ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เจ้าพระตา"
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 49: | บรรทัด 49: | ||
=== เรื่องวินิจฉัยประวัติพระประทุมราชวงศา === |
=== เรื่องวินิจฉัยประวัติพระประทุมราชวงศา === |
||
ขุนวรรณรักษ์วิจิตร ในศิลปากร ปีที่ 1 เล่ม 1 หน้า 91 พ.ศ. 2580 ตอนหนึ่งว่า ''"...สรุปผลของการสอบสวนตอนนี้เป็นอันได้ความว่า |
ขุนวรรณรักษ์วิจิตร ในศิลปากร ปีที่ 1 เล่ม 1 หน้า 91 พ.ศ. 2580 ตอนหนึ่งว่า ''"...สรุปผลของการสอบสวนตอนนี้เป็นอันได้ความว่า ท้าวคำผงบุตรพระตา และ'''พระตา'''ก็เป็นเชื้อเจ้าหรือราชสกุลลาวล้านช้าวจริง..."'' |
||
=== สถานที่อันเนื่องมาจากพระนาม === |
=== สถานที่อันเนื่องมาจากพระนาม === |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:39, 3 ธันวาคม 2564
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
พระวรราชปิตา | |
---|---|
เจ้าผู้ครองนคร | |
ครองราชย์ | พ.ศ. 2311 |
รัชสมัย | 3 ปี |
รัชกาลก่อนหน้า | เจ้าสุวรรณปางคำ |
รัชกาลถัดไป | พระวรราชภักดี |
ประสูติ | พ.ศ. 2236 |
พิราลัย | พ.ศ. 2314 |
พระมเหสี | พระนางบุศดีเทวี |
พระวรราชปิตา | |
ราชวงศ์ | สุวรรณปางคำ |
พระบิดา | เจ้าอุปราชนองหรือเจ้าปางคำ |
พระมารดา | พระราชนัดดาของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช |
พระตา หรือ พระวรราชปิตา (พ.ศ. 2236-2314) เป็นเจ้าผู้ครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลำภู) พระองค์ที่ 2 (พ.ศ. 2311-พ.ศ. 2314) เป็นพระราชโอรสในเจ้าอุปราชนอง (เจ้าปางคำ) ปฐมผู้ปกครองเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน อันสืบมาแต่สายราชวงศ์สุวรรณปางคำ นครหลวงเวียงจันทน์ เป็นพระบิดาพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช ผู้ครองนครจำปาศักดิ์ องค์ที่ 3 และเป็นพระราชบิดาพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทศราช องค์ที่ 1
ประวัติ
พระตา ทรงเป็นพระโอรสของเจ้าอุปราชนองปฐมเจ้าครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน และมีพระมารดาอันมีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง พระองค์ที่ 32 สมภพเมื่อปี พ.ศ. 2236 ที่นครเวียงจันทน์ มีพระอนุชา 1 พระองค์ คือ พระวอ แต่ประชาชนทั้งหลายมักเรียกพระนามทั้งสองพระองค์รวมกันจนติดปากว่า "พระตาพระวอ" มาจวบจนปัจจุบัน เมื่อพระตาทรงเจริญชนม์ เจ้าอุปราชนองทรงโปรดให้เข้ารับราชการสนองพระคุณพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ผู้เป็นพระปัยกา (คุณตาทวด) ที่พระราชสำนักนครเวียงจันทน์
ต่อมาเจ้าพระตาทรงอภิเษกสมรสกับเจ้านางบุศดี หรือ พระนางบุศดีเทวี มีพระราชโอรส และพระราชธิดา ทั้งหมด 9 องค์ ดังปรากฏรายพระนามดังนี้
