ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ตระกูลหวั่งหลี"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Dharmadana (คุย | ส่วนร่วม)
Dharmadana (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 36: บรรทัด 36:
==ประวัติ==
==ประวัติ==
[[ไฟล์:Wanglee House 2015-02.jpg|thumb|[[บ้านหวั่งหลี]]]]
[[ไฟล์:Wanglee House 2015-02.jpg|thumb|[[บ้านหวั่งหลี]]]]
[[ไฟล์:LHONG 1919 (II).jpg|thumb|[[ล้ง 1919]]]]
ต้นตระกูลคือ ตันฉื่อฮ้วง แซ่ตั้ง เป็นพ่อค้าที่ล่องเรือไปมาระหว่างซัวเถากับกรุงเทพ เพื่อนำข้าวไทยไปค้าขายในที่อื่น พร้อมทั้งนำผ้าไหมจากจีนกลับมาขายในไทย เมื่ออายุ 27 ปี จึงได้ตัดสินใจตักรกรากที่ไทย เมื่อ พ.ศ. 2414 อันเป็นปีที่ 3 ในรัชสมัยของ[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ตันฉื่อฮ้วง มีภรรยาอยู่ที่เมืองจีนแล้วหนึ่งคน และมีภรรยาชาวไทยนามว่า หนู ตระกูลโปษยานนท์ มีลูกด้วยกัน 4 คน เป็นชาย 2 หญิง 2 หลังจากตันฉื่อฮ้วงสร้าง[[บ้านหวั่งหลี]] ขยายธุรกิจค้าข้าวจนเจริญรุ่งเรือง และได้ริเริ่มกิจการโรงสีขึ้นอีก 2 โรง จน พ.ศ. 2447 ตันฉื่อฮ้วง ตัดสินใจเดินทางกลับไปใช้ชีวิตกับภรรยาชาวจีนที่หมู่บ้านโจ่ยโคย ตำบลซัวเถา โดยให้บุตรชาย ตันลิบบ๊วย มาเป็นผู้สานต่อกิจการแทน
ต้นตระกูลคือ ตันฉื่อฮ้วง แซ่ตั้ง เป็นพ่อค้าที่ล่องเรือไปมาระหว่างซัวเถากับกรุงเทพ เพื่อนำข้าวไทยไปค้าขายในที่อื่น พร้อมทั้งนำผ้าไหมจากจีนกลับมาขายในไทย เมื่ออายุ 27 ปี จึงได้ตัดสินใจตักรกรากที่ไทย เมื่อ พ.ศ. 2414 อันเป็นปีที่ 3 ในรัชสมัยของ[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ตันฉื่อฮ้วง มีภรรยาอยู่ที่เมืองจีนแล้วหนึ่งคน และมีภรรยาชาวไทยนามว่า หนู ตระกูลโปษยานนท์ มีลูกด้วยกัน 4 คน เป็นชาย 2 หญิง 2 หลังจากตันฉื่อฮ้วงสร้าง[[บ้านหวั่งหลี]] ขยายธุรกิจค้าข้าวจนเจริญรุ่งเรือง และได้ริเริ่มกิจการโรงสีขึ้นอีก 2 โรง จน พ.ศ. 2447 ตันฉื่อฮ้วง ตัดสินใจเดินทางกลับไปใช้ชีวิตกับภรรยาชาวจีนที่หมู่บ้านโจ่ยโคย ตำบลซัวเถา โดยให้บุตรชาย ตันลิบบ๊วย มาเป็นผู้สานต่อกิจการแทน


บรรทัด 43: บรรทัด 44:


