ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โจเซฟ สตาลิน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Phaisit16207 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Matable (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 125: บรรทัด 125:
}}
}}


'''อีโอซิฟ วิสซารีโอโนวิช สตาลิน''' ({{lang-rus|Иосиф Виссарионович Сталин|r=Iosif Vissarionovich Stalin|p=ɪˈosʲɪf vʲɪsərʲɪˈonəvʲɪt͡ɕ ˈstalʲɪn}}) หรือ '''โจเซฟ สตาลิน''' ({{lang-en|Joseph Stalin}}) เป็นผู้นำสูงสุดของ[[สหภาพโซเวียต]] ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920 ถึง ค.ศ. 1953 และดำรงตำแหน่งเลขาธิการ[[พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต|พรรคคอมมิวนิสต์แห่งมวลสหภาพ]] ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปรียบได้กับหัวหน้าพรรค
'''อีโอซิฟ วิสซารีโอโนวิช สตาลิน''' ({{lang-rus|Иосиф Виссарионович Сталин|r=Iosif Vissarionovich Stalin|p=ɪˈosʲɪf vʲɪsərʲɪˈonəvʲɪt͡ɕ ˈstalʲɪn}}) หรือ '''โจเซฟ สตาลิน''' ({{lang-en|Joseph Stalin}}) เป็นนักปฏิวัติและผู้นำทางการเมืองโซเวียต[[ชาวจอร์เจีย]]ซึ่งปกครอง[[สหภาพโซเวียต]] ตั้งแต่ ค.ศ. 1924 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1953 เขาได้ขึ้นเถลิงอำนาจด้วยการขึ้นดำรงตำแหน่งทั้ง[[เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต]] (ค.ศ. 1922-1952) และ[[หัวหน้ารัฐบาลสหภาพโซเวียต|ประธานคณะรัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียต]] (ค.ศ. 1941-1953) แม้ว่าในช่วงแรกจะปกครองประเทศด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของ[[กลุ่มผู้นำส่วนรวมในสหภาพโซเวียต|กลุ่มผู้นำส่วนรวม]] จนในที่สุดเขาก็รวบอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จจนกลายเป็น[[เผด็จการ]]แห่งสหภาพโซเวียต ใน ค.ศ. 1930 ในอุดมการณ์ของ[[ลัทธิคอมมิวนิสต์]]ที่มุ่งมั่นถึงการตีความ[[ลัทธิมากซ์]]ของ[[ลัทธิเลนิน|ฝ่ายนิยมลัทธิเลนิน]] สตาลินได้เรียกแนวคิดนี้อย่างเป็นทางการว่า [[ลัทธิมากซ์-เลนิน]] ในขณะที่นโยบายของเขาเองที่ได้เรียกกันว่า [[ลัทธิสตาลิน]]


เขาเกิดในครอบครัวยากจนจากเมือง[[กอรี (ประเทศจอร์เจีย)|กอรี]] ใน[[จักรวรรดิรัสเซีย]] (ปัจจุบันคือ [[ประเทศจอร์เจีย]]) สตาลินได้เข้าเรียนที่[[สำนักเสมินาร์จิตวิญญาณแห่งทิฟลิส]] (Tbilisi Spiritual Seminary) ก่อนที่จะเข้าร่วม[[พรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย]]ของฝ่ายนิยมลัทธิมากซ์ในที่สุด เขาได้ทำการแก้ไขหนังสือพิมพ์ประจำพรรคที่มีชื่อว่า ''[[ปราฟดา]]("ความจริง")'' และระดมเงินทุนให้กับ[[บอลเชวิค|กลุ่มบอลเชวิค]]ของ[[วลาดีมีร์ เลนิน]] ผ่านทางการโจรกรรม การลักพาตัว และเงินค่าคุ้มครอง ซึ่งถูกจับกุมมาหลายครั้งแล้ว เขาจึงถูกเนรเทศภายในประเทศมาหลายครั้งแล้ว ภายหลังจากที่พวกบอลเชวิคได้เข้ายึดอำนาจในช่วง[[การปฏิวัติเดือนตุลาคม]] และสร้าง[[รัฐพรรคการเมืองเดียว]]ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ใน ค.ศ. 1917 สตาลินได้เข้าร่วมกับ[[โปลิตบูโร]]ในการปกครอง เข้าเป็นทหารใน[[สงครามกลางเมืองรัสเซีย]] ก่อนที่จะเข้าควบคุมดูแล[[สนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียต|การก่อตั้งสหภาพโซเวียต]]ใน ค.ศ. 1922 สตาลิน[[การเถลิงอำนาจของโจเซฟ สตาลิน|ได้ขึ้นรับตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศ]] ภายหลัง[[อสัญกรรมและรัฐพิธีศพของวลาดีมีร์ เลนิน|การเสียชีวิตของเลนิน]]ใน ค.ศ. 1924 ภายใต้การนำของสตาลิน [[สังคมนิยมประเทศเดียว|ลัทธิสังคมนิยมในประเทศเดียว]]กลายเป็นหลักการที่สำคัญของความเชื่อของพรรค ด้วยผลลัพธ์มาจาก[[แผนห้าปีของสหภาพโซเวียต|แผนห้าปี]]ที่ถูกดำเนินภายใต้การนำของเขา ประเทศได้ทำการรวบรวมผลผลิตทางเกษตรกรรมโดยรวม(agricultural collectivisation) และการทำให้เป็นอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว การสร้างเศรษฐกิจโดยสั่งการแบบรวมอำนาจ (a centralised command economy) สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การหยุดชะงักของการผลิตอาหารอย่างรุนแรง ซึ่งมีส่วนทำให้เกิด[[ทุกขพิภัยโซเวียต ค.ศ. 1932-1933|ทุกขพิภัยใน ค.ศ. 1932-33]] เพื่อเป็นการกำจัดผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "[[ศัตรูของชนชั้นกรรมกร]]" สตาลินได้จัดตั้ง[[การกวาดล้างใหญ่|การกวาดล้างครั้งใหญ่]] ซึ่งมีผู้ที่ถูกคุมขังจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคนและจำนวนผู้ถูกประหารชีวิตอย่างน้อย 700,000 คน ระหว่างปี ค.ศ. 1934 และ ค.ศ. 1939 ใน ค.ศ. 1937 เขาสามารถควบคุมพรรคและรัฐบาลได้อย่างเบ็ดเสร็จ
สตาลินสืบทอดอำนาจจาก [[วลาดิมีร์ เลนิน]] และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก หลัง[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] ก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจในการทำ[[สงครามเย็น]]กับ[[สหรัฐอเมริกา]]


