ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 31: | บรรทัด 31: | ||
ฟิลิปทรงประสูติในประเทศกรีซ ใน[[ราชวงศ์กรีก]]และ[[ราชวงศ์เดนมาร์ก|เดนมาร์ก]] แต่ครอบครัวของพระองค์ถูกขับไล่เนรเทศออกจากประเทศ เมื่อพระองค์มีพระชนม์มายุสิบแปดพรรษา ภายหลังจากทรงเข้ารับการศึกษาในฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร พระองค์ทรงเข้ารับราชการทหารใน[[ราชนาวี]]ของบริติชใน ค.ศ. 1939 โดยพระชนม์มายุสิบแปดพรรษา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 พระองค์ทรงเริ่มติดต่อทางจดหมายกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธที่มีพระชนม์มายุสิบสามพรรษา ซึ่งเป็นพระราชธิดาและทายาทโดยตรงกับ[[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6]] เจ้าชายฟิลิปทรงพบพระนางเป็นครั้งแรกในค.ศ. 1934 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นใน[[กองเรือเมดิเตอร์เรเนียน]]และ[[กองเรือแปซิฟิก|แปซิฟิก]]ของบริติช |
ฟิลิปทรงประสูติในประเทศกรีซ ใน[[ราชวงศ์กรีก]]และ[[ราชวงศ์เดนมาร์ก|เดนมาร์ก]] แต่ครอบครัวของพระองค์ถูกขับไล่เนรเทศออกจากประเทศ เมื่อพระองค์มีพระชนม์มายุสิบแปดพรรษา ภายหลังจากทรงเข้ารับการศึกษาในฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร พระองค์ทรงเข้ารับราชการทหารใน[[ราชนาวี]]ของบริติชใน ค.ศ. 1939 โดยพระชนม์มายุสิบแปดพรรษา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 พระองค์ทรงเริ่มติดต่อทางจดหมายกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธที่มีพระชนม์มายุสิบสามพรรษา ซึ่งเป็นพระราชธิดาและทายาทโดยตรงกับ[[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6]] เจ้าชายฟิลิปทรงพบพระนางเป็นครั้งแรกในค.ศ. 1934 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นใน[[กองเรือเมดิเตอร์เรเนียน]]และ[[กองเรือแปซิฟิก|แปซิฟิก]]ของบริติช |
||
หลังสงคราม เจ้าชายฟิลิปทรงได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ก่อนที่จะมีการประกาศหมั้นหมายอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1947 พระองค์ทรงสละพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ทั้งหมดของกรีซและเดนมาร์ก กลายเป็น [[คนในบังคับอังกฤษ]] โดยทรงใช้ชื่อและนามสกุลอังกฤษ "เมานต์แบ็ตเทน" ซึ่งแปลงมาจากนามสกุลเยอรมัน "บัทเทินแบร์ค" ของฝ่ายพระมารดา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ก่อนที่จะอภิเษกสมรส พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานฐานันดรศักดิ์แก่เจ้าชายฟิลิปให้เป็นฮิส รอยัลไฮเนส และสถาปนาพระองค์เป็น[[ดยุกแห่งเอดินบะระ]] [[เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ต]] และ[[บารอนกรีนวิช]] เจ้าชายฟิลิปทรงลาออกจากการรับราชการทหาร เมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถในค.ศ. 1952 โดยทรงมีตำแหน่งยศเป็นผู้บัญชาการทหารและได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าชายบริติชใน ค.ศ. 1957 เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระราชบุตรถึงสี่พระองค์กับควีนเอลิซาเบธที่สอง: เจ้าชาย[[เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์|ชาร์ล เจ้าชายแห่งเวลล์]] เจ้าหญิง[[เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี|แอนน์ พระราชกุมารี]] [[เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก]] และ[[เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซกซ์]] ผ่านทางพระราชเสาวนีย์ของควีนเอลิซาเบธที่สองแห่งบริติช(Order in Council) ได้ถูกประกาศขึ้นใน ค.ศ. 1960 ทายาทของเจ้าชายฟิลิปและควีนเอลิซาเบธที่สองจะไม่มีพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ ซึ่งสามารถใช้นามสกุลเป็น [[เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์]] ซึ่งมีสมาชิกบางพระองค์ในราชวงศ์ที่ใช้พระนามเต็ม เช่น เจ้าหญิงแอนน์ เจ้าชายแอนดรูว์ และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด |
