนมาก พระกว๋าง ดึ๊ก ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการศาสนพิธีสังฆะภิกษุเวียดนาม และเจ้าอาวาสวัดเฟื้อกฮหว่า ซึ่งเป็นที่สถานที่ก่อตั้งของสมาคมพุทธศาสนศึกษาเวียดนาม (Association for Buddhist Studies of Vietnam; ABSV)[7] เมื่อสำนักงานของ ABSV ย้ายที่ตั้งสำนักงานไปที่วัดซ้าเหฺลิ่ยซึ่งเป็นวัดประจำเมืองไซง่อน พระกว๋าง ตึ๊ก ก็ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง[5]

การจุดไฟเผาตนเอง[แก้]

ภูมิหลังทางศาสนา[แก้]

ประติมากรรมนูนต่ำแสดงเหตุการณ์การกดขี่ชาวพุทธที่อนุสรณ์พระกว๋าง ดึ๊ก ในนครโฮจิมินห์

จากผลสำรวจศาสนาของประชากรเวียดนามในเวลานั้น ประชากรร้อยละ 70 ถึง 90 นับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก[8][9][10][11] ขณะที่ประธานาธิบดี โง ดิ่ญ เสี่ยม เป็นคริสต์ศาสนิกชนนิกายคาทอลิก ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาของเวียดนามในเวลานั้น เสี่ยมได้ออกนโยบายเลือกปฏิบัติที่เอื้อประโยชน์ทางด้านกิจการสาธารณะและกองทัพแก่ศาสนิกชนคาทอลิกในเวียดนาม ไปจนถึงการจัดสรรที่ดิน การทำธุรกิจ และการลดหย่อนภาษี[12] เสี่ยมเคยสนทนากับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงคนหนึ่งโดยมิได้คำนึงว่าเจ้าหน้าที่นายนี้มาจากครอบครัวที่นับถือพุทธว่า "มอบหมายเจ้าหน้าที่ชาวคาทอลิกของคุณไว้ในตำแหน่งที่ต้องระมัดระวัง เพราะพวกเขาสามารถไว้วางใจได้"[13] เจ้าหน้าที่หลายคนในกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม (ARVN) เข้ารีตเป็นคาทอลิกเนื่องจากความก้าวหน้าทางการทหารของตนขึ้นอยู่กับศาสนา[13] นอกเหนือไปจากนั้น การจัดสรรจำนวนอาวุธปืนแก่กองกำลังป้องกันตนเองตามหมู่บ้านยังมีการจัดสรรให้แต่เฉพาะชาวโรมันคาทอลิก และชาวพุทธบางคนถูกปฏิเสธเว้นแต่ว่าจะเข้ารีตเป็นโรมันคาทอลิก[14]

บาทหลวงคาทอลิกบางรูปมีการจัดตั้งกองกำลังส่วนตัว[15] กองกำลังเหล่านี้ก่อการบังคับเข้ารีต จนถึงบุกโจมตีและทำลายวัดในบางพื้นที่ กระนั้น รัฐบาลทำเป็นไม่รู้เห็น[16] หมู่บ้านพุทธศาสนิกชนบางแห่งถูกเข้ารีตหมู่เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือ หรือเพื่อหลีกหนีการถูกบังคับย้ายถิ่นฐานในรัฐบาลของเสี่ยม[17] สถานะ "จำกัดกิจกรรมทางศาสนา" ซึ่งบังคับให้ผู้ที่จะประกอบพุทธศาสนพิธีในที่สาธารณะจะต้องยื่นขอใบอนุญาตจากทางการก่อน มีมาตั้งแต่จากสมัยฝรั่งเศสซึ่งบังคับใช้ต่อชาวพุทธ เสี่ยมไม่ได้เพิกถอนข้อบังคับนี้[18] ชาวคาทอลิกบางส่วนยังได้รับการยกเว้นโดยพฤตินัยจากการเป็นแรงงานไม่ได้ค่าจ้าง ซึ่งรัฐบาลบังคับพลเมืองให้ต้องปฏิบัติทุกคน และรัฐบาลของเสี่ยมยังจัดสรรความช่วยเหลือจากสหรัฐไปอย่างไม่เป็นธรรมเข้าข้างหมู่บ้านที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก[19]

คริสต์จักรคาทอลิกเป็นเจ้าของที่ดินมากที่สุดในประเทศ และได้รับข้อยกเว้นพิเศษในการยึดครองที่ดิน ที่ดินของคริสต์จักรคาทอลิกยังได้รับการยกเว้นจากการปฏิรูปที่ดิน[20] ธงวาติกันสีขาวทองยังถูกนำมาประดับตามกิจกรรมสำคัญหลัก ๆ ทั้งหมดในเวียดนามใต้[21] และเสี่ยมได้อุทิศประเทศของเขาแด่แม่พระมารีพรหมจารีย์ในปี 1959[19]