- เจ้านางสีดา
- เจ้าคำผง ต่อมาเป็นเจ้าผู้ครองเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ 1 ต้นสายสกุล ณ อุบล
- ท้าวฝ่ายหน้า ต่อมาเป็นผู้ครอง นครจำปาศักดิ์ องค์ที่ 3 ทรงมีตำเเหน่งพระประเทศราชเเห่งอาณาจักร์กรุงรัตนโกสินทร์
- ท้าวทิดพรหม ต่อมาเป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ 2 ต้นสายสกุล พรหมวงศานนท์
- ท้าวโคตร ต้นสายสกุล บุตโรบล
- เจ้านางมิ่ง
- ท้าวซุย
- เจ้านางเหมือนตา
- ท้าวสุ่ย ต่อมาเป็นเจ้าราชบุตรเมืองอุบลราชธานี และได้รับพระราชทานเป็นเจ้าผู้ครองเมืองอุบลราชธานี องค์ที่ 3 แต่ถึงแก่อนิจกรรมที่กรุงเทพฯ ก่อนขึ้นมาดำรงตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมือง ต้นสายสกุล สิงหัษฐิต
ศึกชิงราชบัลลังก์นครเวียงจันทน์
ในปี พ.ศ. 2238 พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชสวรรคต ไม่มีผู้สืบราชสมบัติอย่างชัดเจน มีแต่พระราชนัดดาที่ทรงพระเยาว์ ทำให้เกิดความปั่นป่วนและศึกแย่งชิงเชื้อพระวงศ์มาเป็นพวกตน บางพระองค์ได้หลบหนีออกนอกราชอาณาจักร การแย่งชิงราชสมบัติหลังการสวรรคตของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชจึงเป็นชนวนเหตุการนำไปสู่การแบ่งแยกอาณาจักรล้านช้างอันเข้มแข็ง และยิ่งใหญ่ ออกเป็น 3 อาณาจักรเล็กอันอ่อนแอในที่สุด และพระยาเมืองแสนอัครมหาเสนาบดี ได้เข้ายึดราชบัลลังก์พร้อมสถาปนาตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์อาณาจักรล้านช้าง พระองค์ที่ 33 พระนามว่า "พระยาจันทสีหราช (เมืองแสน)" ขณะนั้นเจ้าองค์บุญ พระราชโอรสของเจ้าองค์ลอง และเป็นหลานของพระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 (พระเจ้าไชยองค์เว้) จึงได้หนีราชภัยสงครามมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเจ้าอุปราชนองที่หนองบัวลุ่มภู เจ้าอุปราชนองทรงชุบเลี้ยงเจ้าองค์บุญเยี้ยงพระราชโอรสของพระองค์
ในปี พ.ศ. 2273 พระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 (พระเจ้าไชยองค์เว้) เสด็จสวรรคต เจ้าองค์ลองซึ่งเป็นพระราชโอรสจึงเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ พระองค์ที่ 2 ซึ่งมีพระราชโอรสคือ เจ้าองค์บุญ อาศัยอยู่ที่หนองบัวลุ่มภู และในปี พ.ศ. 2283 เจ้าองค์ลองสวรรคต เจ้าอุปราช (ท้าวนอง) พระอนุชาของพระเจ้าไชยองค์เว้ก็ขึ้นสืบราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ พระองค์ที่ 3