สตาลินได้ส่งเสริม[[ลัทธิมากซ์-เลนิน]]จากต่างประเทศผ่านทาง[[องค์การคอมมิวนิสต์สากล]] และให้การสนับสนุนขบวนการ[[ต่อต้านฟาสซิสต์]]ในยุโรปในช่วงปี ค.ศ. 1930 โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน[[สงครามกลางเมืองสเปน]] ใน ค.ศ. 1939 ระบอบการปกครองของเขาได้ลงนามใน[[กติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ|กติกาสัญญาไม่รุกรานกัน]]กับ[[นาซีเยอรมนี]] ส่งผลทำให้[[การบุกครองโปแลนด์ของสหภาพโซเวียต|โซเวียตบุกครองโปแลนด์]] เยอรมนีได้ยุติกติกาสัญญาที่ได้ทำกันมาโดย[[ปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา|การรุกรานสหภาพโซเวียต]]ใน ค.ศ. 1941 แม้ว่าจะพ่ายแพ้ในช่วงแรก แต่[[กองทัพแดง]]กลับสามารถขับไล่เยอรมันผู้รุกรานไปได้และ[[ยุทธการที่เบอร์ลิน|เข้ายึดครองกรุงเบอร์ลิน]]ใน ค.ศ. 1945 ซึ่งทำให้[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]ในยุโรปได้ยุติลง ท่ามกลางสงคราม โซเวียตได้[[การยึดครองรัฐบอลติก|ผนวกรัฐบอลติก]]และจัดตั้ง[[จักรวรรดิโซเวียต|รัฐบาลที่เป็นแนวร่วมกับโซเวียต]]ทั่วทั้งยุโรปกลางและตะวันออก [[สงครามกลางเมืองจีน|จีน]] และ[[ฝ่ายบริหารพลเมืองโซเวียต|เกาหลีเหนือ]] สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาได้กลายเป็น[[อภิมหาอำนาจ]]โลกและเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด [[สงครามเย็น]] สตาลินได้เป็นผู้นำในการฟื้นฟูสภาพหลังสงครามของโซเวียตและ[[โครงการระเบิดปรมาณูของโซเวียต|การพัฒนาระเบิดปรมาณู]]ใน ค.ศ. 1949 ในช่วงปีเหล่านี้ ประเทศกำลังประสบ[[ทุกขภิกภัยในโซเวียต ค.ศ. 1946-1947|ภาวะทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง]]และการณรงค์ต่อต้านชาวยิวซึ่งนำไปสู่[[แผนลับแพทย์]] (doctors' plot) ภายหลังจาก[[อสัญกรรมและรัฐพิธีศพของโจเซฟ สตาลิน|การเสียชีวิตของสตาลิน]]ใน ค.ศ. 1953 ในที่สุดเขาก็ได้รับการสืบทอดตำแหน่งโดย[[นีกีตา ครุชชอฟ]] ซึ่งต่อมาในภายหลังได้[[ว่าด้วยลัทธิบูชาบุคคลและผลลัพธ์ของมัน|กล่าวประณามถึงความโหดร้ายจากการปกครองของเขา]]และริเริ่ม[[การล้มล้างอิทธิพลของสตาลิน]]ใน[[วัฒนธรรมของสหภาพโซเวียต|สังคมโซเวียต]]
โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อจริงของเขาคือ "โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี" (''იოსებ ბესარიონის ძე ჯუღაშვილი'', ''Ioseb Besarionis dze Jughashvili'') เขาเกิดที่เมือง [[โกรี]] [[ประเทศจอร์เจีย]] ตำแหน่งเมืองนั้นตั้งอยู่บนเนินสูงของ[[เทือกเขาคอเคซัส]] ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐของจักรวรรดิรัสเซียสมัยนั้น เขาก็เป็นชาวจอร์เจียโดยกำเนิด โดยชื่อ ''สตาลิน'' นี้เขาตั้งขึ้นมาเองขณะทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ (stalin ใน[[ภาษารัสเซีย]]แปลว่า [[เหล็กกล้า]])


