ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สงครามทาสครั้งที่สาม"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Matable (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าใหม่: {{Infobox military conflict|conflict=สงครามทาสครั้งที่สาม|result=โรมันชนะ|casualties1=30,000 killed by Gellius, 6...
(ไม่แตกต่าง)

รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:49, 10 พฤษภาคม 2564

สงครามทาสครั้งที่สาม
ส่วนหนึ่งของ สงครามทาสของโรมัน

อิตาลีและดินแดนบริเวณโดยรอบ, ปี 218 ก่อนคริสตกาล
วันที่ปี 73–71 ก่อนคริสตกาล
สถานที่
สาธารณรัฐโรมัน (อิตาลีในยุคปัจจุบัน)
ผล โรมันชนะ
คู่สงคราม
กบฏทาส สาธารณรัฐโรมัน
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
กำลัง
120,000 คน ที่เป็นทาสผู้หลบหนีและกลาดิอาตอร์ รวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่นักรบ จำนวนทั้งหมดของนักรบไม่ระบุ 3,000+ militia
8 Roman legions of 4,000–6,000 infantrymen + auxiliaries
Total:
32,000–48,000 infantry + auxiliariesแม่แบบ:8px12,000 garrison troops (composition unknown)
ความสูญเสีย
30,000 killed by Gellius, 6,000 crucified by Crassus, 5,000 crucified by Pompey ~20,000 killed

สงครามทาสครั้งที่สาม ยังถูกเรียกโดยพลูทาร์กว่า สงครามกลาดิอาตอร์ และสงครามสปาร์ตากุส เป็นครั้งสุดท้ายในเหตุการณ์ของการก่อกบฎของเหล่าทาสต่อสาธารณรัฐโรมัน เป็นที่รู้จักกันคือ สงครามทาส ซึ่งครั้งที่สามเป็นเพียงครั้งเดียวที่คุกคามมาถึงกรุงโรม ใจกลางของอิตาลี เป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนกอย่างยิ่งสำหรับกรุงโรมเพราะดูเหมือนว่ากองทัพทหารจะไม่มีอำนาจในการปราบปราม

การก่อกบฎได้เริ่มต้นขึ้นในปี 73 ก่อนคริสตกาล ด้วยการหลบหนีของเหล่าทาสกลาดิอาตอร์ราว 70 คน จากโรงเรียนกลาดิอาตอร์ในคาปัว พวกเขาสามารถเอาชนะกองกำลังทหารโรมันจำนวนเล็กน้อยที่ถูกส่งมาเพื่อจับกุมพวกเขาให้กลับไป ภายในสองปี พวกเขาได้มีคนมาเข้าร่วมจำนวน 120,000 คน โดยมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก เหล่าชายฉกรรจ์ของกลุ่มนี้เป็นกองกำลังติดอาวุธที่มีประสิทธิภาพอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งแสดงให้เห็นเรื่อย ๆ มาว่าพวกเขาสามารถต้านทานหรือเอาชนะทหารโรมัน จากหน่วยลาดตระเวนท้องถิ่นในแคว้นคัมปาเนีย กองทหารอาสาสมัครของโรมัน และแม้แต่กระทั่งกองทหารลีเจียนโรมันที่ถูกฝึกมาภายใต้คำสั่งของกงสุล เหล่าทาสได้เดินทางไปทั่วอิตาลี ทำการบุกปล้นที่ดินและเมืองโดยไม่ต้องรับโทษ บางครั้งได้แบ่งแยกกระจัดกระจายกัน แต่ได้ติดต่อกับผู้นำหลายคน รวมทั้งสปาร์ตากุส แม่ทัพที่เป็นนักสู้กลาดิอาตอร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

วุฒิสภาโรมันได้เริ่มตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการปล้นสะดมและความสำเร็จทางทหารอย่างต่อเนื่องของกองทัพทาส ในท้ายที่สุด ฝ่ายโรมันก็ได้มีกองทัพจำนวนแปดลีเจียนภายใต้การนำที่แข็งกร้าว แต่มีประสิทธิภาพของมาร์กุส ลิกินิอุส กรัสซุส สงครามได้จบลงในปี 71 ก่อนคริสตกาล ภายหลังจากการสู้รบอันยาวนานและดุเดือด ก่อนที่กองทหารลีเจียนของกรัสซุลและคิดว่ากองทหารลีเจียนของปอมปีย์และมาร์กุส เทเรนิตุส วาร์โร ลูซูลุสที่กำลังเคลื่อนทัพเข้ามาเพื่อโอบล้อมพวกเขาเอาไว้ กองทัพของสปาร์ตากุสได้เปิดฉากเข้าปะทะอย่างเต็มกำลังกับกองทหารลีเจียนของกรัสซุสจนพ่ายแพ่อย่างย่อยยับ ในเหล่าบรรดาผู้รอดชีวิตมีจำนวนประมาณ 6,000 คน ซึ่งถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงไม้กางเขนตามทางแอปเปียน เวย์ (Appian Way)

เรื่องราวของการก่อกบฏของพลูทาร์กได้ชี้ให้เห็นว่า เหล่าทาสเพียงแค่ต้องการหลบหนีไปสู่อิสรภาพและออกจากดินแดนโรมันโดยไปทางซิซาลไพน์ กอล (Cisalpine Gaul) แอปเปียนและฟอลรุสได้อธิบายถึงการก่อกบฎว่าเป็นสงครามการเมืองซึ่งเหล่าทาสมีความตั้งใจจะเข้ายึดกรุงโรม สงครามทาสครั้งที่สามนั้นมีผลกระทบที่สำคัญและแผ่ไปไกลต่อประวัติศาสตร์ในวงกว้างของกรุงโรม ปอมปีย์และกรัสซุสต่างใช้ประโยชน์จากความเร็จในครั้งนี้เพื่อพัฒนาอาชีพทางการเมืองโดยใช้เสียงโห่ร้องไชโยของสาธารณชนและการคุกคามโดยนัยของกองทหารลีเจียนของพวกเขาเป็นประโยชน์ เพิ่อที่จะครอบงำการเลือกตั้งตำแหน่งกงสุส เมื่อปี 70 ก่อนคริสตกาล การกระทำของพวกเขาในฐานะกงสุสได้ทำการโค่นล้มสถาบันทางการเมืองของโรมันอย่างมาก และมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงจากสาธารณรัฐโรมันมาเป็นจักรวรรดิโรมัน