ธงฉัพพรรณรังสี

ความไม่พึงพอใจในหมู่ชาวพุทธได้ปะทุขึ้นในต้นเดือนพฤษภาคมเมื่อรัฐประกาศสั่งห้ามประดับธงฉัพพรรณรังสีในเว้ระหว่างเทศกาลวันวิสาขบูชา วันประสูติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่กี่วันก่อนหน้า ชาวคาอลิกได้รับการสนับสนุนให้ประดับธงวาติกันเพื่อเฉลิมฉลองอาร์คบิชอป โง ดิ่ญ ถึก แห่งเว้ ผู้เป็นพี่ชายของเสี่ยม ชาวพุทธจำนวนมากรวมตัวประท้วงคำสั่งห้ามนี้ และท้าทายอำนาจรัฐโดยการนำธงพุทธออกมาประดับในวันวิสาขบูชา รวมถึงเดินขบวนไปยังสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล กองกำลังของรัฐกราดยิงฝูงชนผู้ประท้วง เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมเก้าราย และเสี่ยมปฏิเสธความรับผิดชอบ เขากล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของเวียดกง และเรียกร้องให้มีความเท่าเทียมทางศาสนาเกิดขึ้น[22] เสี่ยมยังคงปฏิเสธที่จะโอนอ่นต่อคำร้องขอของชาวพุทธ ตามมาด้วยการประท้วงของชาวพุทธที่มีถี่มากขึ้น

วันก่อการ[แก้]

ภาพถ่ายพระกว๋าง ดึ๊ก ทำการจุดไฟเผาตนเอง ถ่ายโดยนักข่าว มัลคอล์ม บราวน์ ได้รับรางวัลภาพถ่ายข่าวโลกแห่งปี 1963[23]
ภาพถ่ายอีกมุมหนึ่งโดยบราวน์
รถยนต์คันที่พระกว๋าง ดึ๊ก เดินทางไปเพื่อทำการจุดไฟเผาตนเอง เก็บรักษาอยู่ที่ วัดเจดีย์เทียนหมุ เมืองเว้

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1963 บรรดาผู้สื่อข่าวสหรัฐประจำเวียดนามได้รับแจ้งว่ามี "เรื่องสำคัญ" จะเกิดขึ้นในเช้าวันต่อมาบนถนนด้านนอกสถานทูตกัมพูชาในไซง่อน[24] ผู้สื่อข่าวจำนวนมากไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับข้อความนี้ เนื่องจากวิกฤตการณ์ชาวพุทธได้ดำเนินไปในเวลานั้นนานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ในเช้าวันต่อมา นักข่าวเพียงไม่กี่คนเดินทางไปยังถนนหน้าสถานทูตกัมพูชาตามข้อมูลที่ได้รับ ในจำนวนนี้รวมถึง เดวิด แฮลเบิร์สแตม จาก เดอะนิวยอร์กไทมส์ และ มัลคอล์ม บราวน์ หัวหน้าสำนักงานไซง่อนของแอสโซซิเอเต็ด เพรส (เอพี)[24] พระกว๋าง ดึ๊ก เดินทางถึงจุดก่อการ โดยเดินทางมาในฐานะส่วนหนึ่งของขบวนที่เริ่มเดินใกล้กับวัดเจดีย์ ภิกษุและภิกษุณี 350 รูปเดินขบวนเป็นสองแถว โดยมีรถซีดานออสติน เวสต์มินสต์เตอร์ ซึ่งแปะด้วยป้ายคำต่าง ๆ พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษและเวียดนาม ผู้ประท้วงประกาศประณามรัฐบาลของเสี่ยมและนโยบายของเขาต่อชาวพุทธ และเรียกร้องให้เขาปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาถึงความเท่าเทียมทางศาสนา[24] มีภิกษุอีกรูปเสนอตัว แต่ท้ายที่สุดเป็นพระกว๋าง ดึ๊ก เนื่องด้วยพรรษาของเขาที่มากกว่า[25]

การจุดไฟเผาตนเองเกิดขึ้นที่สี่แยกระหว่างถนนฟาน ดิ่ญ ฝุ่ง (ปัจจุบันคือ ถนนเหงียน ดิ่ญ เจี๋ยว) และถนนเละ วัน เสฺวียต (ปัจจุบันคือ ถนนกั๊ก หมั่ง ทั้ง ต๊าม) ไม่กี่ช่วงถนนทางใต้จากวังประธานาธิบดี (ปัจจุบันคือวังแห่งการรวมชาติ) พระกว๋าง ดึ๊ก ลงจากรถพร้อมภิกษุอีกสองรูป ภิกษุรูปหนึ่งนำเอาหมอนวางบนถนน และอีกรูปเปิดกระโปรงรถและหยิบเอาถังน้ำมันรถขนาดห้าแกลลอนออกมา ผู้เดินขบวนล้อมวงเป็นวงกลมรอบ ๆ ในขณะที่พระกว๋าง ดึ๊ก นั่งลงบนหมอนในท่านั่งขัดสมาธิแบบปัทมาสน์ในลักษณะเดียวกับการนั่งสมาธิ ภิกษุรูปหนึ่งได้เทน้ำมันรถออกจากถังเหนือศีรษะของพระกว๋าง ดึ๊ก ขณะที่เขาสวดลูกประคำ และภาวนาคำว่า นาม โม อา ยี ด่า ฝัด (Nam mô A Di Đà Phật, "นะโมอมิตาพุทธ") ก่อนจะจุดไม้ขีดและโยนลงใส่ตนเอง เปลวเพลิงลุกไหม้จีวรและเนื้อหนังมังสาของเขาและเขม่าควันดำพวยพุ่งออกจากร่าง[24][26]