หลังสงคราม เจ้าชายฟิลิปทรงได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ก่อนที่จะมีการประกาศหมั้นหมายอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1947 พระองค์ทรงสละพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ทั้งหมดของกรีซและเดนมาร์ก กลายเป็น [[คนในบังคับอังกฤษ]] โดยทรงใช้ชื่อและนามสกุลอังกฤษ "เมานต์แบ็ตเทน" ซึ่งแปลงมาจากนามสกุลเยอรมัน "บัทเทินแบร์ค" ของฝ่ายพระมารดา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ก่อนที่จะอภิเษกสมรส พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานฐานันดรศักดิ์แก่เจ้าชายฟิลิปให้เป็นฮิส รอยัลไฮเนส และสถาปนาพระองค์เป็น[[ดยุกแห่งเอดินบะระ]] [[:en:Earl of Merioneth|เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ต]] และ[[:en:Baron Greenwich|บารอนกรีนวิช]] เจ้าชายฟิลิปทรงลาออกจากการรับราชการทหาร เมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถในค.ศ. 1952 โดยทรงมีตำแหน่งยศเป็นผู้บัญชาการทหารและได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าชายบริติชใน ค.ศ. 1957 เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระราชบุตรถึงสี่พระองค์กับควีนเอลิซาเบธที่สอง: เจ้าชาย[[เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์|ชาร์ล เจ้าชายแห่งเวลล์]] เจ้าหญิง[[เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี|แอนน์ พระราชกุมารี]] [[เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก]] และ[[เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซกซ์]] ผ่านทางพระราชเสาวนีย์ของควีนเอลิซาเบธที่สองแห่งบริติช(Order in Council) ได้ถูกประกาศขึ้นใน ค.ศ. 1960 ทายาทของเจ้าชายฟิลิปและควีนเอลิซาเบธที่สองจะไม่มีพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ ซึ่งสามารถใช้นามสกุลเป็น [[:en:Mountbatten-Windsor|เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์]] ซึ่งมีสมาชิกบางพระองค์ในราชวงศ์ที่ใช้พระนามเต็ม เช่น เจ้าหญิงแอนน์ เจ้าชายแอนดรูว์ และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด |
||
ด้วยการที่ทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ด้านกีฬา เจ้าชายฟิลิปทรงช่วยพัฒนางานกิจกรรมจากการขี่ม้ามาเป็นการขับขี่รถม้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ประธาน หรือสมาชิกขององค์กรต่าง ๆ กว่า 780 องค์กร และดำรงตำแหน่งเป็นประธานแห่ง[[รางวัลดยุกแห่งเอดินบะระ]] ซึ่งเป็นโครงการการพัฒนาตนเองสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีอายุ 14 ถึง 24 ปี<ref>{{cite web|title=Do your DofE – The Duke of Edinburgh's Award|url=https://www.dofe.org/do-your-dofe/|url-status=dead|archive-url=https://web.archive.org/web/20190129181534/https://www.dofe.org/do-your-dofe/|archive-date=29 January 2019|access-date=29 January 2019|website=dofe.org}}</ref> พระองค์ทรงเป็นคู่อภิเษกสมรสที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของราชวงศ์บริติชและเป็นสมาชิกชายที่มีพระชนม์ที่ยาวนานที่สุดในราชวงศ์บริติช ทรงเกษียณจากพระราชกรณียกิจ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ด้วยพระชนม์มายุ 96 พรรษา โดยทรงสำเร็จจากพระราชกรณียกิจ 22,219 ครั้ง และกล่าวสุนทรพจน์ 5,493 