จากการที่ได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในทศวรรษที่ 20 สตาลินเป็นหัวข้อของ[[ลัทธิบูชาบุคคล]]ที่ได้กระจายแพร่หลายภายในขบวนการลัทธิมากซ์-เลนินระดับสากล ซึ่งได้เคารพเทิดทูนในฐานะนักสู้แห่งชนชั้นกรรมกรและ[[สังคมนิยม]] นับตั้งแต่[[การล่มสลายของสหภาพโซเวียต]] สตาลินยังคงได้รับความนิยมในรัสเซียและจอร์เจียในฐานะผู้นำยามสงครามที่ได้รับชัยชนะ ซึ่งยึดมั่นสถานะของสหภาพโซเวียตในฐานะมหาอำนาจโลกที่สำคัญ ในทางตรงกันข้าม ระบอบการปกครองของเขาถูกมองว่าเป็น[[ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ|เผด็จการ]] และถูกประณามอย่างกว้างขวางจากการควบคุมดูแล[[การปราบปรามมวลชน]] [[การกวาดล้างชาติพันธุ์]] [[การโยกย้ายประชาการในสหภาพโซเวียต|การขับเนรเทศในวงกว้าง]] การประหารชีวิตนับแสนครั้ง และทุพภิกขภัยที่ได้คร่าชีวิตผู้คนนับล้าน
ด้วยความทะเยอทะยานทำให้สตาลินได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในพรรคบอลเชวิค หลังจากที่พรรคบอลเชวิคทำการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงได้ สตาลินก็ได้รับตำแหน่ง[[คณะกรรมการราษฎร (สหภาพโซเวียต)|กรรมการราษฎรฝ่ายชนชาติ]] จนเมื่อเลนินล้มป่วย สตาลินก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นไปอีก จนได้เป็นเลขาธิการพรรคใน ค.ศ. 1922 จนกระทั่งเมื่อเลนินเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1924 ก็ได้เกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างสตาลินกับ[[เลออน ทรอตสกี]] สุดท้ายสตาลินก็ชนะ

ค.ศ. 1939 เริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 สตาลินได้มีการทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับพรรคนาซีเยอรมนี ทำให้เกิดการแบ่งแยกอำนาจในยุโรปตะวันออก ใน ค.ศ. 1940 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง ผู้นำของสหภาพโซเวียต เขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมื่อ[[ศาสนา]]เป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน เขานำระบบ [[คอมมูน]] มาใช้ ทุกคนถูกห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างรวมทั้งตัวบุคคลเป็นของพรรคหรือคอมมูน ผู้ต่อต้านถูกส่งไป[[กูลัก|ค่ายกักกัน]]และเสียชีวิตราว 10 ล้านคน ไมมีการสำรวจประชากรว่าระหว่างเขาเป็นผู้นำประชากรโซเวียตเสียชีวิตไปเท่าไรในช่วงที่มีการปฏิวัติระบบนารวม

ค.ศ. 1941 ภายหลัง[[นาซีเยอรมนี]]บุกครองโปแลนด์ ฮิตเลอร์ก็ละเมิดข้อตกลงและเริ่มทำสงครามครั้งใหญ่กับสหภาพโซเวียตทันที ถึงแม้จะมีการสูญเสียดินแดนและกำลังพลจำนวนมาก กองทัพแดงโซเวียตก็สามารถต่อต้านกองทัพนาซีได้ ค.ศ. 1945 หลังจากปราบปรามแนวรบของฝ่ายอักษะในยุโรปตะวันออก กองทัพแดงของโซเวียตก็ทำการโจมตีและยึดกรุงเบอร์ลินเมืองหลวงของเยอรมนีได้สำเร็จ สตาลินได้จบสงครามในยุโรปให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรและนำโซเวียตชนะสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประชาชนเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน ทหารอีกกว่า 1 ล้าน 6 แสนคนที่พร้อมจะโจมตีญี่ปุ่นแต่ญี่ปุ่นชิงยอมแพ้สงครามกับอเมริกาเสียก่อนเนื่องจากกลัวที่จะสูญเสียเมืองต่าง ๆ อีกมากมายให้กับสหภาพโซเวียต จากนั้นสตาลินก็ได้พัฒนาประเทศให้เจริญเป็นอย่างมากและนำสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นสู่เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีประเทศยุโรปตะวันออกที่ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ โดยมีสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีประเทศยุโรปตะวันตกที่ปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นคู่แข่งจนนำไปสู่[[สงครามเย็น]]ในที่สุด

เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1953 หลังสตาลินตาย [[นีกีตา ครุชชอฟ]] ผู้นำคนใหม่ได้ผ่อนคลายความเข้มงวดในระบบสตาลินลง พร้อมทั้งประณามขุดคุ้ยความโหดร้ายของเจ้านายคนเก่าของเขา จนในที่สุดทุก ๆ ที่ ที่มีรูปปั้นสตาลินถูกทุบทิ้ง เพลงชาติถูกลบชื่อของเขาออก ศพของเขาถูกย้ายจากข้าง ๆ เลนิน ไปฝังอยู่ในกำแพง[[วังเครมลิน]]


== ครอบครัวและในวัยเด็ก ==
== ครอบครัวและในวัยเด็ก ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 07:06, 6 มกราคม 2565