คำกล่าวสุดท้ายของเขาก่อนการจุดไฟเผาตนเองมีบันทึกไว้ในจดหมายที่เขาทิ้งไว้ ว่า:

"ก่อนจะหลับตาลงและออกเดินทางสู่จิตของพระพุทธเจ้า อาตมาร้องขอด้วยเกียรติแด่ประธานาธิบดี โง ดิ่ญ เสี่ยม โปรดจงมีจิตเมตตาต่อผู้คนในชาติ และนำพาความเท่าเทียมทางศาสนามาสู่พวกเขา เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงและความเป็นปึกแผ่นของชาติบ้านเกิดแห่งนี้ตลอดกาล อาตมาร้องขอแด่บรรดาพระสังฆราช พระสังฆาจารย์ และพระสงฆ์ ตลอดจนฆราวาสพุทธศาสนิกชนที่ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานต่อการเสียสละเพื่อปกปักรักษาพระพุทธศาสนา"[5]

เดวิด แฮลเบอร์สแตม เขียนว่า:

"ข้าพเจ้าคิดว่ากำลังจะเดินทางไปยังสถานที่นั้นอีกครั้ง แต่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว เปลวเพลิงลุกไหม้ออกจากตัวมนุษย์ ร่างกายของเขาค่อย ๆ มอดไหม้และเหี่ยวย่นลง, ศีรษะของเขากลายเป็นสีดำและไหม้เกรียม ในอากาศเป็นกลิ่นของเนื้อหนังมนุษย์ที่กำลังลุกไหม้ ปรากฏว่ามนุษย์ถูกไฟไหม้สลายไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องไห้ของชาวเวียดนามที่มารวมตัวอยู่ด้านหลังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าในเวลานั้นตกใจเกินกว่าจะร้องไห้ สับสนเกินว่าจะบันทึกหรือสอบถามคำถาม ลำบากใจเกินกว่าแม้แต่จะคิด ... ขณะที่เขากำลังลุกไหม้ เขาไม่แม้แต่ขยับกล้ามเนื้อ ไม่มีการเปล่งเสียงใดออกมา เขาสงบเงียบตลอดเวลาต่างกันกับผู้คนที่กำลังโศกเศร้ารอบตัว"[27]

ผู้เห็นเหตุการณ์ส่วนใหญ่ตกใจจนเงียบ บางส่วนร้องไห้คร่ำครวญ และบางส่วนเริ่มสวดภาวนา ภิกษุและภิกษุณีจำนวนมาก รวมถึงผู้ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ก้มลงกราบกับพื้นเพื่อสักการะต่อหน้าภิกษุผู้กำลังมอดไหม้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้รับมอบหมายก้มลงกราบเช่นกัน[25]

ภิกษุรูปหนึ่งได้ประกาศออกไมโครโฟนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาเวียดนามหลายครั้งว่า: "นักบวชชาวพุทธรูปหนึ่งได้จุดไฟเผาตนเองจนมรณภาพ ภิกษุรูปหนึ่งได้กลายมาเป็นผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อ" หลังจากนั้นราว 10 นาที ร่างของพระกว๋าง ดึ๊ก ได้มอดไหม้จนหมด และล้มลงด้านหลังโดยส่วนหลังล้มลงสู่พื้น หลังไฟสงบ คณะสงฆ์ได้นำจีวรสีเหลืองคลุมร่างที่กำลังคุกกรุ่นด้วยควัน และนำไปใส่ในโลงศพ กระนั้นส่วนแขนขาไม่สามารถดัดงอให้ตรงได้ และแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาจากกล่องไม้ ร่างของเขาถูกนำไปยังวัดเจดีย์ซ้าเหฺลิ่ย ในไซง่อนตอนกลางที่อยู่ไม่ไกลกัน ด้านนอกเจดีย์ นักศึกษาได้แขวนป้ายสองภาษาที่เขียนว่า: "นักบวชชาวพุทธได้เผาตนเองเพื่อข้อเรียกร้องห้าประการของพวกเรา"[24]