ปี พ.ศ. 2294 เจ้าองค์บุญมีความประสงค์จะได้ราชบัลลังก์นครเวียงจันทน์โดยอ้างสิทธิเป็นพระราชโอรสของเจ้าองค์ลอง และพระราชนัดดาของพระเจ้าไชยองค์เว้ ซึ่งพระตา และเจ้าพระวอ จึงได้ยกกองกำลังหนองบัวลุ่มภูเข้าช่วงชิงราชบัลลังก์จากเจ้าอุปราช พระมหากษัตริย์อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ พระองค์ที่ 3 จนสำเร็จ แล้วปราบดาภิเษกเจ้าองค์บุญขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ พระองค์ที่ 4 พระนามว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ พระเจ้าสิริบุญสาร และพระเจ้าสิริบุญสารได้ให้พระตา และพระวอดูแลรักษาบ้านหินโงมอีกด้วย แต่หาได้เป็นเสนาบดีในราชสำนักนครเวียงจันทน์ไม่ ดังปรากฏในพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสาณของหม่อมอมรวงษ์วิจิตร ความว่า "จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุญนพศก พระเจ้าองค์หล่อผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุตถึงแก่พิราไลย หามีโอรสที่จะสืบตระกูลไม่ แสนท้าวพระยาแลนายวอ นายตา จึ่งได้พร้อมกันเชิญกุมารสองคน ซึ่งเปนเชื้อวงษ์พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตคนเก่า อันได้หนีไปอยู่กับนายวอ นายตา เมื่อพระเจ้าองค์หล่อยกกำลังมาจับพระยาเมืองแสนฆ่านั้น ขึ้นครองกรุงศรีสัตนาคนหุต "
เหตุขัดแย้งกับนครเวียงจันทน์
ในปี พ.ศ. 2302 เจ้านองผู้เป็นบิดาพิราลัยลง ส่วนพระตา แลพระวอ ผู้ปกครองอยู่ที่บ้านหินโงม (ห่างจากตัวเมืองหนองคายไปทางอำเภอโพนพิสัย ประมาณ 1 กิโลเมตร) ซึ่งเป็นที่รักใคร่ของไพร่พลจนใผู้สมัครใจมาร่วมอาศัยอยู่ในชุมชนเป็นจำนวนมาก
ในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าสิริบุญสารเกรงว่ากลุ่มพระตาจะก่อการกบฎต่อพระราชสำนักนครเวียงจันทน์ จึงคิดหาอุบายกำจัดพระวอเเละพระตา เหตุจากทรงเกรงว่าจะมีการพยายามจะเเย่งชิงอำนาจ จึงเป็นชนวนเหตุเกิดความขัดแย้ง พระตาพระวอจึงได้ชักชวนแม่ทัพนายกองที่ไม่สมัครใจจะทำราชการกับพระเจ้าสิริบุญสารด้วย จึงร่วมกันกับกลุ่มพันธมิตร คือ ท้าวโสมพมิตร ได้อพยพไพร่พลกองครัวญาติพี่น้องลงมาพร้อมกับพระตา จากบ้านหินโงมมายังหนองบัวลำภู อันมีพระบิดาปกครองอยู่
ครองเมือง
ปี พ.ศ. 2310 เมื่อพระตามาถึงหนองบัวลุ่มภู ก็ขึ้นครองเมืองเป็นเจ้าผู้ครองเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน พระองค์ที่ 2 พระนามว่า "พระวรราชปิตา" ตั้งให้พระวอ ผู้เป็นพระอนุชา เป็นที่อุปราช บูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม แลค่ายคูประตูกำแพงเมืองอย่างแน่นหนาถาวร มีกองกำลังทหารเข้มแข็ง แลมีช้างเผือกคู่เวียง ปกครองนครด้วยธรรมใส่ใจทุกข์สุขไพร่ฟ้าราษฎรอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ให้ท้าวผ้าขาวพากลุ่มไพร่พลกองครัว ประมาณ 5,000 คน ไปตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านผ้าขาว บ้านพันนา ยกขึ้นเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันออกของหนองบัวลุ่มภู (ปัจจุบันคือพื้นที่ของจังหวัดสกลนคร) ท้าวนามไปปกครองอยู่ที่เมืองภูเวียงเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้ และตั้งเมืองนาด้วงเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันตก ในปีนี้เองข้างพระเจ้าสิริบุญสารเห็นว่า พระวรราชปิตาแห่งเมืองหนองบัวลุ่มภูสะสมกำลังไพร่พลจำนวนมาก และมีความเข้มแข็ง เกรงจะคิดกบฎต่อพระราชบัลลังก์ จึงให้พระยาเมืองแสน พระยาเมืองจันทร์ยกทัพมาตีหนองบัวลุ่มภู ใช้เวลาอยู่ 3 ปี แต่ยังไม่สามารถตีหนองบัวลุ่มภูแตกได้
สงครามนครเวียงจันทน์
ปี พ.ศ. 2314 พระเจ้าสิริบุญสารเห็นว่าหนองบัวลุ่มภูไม่สามารถตีแตกได้ จึงแต่งคณะทูตนำสาส์นพร้อมเครื่องราชบรรณาการไปหาพระเจ้ามังระแห่งหงสาวดีที่ปกครองอยู่นครเชียงใหม่ยกทัพลงมาช่วยตีหนองบัวลุ่มภู เมื่อพระวราชปิตาทราบข่าวการส่งสาร์นของพระเจ้าสิริบุญสาร พระองค์ก็ได้จัดแจงแต่งค่ายคูประตูเมืองให้มั่นคงหาทางหนีทีไล่พร้อมสรรพ จึงมีรับสั่งให้ท้าวคำสู ท้าวคำขุย ท้าวคำสิงห์ แลท้าวอินทิสารยกไพร่พลกองครัวส่วนหนึ่งลงมาสร้างบ้านแปงเมืองใหม่ หากพ่ายแพ้สงครามก็จะได้อพยพลงมาสบทบ โดยท้าวคำสูได้พากลุ่มไพร่พลมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตามลำพะเนียงต่อลำน้ำพองตามแม่น้ำชีลงมาถึงดงใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำชี เรียกว่า ดงผีสิงห์ ท้าวคำสูพาไพร่พลตั้งบ้านแปงเมืองขึ้น เรียกว่า บ้านสิงห์ท่า และท้าวคำขุยพาไพร่พลส่วนหนึ่งขึ้นไปตั้งบ้านเมืองที่ดงโต่งโต้น เรียกว่า บ้านสิงห์โคก (ต่อมาคือเมืองยศสุนทรประเทศราช) ส่วนพระวรราชปิตาได้เกณฑ์เอากำลังไพร่พลจากเมืองผ้าขาว เมืองพันนา เมืองภูเวียง เมืองนาด้วง มาร่วมต้านข้าศึก เมืองทัพนครเวียงจันทน์และทัพสนับสนุนจากพม่ามายั้งทัพตั้งค่ายล้อมเมืองหนองบัวลุ่มภูไว้ด้านหนึ่ง พระวรราชปิตา แลอุปราชได้นำกำลังไพร่พลออกมารบ เมื่อข้าศึกมีจำนวนมาก ประกอบกับพระวรราชปิตามีพระชนม์สูงวัยจึงอ่อนกำลังลง และพระวรราชปิตาถูกพระแสงปืนข้าศึกจนตกม้าถึงแก่พิราลัย บริเวณช่องน้ำจั่นใต้น้ำตกเฒ่าโต้ เทือกเขาภูพาน และทัพนครเวียงจันทน์จึงสามารถตีหนองบัวลุ่มภูแตกได้
พิราลัย
เมื่อทัพนครเวียงจันทน์ได้กำลังสนับสนุนจากทัพพม่า จึงทำให้เมืองหนองบัวลุ่มภูที่มีปราการอันแน่นหนาถูกตีแตก พระวรราชปิตาได้เป็นแม่ทัพหน้า อุปราชเป็นแม่ทัพหลังออกปราบข้าศึก และพระวรราชปิตาถูกพระแสงปืนจนถึงแก่พิราลัยที่ช่องน้ำจั่นใต้น้ำตกเฒ่าโต้ บริเวณเทือกเขาภูพาน วันศุกร์ ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 3 พ.