โจเซฟ สตาลิน
Иосиф Сталин
สตาลินในปีค.ศ. 1945
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์
แห่งสหภาพโซเวียต
ดำรงตำแหน่ง
3 เมษายน 1924 – 16 ตุลาคม 1952
ก่อนหน้าวยาเชสลาฟ โมโลตอฟ
(ในฐานะเลขาธิการผู้เชื่อถือได้)
ถัดไปเกออร์กี มาเลนคอฟ (โดยพฤตินัย)[a]
ประธานคณะกรรมการราษฎร
แห่งสหภาพโซเวียต
ดำรงตำแหน่ง
6 พฤษภาคม 1941 – 15 มีนาคม 1946
ก่อนหน้าวยาเชสลาฟ โมโลตอฟ
ถัดไปตัวเอง (ในตำแหน่งประธานครม.)
ประธานคณะรัฐมนตรีสหภาพโซเวียต
ดำรงตำแหน่ง
15 มีนาคม 1946 – 5 มีนาคม 1953
ประธานาธิบดีมีฮาอิล คาลีนิน
นีโคไล ชเวียร์นิค
รองประธาน
ก่อนหน้าวยาเชสลาฟ โมโลตอฟ
ถัดไปเกออร์กี มาเลนคอฟ
กรรมการราษฎรฝ่ายชนชาติ
ดำรงตำแหน่ง
8 พฤศจิกายน 1917 – 7 กรกฎาคม 1923
หัวหน้ารัฐบาลวลาดีมีร์ เลนิน
ก่อนหน้าไม่มี (สถาปนาตำแหน่ง)
ถัดไปไม่มี (ยุบตำแหน่ง)
กรรมการราษฎรฝ่ายกลาโหม
ดำรงตำแหน่ง
19 กรกฎาคม 1941 – 15 มีนาคม 1946
หัวหน้ารัฐบาลตัวเอง
ก่อนหน้าเซมิออน ตีโมเชนโค
ถัดไปตัวเอง (ในตำแหน่งรมว.กลาโหม)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ดำรงตำแหน่ง
15 มีนาคม 1946 – 3 มีนาคม 1947
หัวหน้ารัฐบาลตัวเอง
ก่อนหน้าตัวเอง (ในตำแหน่งกรรมการราษฎรฯ)
ถัดไปนีโคไล บุลกานิน
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
โยเซบ เบซาริโอนิส ดซูกัสวิลี[b]

18 ธันวาคม ค.ศ. 1878
โกรี มณฑลติฟลิส จักรวรรดิรัสเซีย
เสียชีวิต5 มีนาคม ค.ศ. 1953(1953-03-05) (74 ปี)
มอสโก สหภาพโซเวียต
สาเหตุการเสียชีวิตเลือดออกในสมองใหญ่
พรรคการเมือง
คู่สมรส
  • Ekaterine Svanidze (1906–07)
  • Nadezhda Alliluyeva (1919–32)
บุตร
บุพการี
การศึกษาวิทยาลัยสงฆ์แห่งทบิลีซี
รางวัล
วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต
ลายมือชื่อ
ชื่อเล่นโคบา
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้ สหภาพโซเวียต
สังกัดกองทัพแดง
ประจำการ
  • ค.ศ. 1918–1920
  • ค.ศ. 1941–1953
ยศจอมพลแห่งสหภาพโซเวียต (1943)
จอมพลสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียต (1945)
ผ่านศึก
Central institution membership
  • 1917–1953: Full member, 6th19th Presidium
  • 1922–1943: 11th19th Secretariat
  • 1920–1952: 9th18th Orgburo
  • 1912–1953: Full member, 5th19th Central Committee

อีโอซิฟ วิสซารีโอโนวิช สตาลิน (รัสเซีย: Иосиф Виссарионович Сталин, อักษรโรมัน: Iosif Vissarionovich Stalin, สัทอักษรสากล: [ɪˈosʲɪf vʲɪsərʲɪˈonəvʲɪt͡ɕ ˈstalʲɪn]) หรือ โจเซฟ สตาลิน (อังกฤษ: Joseph Stalin) เป็นนักปฏิวัติและผู้นำทางการเมืองโซเวียตชาวจอร์เจียซึ่งปกครองสหภาพโซเวียต ตั้งแต่ ค.ศ. 1924 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1953 เขาได้ขึ้นเถลิงอำนาจด้วยการขึ้นดำรงตำแหน่งทั้งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (ค.ศ. 1922-1952) และประธานคณะรัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียต (ค.ศ. 1941-1953) แม้ว่าในช่วงแรกจะปกครองประเทศด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้นำส่วนรวม จนในที่สุดเขาก็รวบอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จจนกลายเป็นเผด็จการแห่งสหภาพโซเวียต ใน ค.ศ. 1930 ในอุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มุ่งมั่นถึงการตีความลัทธิมากซ์ของฝ่ายนิยมลัทธิเลนิน สตาลินได้เรียกแนวคิดนี้อย่างเป็นทางการว่า ลัทธิมากซ์-เลนิน ในขณะที่นโยบายของเขาเองที่ได้เรียกกันว่า ลัทธิสตาลิน

เขาเกิดในครอบครัวยากจนจากเมืองกอรี ในจักรวรรดิรัสเซีย (ปัจจุบันคือ ประเทศจอร์เจีย) สตาลินได้เข้าเรียนที่สำนักเสมินาร์จิตวิญญาณแห่งทิฟลิส (Tbilisi Spiritual Seminary) ก่อนที่จะเข้าร่วมพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียของฝ่ายนิยมลัทธิมากซ์ในที่สุด เขาได้ทำการแก้ไขหนังสือพิมพ์ประจำพรรคที่มีชื่อว่า ปราฟดา("ความจริง") และระดมเงินทุนให้กับกลุ่มบอลเชวิคของวลาดีมีร์ เลนิน ผ่านทางการโจรกรรม การลักพาตัว และเงินค่าคุ้มครอง ซึ่งถูกจับกุมมาหลายครั้งแล้ว เขาจึงถูกเนรเทศภายในประเทศมาหลายครั้งแล้ว ภายหลังจากที่พวกบอลเชวิคได้เข้ายึดอำนาจในช่วงการปฏิวัติเดือนตุลาคม และสร้างรัฐพรรคการเมืองเดียวภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ใน ค.ศ. 1917 สตาลินได้เข้าร่วมกับโปลิตบูโรในการปกครอง เข้าเป็นทหารในสงครามกลางเมืองรัสเซีย ก่อนที่จะเข้าควบคุมดูแลการก่อตั้งสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1922 สตาลินได้ขึ้นรับตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศ ภายหลังการเสียชีวิตของเลนินใน ค.ศ. 1924 ภายใต้การนำของสตาลิน ลัทธิสังคมนิยมในประเทศเดียวกลายเป็นหลักการที่สำคัญของความเชื่อของพรรค ด้วยผลลัพธ์มาจากแผนห้าปีที่ถูกดำเนินภายใต้การนำของเขา ประเทศได้ทำการรวบรวมผลผลิตทางเกษตรกรรมโดยรวม(agricultural collectivisation) และการทำให้เป็นอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว การสร้างเศรษฐกิจโดยสั่งการแบบรวมอำนาจ (a centralised command economy) สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การหยุดชะงักของการผลิตอาหารอย่างรุนแรง ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดทุกขพิภัยใน ค.ศ. 1932-33 เพื่อเป็นการกำจัดผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "ศัตรูของชนชั้นกรรมกร" สตาลินได้จัดตั้งการกวาดล้างครั้งใหญ่ ซึ่งมีผู้ที่ถูกคุมขังจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคนและจำนวนผู้ถูกประหารชีวิตอย่างน้อย 700,000 คน ระหว่างปี ค.ศ. 1934 และ ค.ศ. 1939 ใน ค.ศ. 1937 เขาสามารถควบคุมพรรคและรัฐบาลได้อย่างเบ็ดเสร็จ