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952<ref>{{cite news|last1=Low|first1=Valentine|date=9 April 2021|title=Prince Philip was a man determined to make an impact|website=The Times|url=https://www.thetimes.co.uk/article/prince-philip-was-a-man-determined-to-make-an-impact-jtg3stdl0|url-access=subscription|access-date=12 April 2021}}</ref> เจ้าชายฟิลิป[[การสิ้นพระชนม์และพิธีฝังพระศพเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ|ทรงสิ้นพระชนม์]] เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 อีกสองเดือนก่อนที่พระองค์จะมีพระชนม์มายุครบ 100 ปี |
ด้วยการที่ทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ด้านกีฬา เจ้าชายฟิลิปทรงช่วยพัฒนางานกิจกรรมจากการขี่ม้ามาเป็นการขับขี่รถม้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ประธาน หรือสมาชิกขององค์กรต่าง ๆ กว่า 780 องค์กร และดำรงตำแหน่งเป็นประธานแห่ง[[รางวัลดยุกแห่งเอดินบะระ]] ซึ่งเป็นโครงการการพัฒนาตนเองสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีอายุ 14 ถึง 24 ปี<ref>{{cite web|title=Do your DofE – The Duke of Edinburgh's Award|url=https://www.dofe.org/do-your-dofe/|url-status=dead|archive-url=https://web.archive.org/web/20190129181534/https://www.dofe.org/do-your-dofe/|archive-date=29 January 2019|access-date=29 January 2019|website=dofe.org}}</ref> พระองค์ทรงเป็นคู่อภิเษกสมรสที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของราชวงศ์บริติชและเป็นสมาชิกชายที่มีพระชนม์ที่ยาวนานที่สุดในราชวงศ์บริติช ทรงเกษียณจากพระราชกรณียกิจ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ด้วยพระชนม์มายุ 96 พรรษา โดยทรงสำเร็จจากพระราชกรณียกิจ 22,219 ครั้ง และกล่าวสุนทรพจน์ 5,493 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952<ref>{{cite news|last1=Low|first1=Valentine|date=9 April 2021|title=Prince Philip was a man determined to make an impact|website=The Times|url=https://www.thetimes.co.uk/article/prince-philip-was-a-man-determined-to-make-an-impact-jtg3stdl0|url-access=subscription|access-date=12 April 2021}}</ref> เจ้าชายฟิลิป[[การสิ้นพระชนม์และพิธีฝังพระศพเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ|ทรงสิ้นพระชนม์]] เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 อีกสองเดือนก่อนที่พระองค์จะมีพระชนม์มายุครบ 100 ปี |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:08, 22 สิงหาคม 2564
เจ้าชายฟิลิป | |
---|---|
ดยุกแห่งเอดินบะระ | |
เจ้าชายฟิลิปในปี 1992 | |
พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถสหราชอาณาจักร | |
ดำรงพระยศ | 6 กุมภาพันธ์ 1952 – 9 เมษายน 2021 |
ก่อนหน้า | เอลิซาเบธ (พระราชินี) |
ประสูติ | 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 มอนเรโปส คอร์ฟู กรีซ |
สิ้นพระชนม์ | 9 เมษายน ค.ศ. 2021 วินด์เซอร์ บาร์กเชอร์ สหราชอาณาจักร | (99 ปี)
ฝังพระศพ | 17 เมษายน ค.ศ. 2021 โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ สหราชอาณาจักร |
คู่อภิเษก | เอลิซาเบธที่ 2 (สมรส 1947) |
พระบุตร | 4 พระองค์ |
ราชวงศ์ |
|
พระบิดา | เจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซและเดนมาร์ก |
พระมารดา | เจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค |
เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ[1] (อังกฤษ: Prince Philip, Duke of Edinburgh; พระนามเดิมคือ เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก; Prince Philip of Greece and Denmark 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 – 9 เมษายน ค.ศ. 2021) เป็นสมาชิกของราชวงศ์บริติช ทรงเป็นพระราชสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร
ฟิลิปทรงประสูติในประเทศกรีซ ในราชวงศ์กรีกและเดนมาร์ก แต่ครอบครัวของพระองค์ถูกขับไล่เนรเทศออกจากประเทศ เมื่อพระองค์มีพระชนม์มายุสิบแปดพรรษา ภายหลังจากทรงเข้ารับการศึกษาในฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร พระองค์ทรงเข้ารับราชการทหารในราชนาวีของบริติชใน ค.ศ. 1939 โดยพระชนม์มายุสิบแปดพรรษา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 พระองค์ทรงเริ่มติดต่อทางจดหมายกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธที่มีพระชนม์มายุสิบสามพรรษา ซึ่งเป็นพระราชธิดาและทายาทโดยตรงกับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เจ้าชายฟิลิปทรงพบพระนางเป็นครั้งแรกในค.ศ. 1934 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นในกองเรือเมดิเตอร์เรเนียนและแปซิฟิกของบริติช
หลังสงคราม เจ้าชายฟิลิปทรงได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ก่อนที่จะมีการประกาศหมั้นหมายอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1947 พระองค์ทรงสละพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ทั้งหมดของกรีซและเดนมาร์ก กลายเป็น คนในบังคับอังกฤษ โดยทรงใช้ชื่อและนามสกุลอังกฤษ "เมานต์แบ็ตเทน" ซึ่งแปลงมาจากนามสกุลเยอรมัน "บัทเทินแบร์ค" ของฝ่ายพระมารดา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ก่อนที่จะอภิเษกสมรส พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานฐานันดรศักดิ์แก่เจ้าชายฟิลิปให้เป็นฮิส รอยัลไฮเนส และสถาปนาพระองค์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระ เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ต และบารอนกรีนวิช เจ้าชายฟิลิปทรงลาออกจากการรับราชการทหาร เมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถในค.ศ. 1952 โดยทรงมีตำแหน่งยศเป็นผู้บัญชาการทหารและได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าชายบริติชใน ค.ศ. 1957 เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระราชบุตรถึงสี่พระองค์กับควีนเอลิซาเบธที่สอง: เจ้าชายชาร์ล เจ้าชายแห่งเวลล์ เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ ผ่านทางพระราชเสาวนีย์ของควีนเอลิซาเบธที่สองแห่งบริติช(Order in Council) ได้ถูกประกาศขึ้นใน ค.ศ. 1960 ทายาทของเจ้าชายฟิลิปและควีนเอลิซาเบธที่สองจะไม่มีพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ ซึ่งสามารถใช้นามสกุลเป็น เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ ซึ่งมีสมาชิกบางพระองค์ในราชวงศ์ที่ใช้พระนามเต็ม เช่น เจ้าหญิงแอนน์ เจ้าชายแอนดรูว์ และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด
ด้วยการที่ทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ด้านกีฬา เจ้าชายฟิลิปทรงช่วยพัฒนางานกิจกรรมจากการขี่ม้ามาเป็นการขับขี่รถม้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ประธาน หรือสมาชิกขององค์กรต่าง ๆ กว่า 780 องค์กร และดำรงตำแหน่งเป็นประธานแห่งรางวัลดยุกแห่งเอดินบะระ ซึ่งเป็นโครงการการพัฒนาตนเองสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีอายุ 14 ถึง 24 ปี[2] พระองค์ทรงเป็นคู่อภิเษกสมรสที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของราชวงศ์บริติชและเป็นสมาชิกชายที่มีพระชนม์ที่ยาวนานที่สุดในราชวงศ์บริติช ทรงเกษียณจากพระราชกรณียกิจ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ด้วยพระชนม์มายุ 96 พรรษา โดยทรงสำเร็จจากพระราชกรณียกิจ 22,219 ครั้ง และกล่าวสุนทรพจน์ 5,493 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952[3] เจ้าชายฟิลิปทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 อีกสองเดือนก่อนที่พระองค์จะมีพระชนม์มายุครบ 100 ปี