ศ. 2314 ขณะมีพระชนม์ 78 พรรษา ก่อนที่พระองค์จะพิราลัยได้สั่งเสียอุปราช ท้าวคำผง ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวทิดพรหม และท้าวก่ำต่อไปภายหน้า ด้วยกลอนผญาว่า ไม้ลำเดียวล้อมฮั่วบ่ไขว่ ไพร่บ่พร้อมแปงบ้านบ่เฮือง ไผผู้เป็นขุนกล้าครองเมืองจั่งฮุ่ง ครั้นแม่นขุนขี้ย้านครองบ้านบ่เฮือง อย่าเห็นแก่เงินแสนไถ ให้เห็นแก่ไพร่แสนเมือง ได้ขึ้นเฮือนแล้ว อย่าลืมแพป้องไม้ไผ่ ได้เป็นใหญ่แล้วอย่าลืมข้าผู้พลอย ได้กินพาคำอย่าลืมกะเบียนฮ้าง ได้ขึ้นขี่ช้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าลืมประชาผู้ขี่ควายเกาฮิ้น แลอุปราชพร้อมไพร่พลได้คุ้มกันนำพระศพของพระวรราชปิตาเข้ามายังหนองบัวลุ่มภู
พระนามในประวัติศาสตร์
ตำนานพื้นเมืองอุบล
อันว่า เมืองอุบลนี้ มีแต่คนเวียงเกี้ยงอ่อยฮ่อย แต่หากเป็นไพร่น้อย อยู่ตามบ้านเขตแขวง พระตามีเดชกล้า คนยอย้องว่าดี ได้เป็นนายกองนอก เป็นผู้ตุ้มไพร่น้อยนาขึ้นซ่อยเวียง พระก็สถิตย์แห่งห้อง หินโง่มเป็นบ้านใหญ่ เป็นผู้มีเดชกล้า คนสะดุ้งกระเดื่องดิน พระตานั้นได้ลูกเต้า ผู้จักสืบแทนแนว มีอยู่เพียงเจ็ดคน สะอาดตาปานแต้ม หากเป็นชายล้วน สามคนสิทธิเดช เหลือกว่านั้น เป็นหญิงแท้คนย้องฮูปงามˈ.........พร้อมว่าเจ้าคึดแล้ว จึงได้ฮ้องเฮียกเอิ้น ลูกฮักทั้งสามคน คือว่า พระวอ ท้าวคำผง ท้าวทิดพรม ฮีบสั่งการเดี๋ยวนี้ ดูรา บุตรราชเจ้า ทั้งสามลูกพ่อเอย พวกเฮาอยู่บ่ได้ เมืองนี้ฝืดเคือง พ่อแล้ว.........
พงศาวดารอีสาน
หม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร) เป็นผู้เรียบเรียงในประชุมพงศาวดาร ภาค 4 เกี่ยวกับเรื่องราวของเจ้าพระตา และเจ้าพระวอ (หน้า 42-43) ว่า "เมื่อ พ.ศ. 2310 พระเจ้าองค์หล่อ ผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุตถึงแก่พิลาลัย ไม่มีโอรสสืบสกุล แสนท้าวพระยา และนายวอนายตา จึงพร้อมกันอันเชิญกุมารทั้งสอง ซึ่งเป็นเชื้อววงศ์ของพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตองค์เก่า อันได้หนีไปอาศัยอยู่กับนายวอนายตา เมื่อครั้งพระเจ้าองค์หล่อยกกำลังมาจับพระยาเมืองแสนฆ่านั้น ขึ้นครองกรุงศรีสัตนาคนหุต แล้วนายวอนายตาจะขอเป็นที่มหาอุปราชฝ่ายหน้า กุมารทั้งสองเห็นว่า นายวนายตามิได้เป็นเชื้อเจ้า"
เรื่องวินิจฉัยประวัติพระประทุมราชวงศา
ขุนวรรณรักษ์วิจิตร ในศิลปากร ปีที่ 1 เล่ม 1 หน้า 91 พ.ศ. 2580 ตอนหนึ่งว่า "...สรุปผลของการสอบสวนตอนนี้เป็นอันได้ความว่า ท้าวคำผงบุตรพระตา และพระตาก็เป็นเชื้อเจ้าหรือราชสกุลลาวล้านช้าวจริง..."
สถานที่อันเนื่องมาจากพระนาม
- ศาลหลักเมืองพระวอพระตา อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู
- ตึกพระวอพระตา โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี
พงศาวลี
พงศาวลีของเจ้าพระตา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|