เวลา 13:30 น. พระสงฆ์ราว 1,000 รูปได้รวมตัวกันภายในเพื่อจัดการประชุม ในขณะที่ฝูงชนจำนวนมากซึ่งเป็นนักศึกษาฝั่งสนับสนุนศาสนาพุทธก่อกำแพงมนุษย์ล้อมอยู่ภายนอก การประชุมสิ้นสุดไม่นานหลังจากนั้น และพระสงฆ์ทั้งหมดค่อย ๆ เดินทางออกจากพื้นที่ เหลือเพียง 100 รูปภายใน พระสงฆ์เกือบ 1,000 รูป ประกบด้วยคฤหัสถ์ เดินทางกลับไปยังจุดที่ประกอบพิธีศพ และมีตำรวจเข้าสังเกตการณ์อยู่รอบ ๆ เมื่อเวลาราว 18:00 น. ภิกษุณีสามสิบรูปและภิกษุหกรูปถูกจับกุมตัวเนื่องจากรวมตัวกันสวดภาวนาบนถนนด้านนอกวัดซ้าเหฺลิ่ย ตำรวจเข้าล้มเป็นวงรอบวัด ปิดกั้นบุคคลภายนอกไม่ให้เข้าออกบริเวณวัด ผู้สังเกตเหตุการณ์มองว่าขณะนั้นคล้ายกับว่าการล้อมวัดโดยมีอาวุธคงจะเกิดขึ้นตามมา เนื่องจากมีอุปกรณ์ควบคุมจลาจลปรากฏอยู่ในวงล้อม[28]

การปลงศพและเหตุการณ์สืบเนื่อง[แก้]

วัดเจดีย์ซ้าเหฺลิ่ย

หลังการจุดไฟเผาตนเอง สหรัฐเพิ่มความกดดันมากขึ้นต่อเสี่ยมให้กลับมาเจรจาอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้าไม่มีความคืบหน้าใสการเจรจา เสี่ยมจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการฉุกเฉินเมื่อเวลา 11:30  น. ของวันที่ 11 มิถุนายน เพื่อถกประเด็นวิกฤตการณ์ชาวพุทธที่เขาเชื่อว่ากำลังจะสงบลงไปแล้ว หลังมรณภาพของพระกว๋าง ดึ๊ก เสี่ยม เขายกเลิกการประชุมและเข้าพบรัฐมนตรีเป็นการส่วนตัวรายบุคคล รักษาการณ์ทูตสหรัฐประจำเวียดนามใต้ วิลเลียม ทรูฮาร์ต เตือนรัฐมนตรีการต่างประเทศ เหงียน ดิ่ญ ถวั่น ในรัฐมนตรีของเสี่ยม ว่างมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องบรรลุข้อตกลง โดยระบุว่าสถานการณ์ "ใกล้จุดแตกหักอย่างอันตรายยิ่ง" และคาดหวังให้เสี่ยมปฏิบัติตามเจตจำนงห้าประการของชาวพุทธ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ดีน รัสก์ เตือนสถานทูตในไซง่อนว่าทำเนียบขาวจะประกาศตัวอย่างเป็นสาธารณะว่าสหรัฐไม่ "เกี่ยวข้องอันใด" กับรัฐบาล[ของเสี่ยม]อีกต่อไป การสิ่งนี้[การปฏิบัติตามเจตจำนงของชาวพุทธ]ไม่เกิดขึ้น"[29] ข้อตกลงร่วมและการโอนอ่อนให้กับชาวพุทธได้รับการลงนามในวันที่ 16 มิถุนายน[30]

วันที่ 15 มิถุนายน เป็นวันที่ตั้งไว้เป็นวันปลงศพ ในวันนั้น มีผู้คนราว 4,000 คนรวมตัวกันด้านนอกของวัดเจดีย์ซ้าเหลิ่ย กระนั้นพิธีปลงศพได้ถูกเลื่อนวันออกไป ในวันที่ 19 มิถุนายน อัฐิที่เหลือของเขาได้ถูกขนส่งออกมาจากวัดซ้าเหฺลิ่ย ไปยังสุสานที่ห่างออกไป 16 กิโลเมตร (9.9 ไมล์)* ทางใต้ของนครไซง่อน เพื่อประกอบพิธีเผาศพอีกครั้งและพิธีปลงศพ หลังการลงนามในข้อตกลงร่วม จำนวนผู้เข้าร่วมถูกจำกัดอยู่ที่พระสงฆ์ราว 500 รูป ตามข้อตกลงระหว่างผู้นำศาสนาพุทธกับตำรวจ[30]

หัวใจที่ไม่ไหม้และสัญลักษณ์[แก้]

พระสรีรธาตุหัวใจที่ไม่ไหม้ของพระกว๋าง ดึ๊ก

ร่างของพระกว๋าง ดึ๊ก ได้รับการเผาศพอีกครั้งในระหว่างพิธีศพ กระนั้นปรากฏว่าหัวใจของเขายังคงสภาพและไม่ได้มอดไหม้ไปด้วย[25] หัวใจของท่านจึงถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และถูกนำไปประดิษฐานบนจอกแก้วในวัดเจดีย์ซ้าเหฺลิ่ย[31] พระสรีรธาตุของหัวใจที่ไม่ไหม้[25] นี้ได้รับการถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตาปราณี ในภายหลังพระกว๋าง ดึ๊ก จึงได้รับการเคารพบูชาโดยพุทธศาสนิกชนในเวียดนามให้เป็น พระโพธิสัตว์ (โบ่ ท้าต; Bồ Tát) และจึงมักได้รับการเรียกขานเป็นภาษาเวียดนามว่า โบะท้าต ทิก กว๋าง ดึ๊ก[5][32] ในวันที่ 21 สิงหารม กองกำลังพิเศษ ARVN ที่นำโดย โง ดิ่ญ ญู เข้าโจมตีวัดเจดีย์ซ้าเหฺลิ่ย และวัดพุทธอื่น ๆ ทั่วประเทศ ตำรวจลับมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้ายึดอัฐิของพระกว๋าง ดึ๊ก แต่พระสงฆ์สองรูปสามารถนำผอบของท่านหลบหนีออกไปได้ทันโดยการกระโดดข้ามรั้วด้านหลัง และนำไปรักษาไว้โดยปลอดภัยที่ศูนย์กิจการของสหรัฐที่ตั้งอยู่ติดกัน[33]