วัยเยาว์
ราชวงศ์สหราชอาณาจักร และเครือจักรภพ |
---|
|
เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์กประสูติที่เกาะคอร์ฟูในประเทศกรีซเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 เป็นพระโอรสพระองค์เดียวและเป็นบุตรคนที่ห้าของเจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซและเดนมาร์ก กับเจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค[4] ทรงเป็นสมาชิกในราชวงศ์ชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซอเนอร์ปอร์-กลึคส์บวร์ค อันเป็นสาขาหนึ่งของราชวงศ์อ็อลเดินบวร์ค เนื่องด้วยพระบิดาทรงเป็นทายาทโดยตรงของพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งกรีซ และพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก ทำให้ทรงมีศักดิ์เป็นเจ้าชายของทั้งกรีซและเดนมาร์ก อยู่ในลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ของบัลลังก์ทั้งสอง อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์ก ค.ศ. 1953 ได้ตัดสิทธิ์สืบราชบัลลังก์เดนมาร์กของครอบครัวฟิลิป[5]
ความพ่ายแพ้ในสงครามกรีก–ตุรกี บีบบังคับให้เสด็จลุงของฟิลิป พระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1 แห่งกรีซ ต้องสละราชสมบัติใน ค.ศ. 1922 และลี้ภัยไปเกาะซิซิลี ส่วนเจ้าชายแอนดรูว์พร้อมครอบครัวถูกจับกุมโดยคำสั่งของรัฐบาลทหารที่ตั้งขึ้นใหม่ ผู้บัญชาการรบหลายคนถูกประหารชีวิต ในขณะนั้น หลายคนมองว่าเจ้าชายแอนดรูว์คงไม่รอดชีวิต[6] เดือนธันวาคมปีนั้นเอง ศาลปฏิวัติได้พิพากษาเนรเทศเจ้าชายแอนดรูว์ออกจากประเทศกรีซตลอดชีวิต อังกฤษส่งเรือหลวงคาลิปโซมารับครอบครัวของเจ้าชายแอนดรูว์ไปยังประเทศฝรั่งเศส พวกเขาเลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านเช่าแถบชานเมืองกรุงปารีส ซึ่งเช่าจากพระญาติในราชสำนักฝรั่งเศส[7]
เจ้าชายฟิลิปได้รับการศึกษาครั้งแรกที่ The Elms โรงเรียนอเมริกันในกรุงปารีส[8] ทรงมีภาพจำเป็นเด็กฉลาดแต่ถ่อมตัว[9] ต่อมาในปีค.ศ. 1928 ทรงถูกส่งตัวไปอังกฤษและเข้าเรียนที่โรงเรียนแชม ช่วงนี้ทรงอยู่อาศัยกับพระอัยกีที่พระราชวังเค็นซิงตัน ซึ่งก็คือวิกตอเรีย เมานต์แบ็ทแตน มาร์เชเนสแห่งมิลด์ฟอร์ดเฮเวน และอาศัยกับท่านลุงที่ตำหนักลินเดิน ซึ่งก็คือจอร์จ เมานต์แบ็ทแตน มาร์ควิสที่ 2 แห่งมิลด์ฟอร์ดเฮเวน[10] และในช่วงสามปีหลังจากนี้ พี่สาวสี่พระองค์ได้สมรสกับเจ้าชายเยอรมันและย้ายไปพำนักในประเทศเยอรมนี ทางด้านพระมารดาถูกวิจนิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทและต้องอยู่ในสถานบำบัดของซีคมุนท์ ฟร็อยท์[11] พระบิดาก็ย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์ที่มงเต-การ์โล เมืองทางใต้ของฝรั่งเศสใกล้ชายแดนดิตาลี ฟิลิปแทบไม่ได้ติดต่อกับพระมารดาอีกเลยตลอดช่วงวัยเด็ก
ใน ค.ศ. 1933 เจ้าชายฟิลิปในวัย 12 ชันษาถูกส่งตัวไปยังโรงเรียนของวังซาเลิมในประเทศเยอรมนี เนื่องด้วยครอบครัวพี่เขยของพระองค์เป็นเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้ เมื่อระบอบนาซีเรืองอำนาจในเยอรมนี นายควร์ท ฮาน ชาวยิวซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตจึงได้อพยพไปยังประเทศสกอตแลนด์และก่อตั้งโรงเรียนกอร์ดอนสตันที่นั่น เจ้าชายฟิลิปย้ายตามไปที่นั่นในสองภาคเรียนให้หลัง[12] ต่อมาใน ค.ศ. 1937 เจ้าชายฟิลิปได้ทราบข่าวร้ายว่า เจ้าหญิงเซซีลี พี่สาวของพระองค์ พร้อมด้วยสามีและบุตรน้อยสามคน ทั้งหมดเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินตกในเที่ยวบินโคโลญ–ลอนดอน เจ้าชายฟิลิปในวัย 16 ชันษาเสด็จร่วมรัฐพิธีศพที่เมืองดาร์มชตัท ประเทศเยอรมนี[13] และในปีต่อมา จอร์จ เมานต์แบ็ทแตน ผู้เป็นลุงและผู้ปกครองของเจ้าชายก็เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง
เนื่องด้วยเจ้าชายฟิลิปเสด็จออกจากประเทศกรีซขณะเป็นทารก ทำให้พระองค์ไม่สามารถตรัสภาษากรีก พระองค์เคยกล่าวใน ค.ศ. 1992 ว่าทรงเข้าใจภาษากรีกอยู่บ้าง[14] และระบุว่าทรงคิดว่าตัวเองเป็นคนเดนมาร์ก แต่ครอบครัวพระองค์พูดภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมัน[14]
ราชการทหารเรือ
หลังจบจากโรงเรียนกอร์ดอนสตันในปีค.ศ. 1939 เจ้าชายฟิลิปในวัย 18 ชันษาเข้าศึกษาที่ราชนาวิกวิทยาลัยเป็นเวลาหนึ่งภาคเรียน แล้วจึงถูกส่งตัวกลับประเทศกรีซไปอยู่กับพระมารดาเป็นเวลาราวหนึ่งเดือนที่กรุงเอเธนส์ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งกรีซ สั่งให้เจ้าชายกลับอังกฤษ พระองค์จึงเสด็จกลับอังกฤษในเดือนกันยายนและเข้าเป็นนายเรือฝึกหัดในราชนาวีอังกฤษ[15] พระองค์จบการศึกษาจากราชนาวิกวิทยาลัยในปีถัดมา ขณะนั้น สงครามโลกครั้งที่สองกำลังขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วในยุโรป แต่เจ้าชายก็เลือกรับราชการทหารในกองทัพสหราชอาณาจักรต่อไป ในขณะที่พี่เขยทั้งสองของพระองค์ นั่นคือเจ้าชายคริสโทฟแห่งเฮ็สเซิน และแบร์โทลด์ มาร์คกราฟแห่งบาเดิน เข้าร่วมรบอยู่ฝ่ายเยอรมัน[16] เจ้าชายฟิลิปได้เป็นว่าที่เรือตรีในเดือนมกราคม ค.ศ. 1940 ทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลาสี่เดือนบนเรือหลวงรามิลีย์ (HMS Ramillies) ในภารกิจคุ้มกันขบวนเรือขนส่งทหารออสเตรเลียที่ผ่านมหาสมุทรอินเดีย ไม่นานจากนั้นก็ไปปฏิบัติหน้าที่บนเรือหลวงเคนต์ (HMS Kent) และเรือหลวงชรอปเชอร์ (HMS Shropshire) ในบริติชซีลอน ต่อมาหลังกองทัพอีตาลีบุกยึดประเทศกรีซในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 พระองค์ถูกโอนตัวจากมหาสมุทรอินเดียมาปฏิบัติหน้าที่บนเรือหลวงวาแลนต์ (HMS Valiant) ในกองเรือเมดิเตอร์เรเนียน[17]
สิ้นพระชนม์
เจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 ณ ปราสาทวินเซอร์ สิริพระชนมายุ 99 ปี ทรงเป็นคู่อภิเษกที่กินเวลานานที่สุดในประวัติศาสตร์บริติช[18]
ไม่มีการเปิดเผยสาเหตุการสิ้นพระชนม์ แต่สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่า สิ้นพระชนม์อย่างสงบ[19] กำหนดพระราชพิธีศพไว้วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2021 ณ โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์[20]
พระบุตร
เจ้าชายฟิลิปทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ อเล็กซานดรา แมรี พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร กับสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ทั้งสองมีพระราชโอรสและธิดาดังนี้
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรส | บุตร |
---|---|---|---|---|
เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ | 14 พฤศจิกายน 1948 | ยังทรงพระชนม์ | เลดีไดอานา สเปนเซอร์ (หย่า) คามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ |
เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ |
เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี | 15 สิงหาคม 1950 | ยังทรงพระชนม์ | มาร์ก ฟิลลิปส์ (หย่า) ทิโมที ลอเรนซ์ |
ปีเตอร์ ฟิลลิปส์ |
เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก | 19 กุมภาพันธ์ 1960 | ยังทรงพระชนม์ | ซาราห์ มาร์กาเรต เฟอร์กูสัน (หย่า) | เจ้าหญิงเบียทริซ |
