กติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ
รัสเซีย: Договор о ненападении между Германией и Союзом Советских Социалистических Республик
เยอรมัน: Nichtangriffsvertrag zwischen Deutschland und der Union der Sozialistischen Sowjetrepubliken
สตาลินกับริบเบินทร็อพจับมือกัน หลังจากลงนามในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1939
วันลงนาม23 สิงหาคม 1939; 84 ปีก่อน (1939-08-23)
ที่ลงนามมอสโก, สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย, สหภาพโซเวียต
วันหมดอายุ23 สิงหาคม ค.ศ.1949 (แผน)
22 มิถุนายน ค.ศ.1941 (สิ้นสุด)
30 กรกฎาคม ค.ศ.1941 (ประกาศให้เป็นโมฆะอย่างเป็นทางการ)
ผู้ลงนาม
ภาษาเยอรมัน และรัสเซีย
Molotov–Ribbentrop Pact ที่ วิกิซอร์ซ
เนื้อหาของข้อตกลงลับ (เป็นภาษาเยอรมัน)

กติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ (อังกฤษ: Molotov–Ribbentrop Pact) เป็นสนธิสัญญาที่ได้ชื่อตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโซเวียต วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของนาซีเยอรมนี โยอาคิม ฟ็อน ริบเบินทร็อพ โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนีกับสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (German–Soviet Non-aggression Pact) และได้รับการลงนามในกรุงมอสโก เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 1939 (แต่ในกติกาสัญญาระบุเป็นวันที่ 23 สิงหาคม)[1] ความตกลงดังล่าวเป็นการประกาศวางตัวเป็นกลางหากภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตีโดยประเทศที่สาม ภาคีผู้ลงนามทั้งสองสัญญาจะไม่เข้าร่วมกลุ่มกับอำนาจอื่นซึ่ง "พุ่งเป้าหมายไปยังคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยตรงหรือโดยอ้อม" กติกาสัญญาดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึง กติกาสัญญานาซี–โซเวียต (Nazi–Soviet Pact), กติกาสัญญาฮิตเลอร์–สตาลิน, กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี–โซเวียต หรือบางครั้งก็เรียกว่า พันธมิตรนาซี–โซเวียต[2] กติกาสัญญามีผลจนถึงวันที่ 22 มิถุนายน 1941 เมื่อเยอรมนีเริ่มปฏิบัติการบาร์บารอสซา

นอกเหนือจากการกำหนดเงื่อนไขในการไม่รุกรานระหว่างกันแล้ว กติกาสัญญาดังกล่าวยังรวมไปถึงข้อตกลงลับ ซึ่งแบ่งยุโรปตะวันออกให้อยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของเยอรมนีและโซเวียต เพื่อให้มีการจัดระเบียบทางดินแดนและทางการเมืองในพื้นที่ดังกล่าวใหม่ หลังจากนั้น เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ร่วมกันบุกครองโปแลนด์ ตามด้วยการผนวกเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนียและดินแดนทางตอนเหนือของโรมาเนียเข้าไปอยู่ในเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต รวมไปถึงการผนวกดินแดนทางตะวันออกของฟินแลนด์ หลังจากความพยายามรุกรานของสหภาพโซเวียตในสงครามฤดูหนาว ภาคผนวกลับดังกล่าวถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ และเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดสงครามแห่งการรุกราน

อ้างอิง[แก้]

  1. Blank Pages by G.C.Malcher ISBN 1-897984-00-6 Page 7
  2. Benjamin B. Fischer, "The Katyn Controversy: Stalin's Killing Field เก็บถาวร 2010-03-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน", Studies in Intelligences, Winter 1999–2000, last accessed on 10 December 2005