พ.ศ. 2531 วุฒิชัย หวั่งหลี รุ่นที่ 4 ตัดสินใจนำกิจการค้าข้าวออกจาก ธุรกิจกงสีของตระกูลมาบริหารจัดการด้วยตนเอง ตั้งเป็นบริษัท ชัยทิพย์ จำกัด ทำการตลาดตราสินค้าพนมรุ้งสำหรับตลาดในประเทศ และตรา Qing Ling Zhi สำหรับตลาด[[ฮ่องกง]]<ref>{{cite web |title=“วุฒิพล หวั่งหลี” ผู้พลิกฟื้นและสานต่ออาณาจักรค้าข้าว ระดับท็อปของประเทศ |url=https://www.tiscowealth.com/trust-magazine/issue-41/new-generation.html |publisher=ทิสโก้}}</ref>
พ.ศ. 2531 วุฒิชัย หวั่งหลี รุ่นที่ 4 ตัดสินใจนำกิจการค้าข้าวออกจาก ธุรกิจกงสีของตระกูลมาบริหารจัดการด้วยตนเอง ตั้งเป็นบริษัท ชัยทิพย์ จำกัด ทำการตลาดตราสินค้าพนมรุ้งสำหรับตลาดในประเทศ และตรา Qing Ling Zhi สำหรับตลาด[[ฮ่องกง]]<ref>{{cite web |title=“วุฒิพล หวั่งหลี” ผู้พลิกฟื้นและสานต่ออาณาจักรค้าข้าว ระดับท็อปของประเทศ |url=https://www.tiscowealth.com/trust-magazine/issue-41/new-generation.html |publisher=ทิสโก้}}</ref>

บริษัท ซิโน พอร์ท จำกัด ซึ่งมี บริษัท หวั่งหลี จำกัด ถือหุ้น 30% และอีก 70% เป็นการถือในนามบุคคลของลูกหลานตระกูลหวั่งหลีเฉพาะกลุ่มที่ยังคงอาศัยอยู่ในประเทศไทยและผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ ได้บูรณะ[[ล้ง 1919]] แต่เดิมคือ ฮวยจุ่งล้ง ที่ดินตกทอดในตระกูลของพระยาพิศาลศุภผล (ชื่น) ต้นตระกูลพิศาลบุตร จนกระทั่งตันลิบบ๊วย รุ่น 2 ของตระกูลหวั่งหลีซึ่งมีบ้านในที่ดินติดกันได้ซื้อที่ดินมาเมื่อ พ.ศ. 2462<ref>{{cite web |author1=พัฐรัศมิ์ ว่องไชยกุล |title=ตระกูล ‘หวั่งหลี’ ชุบชีวิต ‘ล้ง 1919’ ตำนานท่าเรือกลไฟ 167 ปีแห่งคลองสาน |url=https://forbesthailand.com/forbes-life/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A5-%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5-%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4.html |publisher=ฟอบส์ประเทศไทย}}</ref>


==อ้างอิง==
==อ้างอิง==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:49, 17 ธันวาคม 2564

หวั่งหลี
ถิ่นกำเนิดหมู่บ้านโจ่ยโคย ตำบลซัวเถา ประเทศจีน
ต้นตระกูลตันฉื่อฮ้วง แซ่ตั้ง

ตระกูลหวั่งหลี เป็นตระกูลนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีนจากซัวเถา ประเทศจีนเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่ธุรกิจผลิตวุ้นเส้น การค้าฝ้าย ค้าปอ เรื่อยมาจนถึงธุรกิจตลาดสด มายังธุรกิจศูนย์การค้าและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจประกันภัย ธนาคาร ฯลฯ ก่อตั้งบริษัทอย่างนวกิจประกันภัย พูนผล พูลพิพัฒน์ ฯลฯ

ประวัติ

บ้านหวั่งหลี
ล้ง 1919

ต้นตระกูลคือ ตันฉื่อฮ้วง แซ่ตั้ง เป็นพ่อค้าที่ล่องเรือไปมาระหว่างซัวเถากับกรุงเทพ เพื่อนำข้าวไทยไปค้าขายในที่อื่น พร้อมทั้งนำผ้าไหมจากจีนกลับมาขายในไทย เมื่ออายุ 27 ปี จึงได้ตัดสินใจตักรกรากที่ไทย เมื่อ พ.ศ. 2414 อันเป็นปีที่ 3 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตันฉื่อฮ้วง มีภรรยาอยู่ที่เมืองจีนแล้วหนึ่งคน และมีภรรยาชาวไทยนามว่า หนู ตระกูลโปษยานนท์ มีลูกด้วยกัน 4 คน เป็นชาย 2 หญิง 2 หลังจากตันฉื่อฮ้วงสร้างบ้านหวั่งหลี ขยายธุรกิจค้าข้าวจนเจริญรุ่งเรือง และได้ริเริ่มกิจการโรงสีขึ้นอีก 2 โรง จน พ.ศ. 2447 ตันฉื่อฮ้วง ตัดสินใจเดินทางกลับไปใช้ชีวิตกับภรรยาชาวจีนที่หมู่บ้านโจ่ยโคย ตำบลซัวเถา โดยให้บุตรชาย ตันลิบบ๊วย มาเป็นผู้สานต่อกิจการแทน