สตาลินได้ส่งเสริมลัทธิมากซ์-เลนินจากต่างประเทศผ่านทางองค์การคอมมิวนิสต์สากล และให้การสนับสนุนขบวนการต่อต้านฟาสซิสต์ในยุโรปในช่วงปี ค.ศ. 1930 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามกลางเมืองสเปน ใน ค.ศ. 1939 ระบอบการปกครองของเขาได้ลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานกันกับนาซีเยอรมนี ส่งผลทำให้โซเวียตบุกครองโปแลนด์ เยอรมนีได้ยุติกติกาสัญญาที่ได้ทำกันมาโดยการรุกรานสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1941 แม้ว่าจะพ่ายแพ้ในช่วงแรก แต่กองทัพแดงกลับสามารถขับไล่เยอรมันผู้รุกรานไปได้และเข้ายึดครองกรุงเบอร์ลินใน ค.ศ. 1945 ซึ่งทำให้สงครามโลกครั้งที่สองในยุโรปได้ยุติลง ท่ามกลางสงคราม โซเวียตได้ผนวกรัฐบอลติกและจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นแนวร่วมกับโซเวียตทั่วทั้งยุโรปกลางและตะวันออก จีน และเกาหลีเหนือ สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาได้กลายเป็นอภิมหาอำนาจโลกและเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด สงครามเย็น สตาลินได้เป็นผู้นำในการฟื้นฟูสภาพหลังสงครามของโซเวียตและการพัฒนาระเบิดปรมาณูใน ค.ศ. 1949 ในช่วงปีเหล่านี้ ประเทศกำลังประสบภาวะทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งและการณรงค์ต่อต้านชาวยิวซึ่งนำไปสู่แผนลับแพทย์ (doctors' plot) ภายหลังจากการเสียชีวิตของสตาลินใน ค.ศ. 1953 ในที่สุดเขาก็ได้รับการสืบทอดตำแหน่งโดยนีกีตา ครุชชอฟ ซึ่งต่อมาในภายหลังได้กล่าวประณามถึงความโหดร้ายจากการปกครองของเขาและริเริ่มการล้มล้างอิทธิพลของสตาลินในสังคมโซเวียต

จากการที่ได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในทศวรรษที่ 20 สตาลินเป็นหัวข้อของลัทธิบูชาบุคคลที่ได้กระจายแพร่หลายภายในขบวนการลัทธิมากซ์-เลนินระดับสากล ซึ่งได้เคารพเทิดทูนในฐานะนักสู้แห่งชนชั้นกรรมกรและสังคมนิยม นับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต สตาลินยังคงได้รับความนิยมในรัสเซียและจอร์เจียในฐานะผู้นำยามสงครามที่ได้รับชัยชนะ ซึ่งยึดมั่นสถานะของสหภาพโซเวียตในฐานะมหาอำนาจโลกที่สำคัญ ในทางตรงกันข้าม ระบอบการปกครองของเขาถูกมองว่าเป็นเผด็จการ และถูกประณามอย่างกว้างขวางจากการควบคุมดูแลการปราบปรามมวลชน การกวาดล้างชาติพันธุ์ การขับเนรเทศในวงกว้าง การประหารชีวิตนับแสนครั้ง และทุพภิกขภัยที่ได้คร่าชีวิตผู้คนนับล้าน

ครอบครัวและในวัยเด็ก

สตาลินใน ค.ศ. 1894 และ ค.ศ. 1902 สตาลินใน ค.ศ. 1894 และ ค.ศ. 1902
สตาลินใน ค.ศ. 1894 และ ค.ศ. 1902

ก่อนหน้าการเกิดของสตาลิน บิดาและมารดาของเขาได้ให้กำเนิดบุตรมาแล้วถึง 2 คน แต่ก็เสียชีวิตหลังจากเกิดได้ไม่นาน จนมีบุตรคนที่ 3 ซึ่งก็คือสตาลิน ภายหลังการเกิดนั้น มารดาของสตาลินได้สวดอ้อนวอนอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ให้พรากชีวิตบุตรชายของเธอไป พร้อมกับอธิษฐานว่าเธอและบุตรชาย จะอุทิศตนเองเพื่อพระผู้เป็นเจ้าตลอดไป