สถานที่ก่อการจุดไฟเผาตนเองซึ่งถูกเลือกให้เป็นบริเวณด้านหน้าของสถานทูตกัมพูชานั้นนำไปสู่คำถามว่าเป็นเรื่องตั้งใจหรือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ทรูฮาร์ตและเจ้าหน้าที่สถานทูต ชาลส์ ฟลาวเวอรี เชื่อว่าสถานที่นี้ถูกเลือกเพื่อเป็นการแสดงจุดยืนร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาของกษัตริย์นโรดม สีหนุ เวียดนามใต้และกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงต่อกันในสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งกษัตริย์สีหนุกล่าวโทษเสี่ยมว่าทารุณกรรมชาวพุทธเวียดนามและชาติพันธุ์พุทธเขมรซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ไทมส์ออฟเวียดนาม ซึ่งมีมุมมองสนับสนุนเสี่ยม ตีพิมพ์บทความในวันที่ 9 มิถุนายน อ้างว่าพระสงฆ์ชาวกัมพูชาสนับสนุนให้เกิดวิกฤตการณ์ชาวพุทธ และกล่าวโทษว่านี่เป็นแผนการหนึ่งของกัมพูชาเพื่อขยายนโยบายต่างประเทศที่มีจุดยืนเป็นกลางมาสู่เวียดนามใต้ ฟลาวเวอรีชี้ให้เห็นว่าเสี่ยม "พร้อมและอยากที่จะเห็นว่ากัมพูชามีส่วนในขบวนการชาวพุทธที่มีการจัดขึ้น"[34]

ปฏิกิริยาจากเสี่ยมและทางการ[แก้]

โง ดิ่ญ เสี่ยม ภาพถ่ายปี 1960

เสี่ยมออกแถลงการณ์ทางวิทยุเมื่อเวลา 19:00 น. ในวันเดียวกับที่พระกว๋าง ดึ๊ก มรณภาพ ระบุว่าเขาไม่สบายใจกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมาก เขาได้กล่าวร้องขอถึง "ความสงบและความรักชาติ" รวมถึงประกาศว่าการเจรจากับชาวพุทธที่ได้พับเก็บไปก่อนหน้าจะกลับมาเดินหน้าต่อ เขาอ้างว่าการเจรจาดำเนินมาได้อย่างดีและในห้วงเวลาของความตึงเครียดทางศาสนานี้ เชาเน้นย้ำซึ่งบทบาทของปรัชญาโรมันคาทอลิกในการแยกแยะประเด็นส่วนตัวออกจากการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ เขากล่าวโทษว่ากลุ่มหัวรุนแรงได้ดัดแปรข้อเท็จจริงต่าง ๆ และยืนยันว่าชาวพุทธสามารถ "ยึดมั่นเชื่อมั่นในรัฐธรรมนูญ หรือกล่าวก็คือ ในตัวข้าพเจ้า"[28]

กองทัพ ARVN ปฏิบัติตามคำขอของเสี่ยมและจัดการแสดงจุดยืนร่สมลับหลังเสี่ยมเพื่อผลักใสเจ้าหน้าที่ที่ความเห็นไม่ลงรอยกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงสามสิบนายที่นำโดยนายพล เล วัน ติ ประกาศทางออกว่าจะปฏิบัติการต้าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายแก่กองทัพเพื่อป้องกันรักษารัฐธรรมนูญและสาธารณรัฐ การประกาศนี้เป็นการเคลือบผิว ๆ ซึ่งแผนการโค่นล้มรัฐบาลของเสี่ยม[35] ผู้ลงนามบางคนต่อมามีบทบาทอย่างเป็นส่วนตัวในการโค่นล้มและสังหารเสี่ยมในเดือนพฤศจิกกายน นายพล เดือง วัน มิญ และ ตรั่น วัน เดิน ที่ปรึกษาด้านการทหารต่อประธานาธิบดี และผู้นำการรัฐประหารรัฐบาลของเสี่ยม ในเวลานั้นอยู่ต่างประเทศ[35]

