ทาส

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Le Marché aux esclaves, ตลาดค้าทาส ฌอง-เลออง เจอโรม ราว ค.ศ. 1884)

ทาส เป็นระบบใดๆ ที่มีการใช้หลักการของกฎหมายลักษณะทรัพย์สินที่ใช้กับผู้คน อนุญาตให้บุคคลเป็นเจ้าของ ซื้อและขายให้แก่บุคคลอื่นเป็นรูปแบบของทรัพย์สินโดยนิตินัย[1] ทาสไม่สามารถถอนไถ่ตัวเพียงฝ่ายเดียวจากข้อตกลงและทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างตอบแทนเลย นักวิชาการปัจจุบันหลายคนใช้คำว่า ทาสสังหาริมทรัพย์(chattel slavery) เพื่ออ้างอิงถึงความรู้สึกเฉพาะเจาะจงนี้ของการทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทาสโดยนิตินัย ในความหมายที่กว้างขวางกว่า อย่างไรก็ตาม, คำว่า ทาส อาจหมายถึง สถานการณ์ใดๆ ที่บุคคลถูกบังคับโดยพฤตินัยให้ทำงานกับความต้องการของเจ้าของ นักวิชาการยังใช้คำทั่วไปจำนวนมาก เช่น แรงงานไม่เสรี หรือ แรงงานเกณฑ์บังคับ เพื่ออ้างอิงถึงสถานการณ์เช่นนี้[2] อย่างไรก็ตาม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ความเป็นทาสในความหมายที่กว้างขวางขึ้นของคำ ทาสอาจมีสิทธิทางกฎหมายและคุ้มครองตามกฎหมายหรือขนบประเพณี

ทาสมีอยู่ในหลายวัฒนธรรม ย้อนหลังไปถึงอารยธรรมมนุษย์ยุคแรกๆ[3] บุคคลอาจจะตกเป็นทาสได้ตั้งแต่ช่วงเวลากำเนิด ถูกจับ หรือซื้อขาย ทาสที่ถูกกฎหมายในสังคมส่วนใหญ่ในบางช่วงสมัยในครั้งอดีต แต่ในปัจจุบันถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในทุกประเทศที่ได้มีการยอมรับ[4][5] ประเทศสุดท้ายที่ได้มีการยกเลิกทาสอย่างเป็นทางการคือ ประเทศมอริเตเนีย ในปี ค.ศ. 1981 อย่างไรก็ตาม มีประมาณ 40.3 ล้านคนทั่วโลกที่อยู่ภายใต้รูปแบบของการเป็นทาสในยุคสมัยใหม่[6] รูปแบบที่พบมากที่สุดของการค้าทาสที่ยุคสมัยใหม่มักจะเรียกกันว่า การค้ามนุษย์ ในพื้นที่อื่นๆ ทาสยังคงดำเนินต่อไปผ่านทางการปฏิบัติ เช่น แรงงานขัดหนี้(debt bondage) รูปแบบของการเป็นทาสที่แพร่หลายมากที่สุดในยุคปัจจุบัน[2] การมีข้าแผ่นดิน(serfdom) คนรับใช้ภายในบ้าน(domestic worker)จะถูกเก็บไว้ในกรงขัง บางคนมักจะบีบบังคับเด็กให้ทำงานเป็นทาส เป็นทหารเด็ก และการแต่งงานโดยบังคับ[7]

ทาสในสยาม[แก้]

ประเภท[แก้]

สมัยก่อนในประเทศไทย ทาสได้ถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด (ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา โดยในสมัยก่อนหน้านั้นยังเป็นข้อถกเถียงของนักวิชาการ) ได้แก่