สตาลิน มีชื่อเล่นในวัยเด็กคือ โซซา ซึ่งพ่อของเขาเป็นช่างทำรองเท้า ชอบทุบตีคนในครอบครัวยามเมาสุราเสมอ ต่อมาพ่อของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองทิฟลิส ทำให้สตาลินต้องอาศัยอยู่กับมารดาเพียงคนเดียวในจอร์เจีย[1] ซึ่งเมืองที่เขาอยู่ ก็เต็มไปด้วยอาชญากรรม การเอารัดเอาเปรียบ ความรุนแรงตามท้องถนน จึงทำให้สภาพแวดล้อมสังคมและความรุนแรงในครอบครัวบ่มนิสัยสตาลินให้เป็นคนก้าวร้าว และเกิดความเกลียดชังชาวยิวที่อยู่ในเมือง ทั้ง ๆ ที่เมืองที่เขาอยู่ ไม่มีใครต่อต้านชาวยิวเลย ซึ่งชาวยิวอยู่ร่วมกับคนพื้นเมืองมานานอย่างสันติ นิยมประกอบอาชีพนายทุนเงินกู้ พ่อค้า ช่างตัดเสื้อ ช่างตัดรองเท้า เป็นต้น ประกอบกับครอบครัวที่ลำบาก ส่งผลให้มารดาของเขาต้องไปกู้เงินจากนายทุนชาวยิวซึ่งเรียกดอกเบี้ยราคาแพง และจะเข้ามายึดสิ่งของในบ้านเป็นค่าปรับเมื่อผิดนัดชำระดอกเบี้ย ทำให้เขาเกลียดแค้นชาวยิวและอยากแก้แค้นอยู่เสมอ นอกเหนือจากนั้น ชีวิตสตาลินก็เป็นเด็กที่เรียนดี ทั้งที่พ่อแม่ของเขาไม่รู้หนังสือและครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ลำบาก

การศึกษาในโรงเรียนสามเณรกอรี

มารดาของสตาลินเป็นผู้เคร่งในศีลธรรม เธอจึงตัดสินใจให้สตาลินบวชเป็นพระและเข้าเรียนในโรงเรียนสามเณรกอรี ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1888 ด้วยความอุปการะจากเศรษฐีชาวจอร์เจียชื่อยาคอฟที่มารดาของเขาทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้าน ซึ่งสตาลินเป็นคนที่สำนึกในบุญคุณคน เมื่อเขามีบุตรชายคนแรก เขาได้ตั้งชื่อว่ายาคอฟ ตั้งตามชื่อผู้ที่อุปการะเขา

ด้านการเรียนนั้น สตาลินเป็นคนขยัน และมีความจำดี และหัวไว ทำให้ได้รับทุนการศึกษาของโรงเรียน และได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนตัวอย่าง ซึ่งทุก ๆ ปี หนังสือพิมพ์ของสำนักสงฆ์นิกายจอร์เจียนออโธดอกซ์แห่งเมืองกอรี จะตีพิมพ์รายชื่อของนักเรียนที่สอบได้คะแนนดีที่สุดในชั้น ซึ่งชื่อของสตาลิน ได้อยู่ลำดับที่ 1 ทุกครั้ง นอกเหนือจากนั้น หลังการสอบปลายภาคทุกครั้ง สตาลินยังได้รับประกาศนียบัตรเรียนดีที่โรงเรียนมอบให้ผู้ที่สอบได้ลำดับที่ 1 ของชั้นเรียน และเขายังได้รับประกาศนียบัตรความก้าวหน้าในการเรียน

สตาลินมีพรสวรรค์ด้านการขับร้องเพลง ครูที่โรงเรียนจึงฝึกให้เขาเพิ่มเติม จากนั้นสองปี สตาลินก็ร้องเพลงได้อย่างกับนักร้องอาชีพ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยคอนดักเตอร์ พร้อมกับเป็นหัวหน้าคณะนักร้อง โดยสตาลินเองมักถูกจ้างไปร้องเพลงในงานแต่งงานเสมอ

ความชื่นชอบในการละเล่นและกีฬา สตาลินชื่นชอบการตะลุมบอน เป็นการละเล่นและกีฬาพื้นเมือง ที่แบ่งกลุ่มผู้เล่นออกไป 2 ฝั่ง จากนั้นก็จะเข้าตะลุมบอนกันแบบไม่มีความปรานี โดยสตาลินขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มได้ทั้งที่อายุน้อยและแข็งแกร่งน้อยกว่าลูกน้องในทีมของตัวเอง 3 คน แต่เขาก็มีสิ่งที่ทดแทนคือความคล่องแคล่วว่องไว สตาลินตั้งฉายาให้กลุ่มเพื่อน 3 คนของเขาว่า สามทหารเสือ ซึ่งสตาลินไม่เคยลืมเพื่อนของเขาเลย แม้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สตาลินวัย 60 ปี ที่เป็นผู้นำสหภาพโซเวียตในขณะนั้น ได้ส่งเงินส่วนตัวไปให้กับเพื่อนทั้ง 3 คนนี้คนละหลายหมื่นรูเบิล และมีข้อความในจดหมายว่า "โปรดรับของขวัญเล็กน้อยนี้จากฉันด้วย จากโซซ่าของพวกนาย" โดยเพื่อนหนึ่งในสามของสตาลินได้กล่าวอีกว่า "เขาไม่เคยลืมพวกเรา และมักจะส่งการ์ดมาให้เราเมื่อถึงวันเกิด หรือวันสำคัญอื่น ๆ เสมอ ครั้งหนึ่งเขาก็เคยส่งการ์ดที่เขียนว่า ขอให้อยู่หมื่นปี มาให้ผม"