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ | 10 มีนาคม 1964 | ยังทรงพระชนม์ | โซฟี ไรส์-โจนส์ | เลดีลูอีส วินด์เซอร์ |
ฐานันดรและพระอิสริยยศ
|
||
ตราอาร์มประจำพระองค์ | ตราพระนามาภิไธยย่อ |
พระราชวงศ์
พงศาวลีของเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ |
---|
อ้างอิง
- ↑ พระราชสาส์นแสดงความยินดี ในโอกาสที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี, สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์, เผยแพร่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555, เรียกข้อมูลวันที่ 5 กรกฎาคม 2555
- ↑ "Do your DofE – The Duke of Edinburgh's Award". dofe.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 January 2019. สืบค้นเมื่อ 29 January 2019.
- ↑ Low, Valentine (9 April 2021). "Prince Philip was a man determined to make an impact". The Times. สืบค้นเมื่อ 12 April 2021.
- ↑ Brandreth, p. 56
- ↑ Tågholt, Knud (1963). Det glücksburgske kongehus, fra Christian IX til prinsesse Margrethe: Den danske kongeslægt gennem hundrede år, 1863-1963. Aros. p. 6.
- ↑ "News in Brief: Prince Andrew's Departure". The Times: 12. 5 December 1922.
- ↑ Alexandra, pp. 35–37; Heald, p. 31; Vickers, pp. 176–178
- ↑ Boothroyd, Basil (1971). Prince Philip: An Informal Biography (First American ed.). New York: McCall Publishing Company. ISBN 0841501165.
- ↑ Alexandra, p. 42; Heald, p. 34
- ↑ Heald, pp. 35–39
- ↑ Brandreth, p. 66; Vickers, p. 205
- ↑ Brandreth, p. 72; Heald, p. 42
- ↑ Brandreth, p. 69; Vickers, p. 273
- ↑ 14.0 14.1 Rocco, Fiammetta (13 December 1992). "A strange life: Profile of Prince Philip". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 22 May 2010.
- ↑ Eade, pp. 129–130; Vickers, pp. 284–285, 433.
- ↑ Vickers, pp. 293–295.
- ↑ Heald, p. 60.
- ↑ "Prince Philip has died aged 99, Buckingham Palace announces". BBC News. 9 April 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 April 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-04-12.
- ↑ Shields, Bevan (9 April 2021). "Prince Philip dies in Windsor Castle aged 99". Sydney Morning Herald. สืบค้นเมื่อ 2021-04-12.
- ↑ "Prince Philip: Funeral to take place on 17 April". BBC News. 10 April 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-04-12.
- ↑ 21.0 21.1 "No. 38128". The London Gazette. 21 November 1947. p. 5495.
- ↑ "No. 41009". The London Gazette. 22 February 1957. p. 1209.
- ↑ "The Current Royal Family > The Duke of Edinburgh >Styles and Titles".
ก่อนหน้า | เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ในฐานะพระราชินี |
คู่อภิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร (6 กุมภาพันธ์ 1952 – 9 เมษายน 2021) |
ยังไม่มี | ||
เจ้าชายอัลเฟรด | ดยุกแห่งเอดินบะระ (1947–2021) |
เจ้าชายชาลส์ |
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2464
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2564
- ราชวงศ์วินด์เซอร์
- ดยุกแห่งเอดินบะระ
- ราชวงศ์กลึคส์บวร์ค
- ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
- บุคคลจากหมู่เกาะไอโอเนียน
- เจ้าชายเดนมาร์ก
- เจ้าชายกรีก
- ตระกูลบัทเทินแบร์ค
- คู่อภิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร
- บทความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ที่ยังไม่สมบูรณ์