มาดาม ญู อดีตชาวพุทธที่เปลี่ยนมาเข้ารีตเป็นคริสต์ สตรีหมายเลขหนึ่งของเวียดนามใต้ (เธอเป็นภรรยาของโง ดิ่ญ ญู น้องชายของเสี่ยมและเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษารัฐบาล เป็นที่ยอมรับกันว่าเธอเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งเช่นนั้น เนื่องจากเสี่ยมไม่ได้แต่งงาน) กล่าวว่าเธอจะ "ปรบมือให้กับการแสดงปิ้งย่างพระสงฆ์อีกรูป"[36] ในเดือนเดียวกันนั้น รัฐบาลได้คาดโทษพระกว๋าง ดึ๊ก ว่าใช้สารเสพติดก่อนจะถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย[37] รัฐบาลยังกล่าวโทษว่านักข่าวบราวน์เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และจ่ายเงินให้กับพระกว๋าง ดึ๊ก เพื่อเผาตัวเองจนถึงแก่มรณภาพ[38]

ผลต่อสื่อและการเมือง[แก้]

มัลคอล์ม บราวน์ กับภาพถ่ายพระกว๋าง ดึ๊ก

ภาพถ่ายของมัลคอล์ม บราวน์ แพร่กระจายไปทั่วสำนักข่าวต่าง ๆ และถูกตีพิมพ์เป็นภาพหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไปทั่วโลก เหตุการณ์การเผาตนเองนี้ต่อมาได้รับการยอมรับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของวิกฤตการณ์ชาวพุทธและจุดสำคัญที่นำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลของเสี่ยม[39]

นักประวัติศาสตร์ เสต เจเคิบส์ เสนอว่าพระกว๋าง ดึ๊ก ได้ "สลายการทดลองของอเมริกาในเสี่ยมไปสิ้นเช่นกัน" และ "ไม่ว่าจะร้องขอเพียงใดก็ไม่สามารถกู้คืนชื่อเสียงของเสี่ยมได้อีก" หลังภาพถ่ายของบราวน์ได้เข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้คนทั่วโลก[40] เอลเลน แฮมเมอร์ บรรยายเหตุการณ์นี้ว่าได้ "กระตุ้นภาพจำอันโหดร้ายของการลงโทษอย่างทารุณและความน่าหวาดกลัวที่เกี่ยวเนื่องกับความเป็นจริงอันเป็นเอเชียอย่างยิ่งที่ชาวตะวันตกเข้าใจได้"[41] จอห์น เมคลิน เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตสหรัฐ ชี้ให้เห็นว่าภาพถ่ายนี้ "สร้างความสะพรึงอย่างประเมินค่ามิได้ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ขบวนการของชาวพุทธ และกลายมาเป็นสัญลักษณ์แทนสภาวะของเวียดนามในเวลานั้น"[39] วิลเลียม คอบี หัวหน้าส่วนงานตะวันออกไกลของซีไอเอในเวลานั้น ระบุว่าเสี่ยม "รับมือกับวิกฤตการณ์ชาวพุทธได้ค่อนข้างแย่ และปล่อยให้ลุกลาม แต่ผมคิดว่ามันคงไม่มีอะไรที่จะทำได้อีกหลังภิกษุรูปนั้นจุดไฟเผาตัวเอง"[39]

ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ผู้ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนหลักของรัฐบาลเสี่ยม รับทราบถึงมรณกรรมของพระกว๋าง ดึ๊ก จากหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าระหว่างกำลังคุยกับน้องชาย รอเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติกรรม ทางโทรศัพท์อยู่ รายงานระบุว่าเคนเนดีขัดขึ้นมาระหว่างกำลังพูดคุยเรื่องการแบ่งแยกในรัฐแอละบามา โดยตะโกนออกมาว่า "พระเจ้า!" (Jesus Christ!) ต่อมาในภายหลังเขาได้กล่าวถึงภาพถ่ายนี้ว่า "ไม่มีภาพถ่ายข่าวใดในประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกไปทั่วโลกเท่ากับภาพนั้นอีก"[40] วุฒิสมาชิกแฟรงก์ เชิร์ช (พรรคเดโมแครต รัฐไอดาโฮ) สมาชิกคณะวุฒิสมาชิกกิจการระหว่างประเทศ กล่าวอ้างว่า "เหตุการณ์ที่น่าสยดสยองเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่การไล่สังหารคริสต์ชนในสมัยโรมัน"[41]

ในทวีปยุโรป ภาพถ่ายนี้ถูกนำมาวางขายตามท้องถนนในรูปแบบไปรษณียบัตรในระหว่างทศวรรษ 1960 ส่วนในจีนได้เผยแพร่ภาพถ่ายนี้ไปทั่วเอเชียและแอฟริกาเพื่อเป็นหลักฐานถึงจักรวรรดินิยมของสหรัฐ[38] ภาพถ่ายของบราวน์ยังนำไปใส่กรอบและติดตั้งไว้กับรถยนต์คันที่นำพระกว๋าง ดึ๋ก ไปก่อการเผาตนเอง รถยนต์ที่ว่านี้จัดแสดงอยู่ในเมืองเว้[38] สำหรับบราวน์และเอพี ภาพถ่ายนี้เป็นความสำเร็จทางการตลาด เรย์ แฮร์นเดิน ผู้สื่อข่าวภาคพื้นเวียดนามของยูพีไอ ลืมนำกล้องติดตัวไปด้วยในวันนั้นและถูกนายจ้างตำหนิอย่างรุนแรงเป็นการส่วนตัว ยูพีไอคาดการณ์ว่าผู้อ่านราว 5,000 คนในซิดนีย์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากร 1.5–2 ล้านคน ได้เปลี่ยนไปรับข่าวจากแหล่งของเอพีแทน[42]