นอกเหนือจากเพื่อนสนิทสามทหารเสือแล้ว สตาลินยังมีเพื่อนสนิทอีกคนที่มาจากละแวกใกล้บ้านชื่อ ซิมอน เขาเป็นคนเกเร นิยมความรุนแรง ซึ่งสตาลินสามารถควบคุมและทำให้เขาเคารพได้ และได้กลายเป็นมือสังหารคนสำคัญของสตาลินในขณะทำงานปฏิวัติรัสเซีย

สิ่งที่สตาลินสนใจมากเป็นพิเศษอีกอย่าง คือการอ่านหนังสือ เพราะความขาดแคลนหนังสือ ทำให้เขามีความกระหายอ่านใฝ่รู้ และมักไปขอยืมหนังสือจากห้องสมุดของเมืองกอรี่มาอ่านเสมอ สตาลินชื่นในวรรณกรรมเรื่อง Otezubiza ซึ่งชื่อตัวละครเอก ชื่อ โคบา เป็นโจรปล้นคนรวยมาช่วยเหลือคนจน โดยสตาลินมีตวามฝันอยากจะเป็นโคบาคนที่สอง

ในวันคริสต์มาสอีฟ ของนิกายออโธดอกซ์ กลุ่มนักร้องประสานเสียงของโรงเรียนสามเณรกอรี่ โดยหนึ่งในนั้นมีสตาลินรวมอยู่ด้วย ได้มายืนร้องเพลงสวดที่ริมสะพานข้ามแม่น้ำคูร์ ก็ได้เกิดอุบัติเหตุมีรถม้าวิ่งพุ่งเข้าชนกลุ่มนักร้องประสานเสียง ซึ่งสตาลินโชคร้ายที่ม้าได้ชนสตาลินและล้อรถทับข้อมือซ้ายของเขาหัก และด้วยความยากจนทำให้มารดาของสตาลินไม่สามารถพาเขาไปรักษาข้อมือซ้ายได้ เขามือซ้ายของเขาจึงพิการตั้งแต่นั้นมา

และในปี ค.ศ.1894 สตาลินก็จบการศึกษาด้วยคะแนนยอดเยี่ยม และได้รับทุนศึกษาต่อที่วิทยาลัยสงฆ์แห่งทิฟลิส ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา

นโยบายต่างประเทศ

โจเซฟ สตาลินนำสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจในสงครามเย็นกับสหรัฐอเมริกาหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 โซเวียตมีฐานะที่มั่นคงแข็งแรงทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารมากขึ้น แม้ว่าทางการทหารจะยังเป็นรองสหรัฐอเมริกาในระยะแรกก็ตาม หลังจากนั้นสตาลินได้เปลี่ยนท่าทีหันมาดำเนินนโยบายรุนแรง กวาดล้างผู้เป็นปรปักษ์จำนวนมากและมีนโยบายแข็งกร้าวต่อต้านสหรัฐอเมริกา ซึ่งโซเวียตมองว่าเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง

สิ่งแรกที่โซเวียตเร่งดำเนินการก็คือ สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ให้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในยุโรปตะวันออกเป็นแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ภายใต้การชี้นำของโซเวียต สนับสนุนขบวนการปลดแอก ให้เป็นเครื่องมือในการทำลายจักวรรดินิยมของอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และสหรัฐ สำหรับประเทศยุโรปตะวันออกนั้นมีความสำคัญต่อโซเวียตเป็นอย่างยิ่งในทางภูมิรัฐศาสตร์ ถือเป็นดุลอำนาจให้แก่โซเวียตในการแข่งขันกับกลุ่มประเทศทุนนิยมที่พัฒนาแล้ว

การผนึกกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์

สตาลินได้จัดตั้งโคมินฟอร์ม (Communist Information Bureau หรือ Cominform) ในเดือนกันยายน ปี 1947 เพื่อใช้สำนักงานนี้เป็นเครื่องมือในการควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศอื่นให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และอยู่ในวินัยที่เคร่งครัด ภายใต้การควบคุมของโซเวียต แม้ว่าสตาลินจะถือนโยบายอยู่ร่วมกันโดยสันติ (Peaceful Co-Existence) ก็เพียงชั่วคราวเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น ยังมีความเชื่อมั่นตามอุดมการณ์ที่จะเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าไปในประเทศต่างๆ และเห็นว่าสงครามการปะทะกันระหว่างฝ่ายนายทุนกับสังคมนิยมนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้นนโยบายของสตาลินในช่วงนี้จึงนิยมความรุนแรงและรุกราน พยายามที่จะแยกประชาชาติต่างๆในยุโรปมิให้รวมกันได้ อาจกล่าวได้ว่าฝ่ายสหภาพโซเวียตริเริ่มทำให้เกิดสงครามเย็นระหว่างโลกตะวันตกหรือโลกเสรีซึ่งสหรัฐเป็นผู้นำ กับโลกตะวันออกหรือค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่โซเวียตเป็นผู้นำ ทำให้โลกอยู่ในสภาวะ 2 ศูนย์อำนาจอย่างเคร่งครัด สตาลินมีนโยบายรวบรวมผนึกกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้อาณัติของสหภาพโซเวียตอย่างเข้มงวด โดยใช้กำลังทหารและการบีบคั้นทางด้านอื่น เช่นทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ทำให้ประเทศในค่ายสังคมนิยมในยุโรปตะวันออกถูกขนานนามว่าเป็นบริวารโซเวียต (Soviet Satellite หรือ Soviet Bloc) ซึ่งเรียกว่า ลัทธิสตาลิน (Stalinism)