ตันลิบบ๊วยได้ขยายกิจการทำท่าเรือและโกดังเก็บสินค้า พร้อมกับตั้งบริษัทหวั่งหลีขึ้น มีการตั้งฝ่ายการเงิน เพื่อความคล่องตัวในด้านการแลกเปลี่ยนเงินในกิจการของบริษัท และตั้งแผนกประกันเรือรวมทั้งสินค้า เพื่อป้องกันความเสียหายในการเดินเรือบรรทุกสินค้า หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้ตั้งห้างฮ่วงหลีจั่น เพื่อทำหน้าที่แลกเปลี่ยนและส่งเงินตราต่างประเทศ ภายหลังห้างฮ่วงหลีจั่นต่อมาได้กลายเป็นบริษัทธนาคารหวั่งหลีจั่น และธนาคารหวั่งหลี ตามลำดับ ก่อนที่จะเป็นธนาคารนครธนซึ่งได้ร่วมธุรกิจกับธนาคารซิตี้แบงก์ ก่อนที่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดจะมาร่วมกิจการในระยะหลัง ส่วนแผนกประกันภัยได้เปลี่ยนเป็นบริษัท หล่วงหลีประกันภัย และเป็นบริษัท นวกิจประกันภัย ในปัจจุบัน[1]

รุ่นที่ 3 บุตรชายของตันลิบบ๊วย ที่ชื่อ ตันซิวเม้ง เข้ามาทำธุรกิจให้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมพาณิชย์จีนในประเทศไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนจะเสียชีวิตจากเหตุลอบสังหาร ทำให้ตันซิวติ่งต้องเข้ามาพัฒนากิจการ ในขณะเดียวกันที่ทองพูล ผู้เป็นภรรยา ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจหญิง เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทพูนผล บริษัทพูลพิพัฒน์ ฯลฯ รวมถึงขยายธุรกิจไปสู่การผลิตวุ้นเส้น โกดังสินค้า การค้าฝ้าย ค้าปอ การจัดการตลาด และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ[2] และบริการบริหารจัดการศูนย์การค้าต่าง ๆ

พ.ศ. 2531 วุฒิชัย หวั่งหลี รุ่นที่ 4 ตัดสินใจนำกิจการค้าข้าวออกจาก ธุรกิจกงสีของตระกูลมาบริหารจัดการด้วยตนเอง ตั้งเป็นบริษัท ชัยทิพย์ จำกัด ทำการตลาดตราสินค้าพนมรุ้งสำหรับตลาดในประเทศ และตรา Qing Ling Zhi สำหรับตลาดฮ่องกง[3]

บริษัท ซิโน พอร์ท จำกัด ซึ่งมี บริษัท หวั่งหลี จำกัด ถือหุ้น 30% และอีก 70% เป็นการถือในนามบุคคลของลูกหลานตระกูลหวั่งหลีเฉพาะกลุ่มที่ยังคงอาศัยอยู่ในประเทศไทยและผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ ได้บูรณะล้ง 1919 แต่เดิมคือ ฮวยจุ่งล้ง ที่ดินตกทอดในตระกูลของพระยาพิศาลศุภผล (ชื่น) ต้นตระกูลพิศาลบุตร จนกระทั่งตันลิบบ๊วย รุ่น 2 ของตระกูลหวั่งหลีซึ่งมีบ้านในที่ดินติดกันได้ซื้อที่ดินมาเมื่อ พ.ศ. 2462[4]

อ้างอิง

  1. "เรื่องเล่า…เจ้าสัว "หวั่งหลี" การค้าจีน-ไทย 150 ปีก่อน". ประชาชาติธุรกิจ.
  2. สุวิชา พุทซาคำ. "บ้านหวั่งหลี". เดอะคลาวด์.
  3. ""วุฒิพล หวั่งหลี" ผู้พลิกฟื้นและสานต่ออาณาจักรค้าข้าว ระดับท็อปของประเทศ". ทิสโก้.
  4. พัฐรัศมิ์ ว่องไชยกุล. "ตระกูล 'หวั่งหลี' ชุบชีวิต 'ล้ง 1919' ตำนานท่าเรือกลไฟ 167 ปีแห่งคลองสาน". ฟอบส์ประเทศไทย.