  1. ทาสสินไถ่- เป็นทาสที่มีมากที่สุดในบรรดาทาสทั้งหมด โดยเงื่อนไขของการเป็นทาสชนิดนี้ คือ การขายตัวเป็นทาส เช่น พ่อแม่ขายบุตร สามีขายภรรยา หรือขายตัวเอง ดังนั้น ทาสชนิดนี้จึงเป็นคนยากจน ไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวหรือตนเองได้ จึงได้เกิดการขายทาสขึ้น โดยสามารถเปลี่ยนสถานะกลับไปเมื่อมีผู้มาไถ่ถอน และทาสชนิดนี้ที่ปรากฏในวรรณคดีไทยคือนางสายทองซึ่งขายตัวให้กับนางศรีประจันนั่นเอง
  2. ทาสในเรือนเบี้ย-เด็กที่เกิดขึ้นระหว่างที่แม่เป็นทาสของนายทาส ทาสชนิดนี้ไม่สามารถไถ่ถอนตนเองได้
  3. ทาสที่ได้รับมาด้วยมรดก - ทาสที่ตกเป็นมรดกของนายทาส เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนายทาสคนเดิมเสียชีวิตลง และได้มอบมรดกให้แก่นายทาสคนต่อไป
  4. ทาสท่านให้ - ทาสที่ได้รับมาจากผู้อื่นอีกทีหนึ่ง
  5. ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ - ในกรณีที่บุคคลนั้น เกิดกระทำความผิดและถูกลงโทษเป็นเงินค่าปรับ แต่บุคคลนั้น ไม่มีความสามารถในการชำระค่าปรับ หากว่ามีผู้ช่วยเหลือให้สามารถชำระค่าปรับได้แล้ว ถือว่าบุคคลนั้น เป็นทาสของผู้ให้ความช่วยเหลือในการชำระค่าปรับ
  6. ทาสที่ช่วยไว้ให้พ้นจากความอดอยาก - ในภาวะที่ไพร่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้ประกอบอาชีพได้แล้ว ไพร่อาจขายตนเองเป็นทาสเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือจากนายทาส
  7. ทาสเชลย - ภายหลังจากได้รับการชนะสงคราม ผู้ชนะสงครามจะกวาดต้อนผู้คนของผู้แพ้สงครามไปยังเมืองของตน เพื่อนำผู้คนเหล่านั้นไปเป็นทาสรับใช้

การพ้นจากความเป็นทาส[แก้]

การพ้นจากความเป็นทาสสามารถเกิดขึ้นได้ จากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

  • โดยการหาเงินมาไถ่ถอน
  • การบวชเป็นสงฆ์โดยได้รับความยินยอมจากนายทาส
  • ไปการสงครามและถูกจับเป็นเชลย หลังจากนั้น สามารถหลบหนีออกมาได้
  • แต่งงานกับนายทาสหรือลูกหลานของนายทาส
  • ไปแจ้งทางการว่านายทาสเป็นกบฏ และผลสืบสวนออกมาว่าเป็นจริง
  • การประกาศไถ่ถอนจากพระมหากษัตริย์ ในช่วงของการเลิกทาส

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่ พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่าเมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21 ปี ก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง

ข้าทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งหลุดพ้นจากระบบดั้งเดิม ได้กลายเป็นราษฎรสยามและต่างมีโอกาสประกอบ อาชีพหลากหลาย พอถึงปี 2448 ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 (พ.ศ. 2448)

อ้างอิง[แก้]

  1. Brace, Laura (2004). The Politics of Property: Labour, Freedom and Belonging. Edinburgh University Press. p. 162. ISBN 978-0-7486-1535-3. สืบค้นเมื่อ May 31, 2012.
  2. 2.0 2.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ newint
  3. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Slavery
  4. Kevin Bales (2004). New Slavery: A Reference Handbook. ABC-CLIO. p. 4. ISBN 978-1-85109-815-6. สืบค้นเมื่อ February 11, 2016.
  5. White, Shelley K.; Jonathan M. White; Kathleen Odell Korgen (2014). Sociologists in Action on Inequalities: Race, Class, Gender, and Sexuality. Sage. p. 43. ISBN 978-1-4833-1147-0.
  6. "Findings Global Slavery Index 2016". 2016. สืบค้นเมื่อ 2 February 2018.
  7. "Religion & Ethics – Modern slavery: Modern forms of slavery". BBC. January 30, 2007. สืบค้นเมื่อ June 16, 2009.