การแทรกแซงการเมืองในประเทศอื่น

นอกจากนี้โซเวียตยังเข้าไปมีบทบาทแทรกแซงการเมืองในประเทศอื่นๆ อีก เช่นในปี 1947 ได้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ให้ยึดครองกรีซ (เหตุการณ์ครั้งนี้พรรคคอมมิวนิสต์กระทำการไม่สำเร็จ เพราะสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาสกัดกั้น ให้ความช่วยเหลือกรีซและตุรกีตามแผนการมาแชล) และวิกฤตการณ์ปิดล้อมเบอร์ลิน ค.ศ. 1948 – 1949 (ทำให้มีการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตกคืออังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐ จนต้องแบ่งแยกเยอรมันออกเป็น 2 ประเทศโดยเด็ดขาด) นอกจากนี้ก็มีเหตุการณ์ที่สตาลินขับไล่ ยูโกสลาเวีย ภายใต้การนำของติโต้ออกจากองการณ์โคมินฟอร์มในปี 1948 และ ในปี 1949 ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างในการคิดสร้างอาวุธนิวเคลียร์เพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา และปีเดียวกันก็จัดตั้ง สภาเพื่อการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ:Council for Mutual Economic Assistance หรือ Comecon (โคเมคอน) หรือ CEMA (ซีมา) เพื่อต่อต้านองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป

นโยบายต่างประเทศ-จีน

โซเวียตมีอิทธิพลมากขึ้น ให้ความช่วยเหลือจีนภายหลังจากที่คอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุง ปฏิวัติสำเร็จเมื่อ 1949 โซเวียตต้องการครอบงำจีนไว้เป็นมิตรทางยุทธศาสตร์ เพื่อสกัดกั้นญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา แม้ว่าโซเวียตจะมีสนธิสัญญาพันธมิตรกับจีนเมื่อปี 1950 และมีอายุ 30 ปีก็ตาม แต่โซเวียตต้องการจะครอบงำจีนและขาดความจริงใจในการช่วยเหลือจีน จึงกลายเป็นเรื่องขัดแย้งต่อมาภายหลัง การที่โซเวียตสนับสนุนช่วยเหลือเกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้ในสงครามเกาหลี 1950 ซึ่งแม้โซเวียตไม่ได้ประจันหน้าโดยตรงเพราะจีนเข้ามามีบทบาทแทนโซเวียต ตลอดจนการสนับสนุนเวียดมินห์ภายใต้การนำของโฮจิมินห์ ต่อต้านฝรั่งเศสตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงจนประสบชัยชนะในปี 1954 เหตุการณ์ที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่โซเวียตเข้าไปมีบทบาทแทรกแซงเพื่อการขยายอำนาจและอิทธิพลของโซเวียต

สรุปได้ว่า นโยบายต่างประเทศสมัยสตาลินเป็นไปในทางรุกแข็งกร้าว เพื่อสร้างอำนาจให้แข็งแกร่งมีความเป็นปึกแผ่นในค่ายสังคมนิยม ภายใต้อิทธิพลของโซเวียตเพื่อแข่งขันและสกัดกั้นอิทธิพลของฝ่ายตะวันตกและสหรัฐ จนกระทั่งสตาลินถึงแก่กรรมในปี 1953 ด้วยวัย 75 ปี

หมายเหตุ

  1. After Stalin's death, Georgy Malenkov succeeded him as both head of government and the highest-ranking member of the party apparatus.
  2. Stalin's original Georgian name was Ioseb Besarionis dze Jughashvili (იოსებ ბესარიონის ძე ჯუღაშვილი). The Russian equivalent of this is Iosif Vissarionovich Dzhugashvili (Иосиф Виссарионович Джугашвили). During his years as a revolutionary, he adopted the alias "Stalin", and after the October Revolution he made it his legal name.

อ้างอิง

  1. วิกรม กรมดิษฐ์, มองซีอีโอโลก ภาค 7, โพสต์ พับลิชชิง, 2553

2. เพิ่มศักดิ์ โตสวัสดิ์, สตาลิน อำนาจบนซากศพ , กรุงเทพมหานคร: Animate Group, ISBN 978-616-7030-17-3

แหล่งข้อมูลอื่น

ก่อนหน้า โจเซฟ สตาลิน ถัดไป
วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ ประธานคณะกรรมการราษฎรสหภาพโซเวียต
(6 พฤษภาคม 1941 – 15 มีนาคม 1946)
ตัวเอง
ในตำแหน่งประธานคณะรัฐมนตรี
ตัวเอง
ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการราษฎร
ประธานคณะรัฐมนตรีสหภาพโซเวียต
(15 มีนาคม 1946 – 5 มีนาคม 1953)
เกออร์กี มาเลนคอฟ
ไม่มี กรรมการราษฎรฝ่ายชนชาติ
(8 พฤศจิกายน 1917 – 7 กรกฎาคม 1923)
ไม่มี
เซมิออน ตีโมเชนโค กรรมการราษฎรฝ่ายกลาโหม
(19 กรกฎาคม 1941 – 15 มีนาคม 1946)
ตัวเอง
ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ตัวเอง
ในตำแหน่งกรรมการราษฎรฝ่ายกลาโหม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
(15 มีนาคม 1946 – 3 มีนาคม 1947)
นีโคไล บุลกานิน
วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ
ในตำแหน่ง เลขาธิการผู้รับผิดชอบ
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต
(3 เมษายน 1922 – 16 ตุลาคม 1952)
นิกิตา ครุสชอฟ
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1939)
วินสตัน เชอร์ชิล
แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1942)
จอร์จ มาร์แชล