สื่อปากเสียงภาษาอังกฤษของเสี่ยม ไทมส์ออฟเวียดนาม เพิ่มความรุนแรงในการโจมตีทั้งนักข่าวและชาวพุทธ มีการตีพิมพ์หัวข่าวเช่น "โปลิตบูโรที่ซ้าเหฺลิ่ยสร้างภัยคุกคามใหม่" และ "พระสงฆ์วางแผนการฆาตกรรม"[43] บทความชิ้นหนึ่งยังตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหส่างพระสงฆ์กับสื่อว่า "ทำไมถึงได้มีหญิงสาวมากมายสลับกันเข้าออกวัดซ้าเหฺลิ่ยตั้งแต่เช้า[ของวันนั้น]" และกล่าวอ้างโทษว่าหญิงสาวเหล่านั้นถูกนำเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนทางเพศกับผู้สื่อขาวของสหรัฐ[43]

ผู้นำมาก่อนและอิทธิพล[แก้]

สถูปพระโพธิสัตว์กว๋าง ดึ๊ก ตรงสี่แยกที่ท่านทำการเผาตนเอง

การเผาตนเองจนถึงแก่มรณกรรมในพระสงฆ์เวียดนามไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีบันทึกถึงการเผาตนเองมรณภาพในพระสงฆ์ของเวียดนามมานับศตวรรษ โดยทั่วไปทำไปเพื่อถวายเกียรติแด่พระโคตมพุทธเจ้า กรณีที่เกิดขึ้นใกล้กับเหตุการณ์นี้ที่สุดที่มีบันทึกไว้เกิดขึ้นในเวียดนามเหนือในปี 1950 เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสพยายามจะกำจัดการปฏิบัตินี้หลังเข้ายึดครองเวียดนามได้ในศตวรรษที่สิบเก้า มีรายงานว่าทางการเคยป้องกันพระสงฆ์เผาตนเองในเว้ได้สำเร็จในทศวรรษ 1920 กระนั้นพระรูปนั้นหันไปอดอาหารจนมรณภาพแทน ระหว่างทศวรรษ 1920 ถึง 1930 หนังสือพิมพ์ในไซง่อนรายงานเหตุการณ์การเผาตนเองมรณภาพของพระสงฆ์กันอย่างไร้ความรู้สึก การปฏิบัตินี้ยังเคยเกิดขึ้นในฮาร์บิน ประเทศจีน ในปี 1948 โดยพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งในท่าขัดสมาธิแบบปัทมาสน์บนกองขี้เลื่อยและน้ำมันถั่วเหลืองก่อนจะจุดไฟเผาตนเองเพื่ประท้วงรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง ที่มีนโยบายปราบปรามศาสนา หัวใจของพระสงฆ์รูปนี้ยังคงสภาพสมบูรณ์เช่นเดียวกับพระกว๋าง ดึ๊ก[44]

หลังจากพระกว๋าง ดึ๊ก ได้มีพระสงฆ์อีกห้ารูปที่เผาตนเองเรื่อยมาจนปลายเดือนตุลาคม 1963 ท่ามกลางการประท้วงของชาวพุทธที่ทวีความรุนแรงขึ้น[45] ในวันที่ 1 พฤศจิกายน กองทัพ ARVN โค่นล้มเสี่ยมในการรัฐประหาร เสี่ยมและญูถูกลอบสังหารในวันต่อมา[46] นับจากนั้นยังคงมีพระสงฆ์เผาตนเองเพื่อเรียกร้องในประเด็นอื่น ๆ เรื่อยมา[47]

ชาวอเมริกันในไซง่อนมักมองเหตุการณ์การเผาตนเองว่าเป็นเรื่องเหนือจริง และมักเล่นมุกเกี่ยวกับ "บอนซ์ฟายร์" (bonze fires แปลว่า ไฟพระสงฆ์; เป็นการเล่นคำกับ bonfire ที่แปลว่า กองไฟ) และ "ฮอตครอสบอนสิส" (hot cross bonzes)[48] ในตัวอย่างหนึ่งเมื่อปี 1963 ลูกชายอายุน้อยของเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐประจำไซง่อนคนหนึ่งเทน้ำมันเครื่องใส่ตนเองและจุดไฟเผาตนเอง เขาเป็นบาดแผลไฟไหม้อย่างรุนแรงก่อนจะมีผู้มาดับไฟ ต่อมาเขาระบุว่า "อยากรู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร"[48] ในสหรัฐมีการปฏิบัติเช่นเดียวกันกับพระกว๋าง ดึ๊ก ในการจุดไฟเผาตัวเองเพื่อประท้วงจนถึงแก่ชีวิต โดยทำไปเพื่อประท้วงต่อสงครามเวียดนาม ในวันที่ 16 มีนาคม 1965 แอลิส เฮิร์ซ นักเคลื่อนไหวเรียกร้องสันติภาพวัย 82 จุดไฟเผาตนเองประท้วงด้านหน้าห้างสรรพสินค้าเฟเดอรัลในดีทรอยต์[49] ต่อมาในปีเดียวกันนั้น นอร์แมน มอริสัน นักสันติภาพนิยมวัย 31 ปี สมาชิกลัทธิเคว็กเกอร์เทน้ำมันเคอโรซีนและจุดไฟเผาตนเองใต้หน้าต่างชั้นสามของรัฐมนตรีกลาโหม รอเบิร์ต แม็กนาแมรา ที่เพนตากอน ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 1965 และในสัปดาห์ต่อมารอเจอร์ แอลเลน ลาพอร์เต ทำการเผาตนเองเช่นเดียวกันที่ด้านหน้าของสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก

หมายเหตุ[แก้]

  1. มาจากคำว่า ฮหว่า เถื่อง (เวียดนาม: Hòa thượng) เป็นสมณศักดิ์ ในที่นี้เลือกใช้คำแปลตามคณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย ซึ่งแปลไว้ว่า พระมหาเถราจารย์[50] สำหรับคำแปลอื่นเป็นภาษาไทยมีในพงศาวดารญวน แปลไว้ว่า พระสังฆราชอุปัฌายะอาจารย์ โดยแปลจากรูป Đại Sư Hòa thượng[51]

อ้างอิง[แก้]

  1. Buswell & Lopez 2013, pp. 134, 906.
  2. "Monk Suicide by Fire in Anti-Diem Protest," New York Times, 11 June 1963, 6.; David Halberstam, "Diem Asks Peace in Religion Crisis," New York Times 12 June 1963. 3.; Marilyn B. Young, The Vietnam Wars: 1945–1990, New York: Harper Collins Publishers, 1990. 95–96.
  3. Zi Jun Toong, "Overthrown by the Press: The US Media's Role in the Fall of Diem," Australasian Journal of American Studies 27 (July 2008), 56–72.
  4. Dung 2006.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 Thích Nguyên Tạng 2005.
  6. Huỳnh Minh 2006, pp. 266–267.
  7. 7.0 7.1 7.2 Huỳnh Minh 2006, p. 268.
  8. Gettleman 1966, pp. 275–276, 366
  9. Unattributed 1963a
  10. Tucker 2000, pp. 49, 291, 293
  11. Ellsberg 1963, pp. 729–733
  12. Tucker 2000, p. 291
  13. 13.0 13.1 Gettleman 1966, pp. 280–282
  14. Harrison 1963b, p. 9
  15. Warner 1963, p. 210
  16. Fall 1963, p. 199
  17. Buttinger 1967, p. 993.
  18. Karnow 1997, p. 294
  19. 19.0 19.1 Jacobs 2006, p. 91
  20. Buttinger 1967, p. 933.
  21. Harrison 1963a, pp. 5–6
  22. Jacobs 2006, pp. 140–50
  23. Browne 1963
  24. 24.0 24.1 24.2 24.3 24.4 Jacobs 2006, p. 147
  25. 25.0 25.1 25.2 25.3 Karnow 1997, p. 297
  26. Jones 2003, p. 268
  27. Halberstam 1965, p. 211
  28. 28.0 28.1 Jones 2003, p. 270
  29. Jones 2003, p. 272.
  30. 30.0 30.1 Hammer 1987, p. 149.
  31. Jacobs 2006, p. 148
  32. Huỳnh Minh 2006, p. 266
  33. Jones 2003, pp. 307–308
  34. Jones 2003, p. 271.
  35. 35.0 35.1 Hammer 1987, p. 147
  36. Langguth 2002, p. 216
  37. Jones 2003, p. 284
  38. 38.0 38.1 38.2 Prochnau 1995, p. 309.
  39. 39.0 39.1 39.2 Jones 2003, p. 269
  40. 40.0 40.1 Jacobs 2006, p. 149
  41. 41.0 41.1 Hammer 1987, p. 145
  42. Prochnau 1995, p. 316
  43. 43.0 43.1 Prochnau 1995, p. 320
  44. Hammer 1987, p. 146
  45. Jacobs 2006, pp. 152, 168, 171.
  46. Jacobs 2006, pp. 173–180
  47. Hammer 1987, p. 318
  48. 48.0 48.1 Prochnau 1995, p. 310.
  49. Zinn 2003, p. 486.
  50. "ผลการค้นหาคำว่า "Hòa thượng" บนหน้าเฟซบุ๊กของ คณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย". สืบค้นเมื่อ 2024-03-08.
  51. Chiem, NT (2563). "การจัดทำอภิธานศัพท์พงศาวดารญวน ฉบับนายหยองกองทหารปืนใหญ่แปล และเทียนวรรณเป็นผู้เรียบเรียง" (PDF). คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สืบค้นเมื่อ 2024-03-08. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)

บรรณานุกรม[แก้]