ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปราสาทพระเทพบิดร"

พิกัด: 13°45′06″N 100°29′34″E / 13.751646°N 100.492791°E / 13.751646; 100.492791
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
DMS WIKI (คุย | ส่วนร่วม)
ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: เพิ่มข้อความไม่เป็นวิกิขนาดใหญ่ การแก้ไขแบบเห็นภาพ
บรรทัด 29: บรรทัด 29:


ในปี พ.ศ. 2446 ได้มีการซ่อมแซมแล้วให้เปลี่ยนนามเป็น '''ปราสาทพระเทพบิดร''' [[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูป[[ราชวงศ์จักรี|พระบูรพกษัตริย์]] แห่ง[[กรุงรัตนโกสินทร์]]ทั้ง 5 องค์มาไว้<ref>ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2461/D/116.PDF พระราชพิธี เชิญพระบรมรูปจากพระที่นั่งศิวาไลยมหาปราสาท ประดิษฐาน ยังปราสาทพระเทพบิดร พระพุทธศักราช 2461], เล่ม 35, ตอน ง, 21 เมษายน พ.ศ. 2461, หน้า 116 </ref> ทั้งมีพระบรมราชโองการให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งทรงกำหนดให้เป็น[[วันจักรี]] ตั้งแต่ พ.ศ. 2461 เป็นต้นมา จากนั้นในรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร]] ยังพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับ[[วันฉัตรมงคล]]<ref> สำนักพระราชวัง, [http://www.brh.thaigov.net/information/Buket%20Data/2011/2011_06/2011_06_04/s47_04062011.pdf หมายกำหนดการพระราชกุศลทักษิณานุปทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคล พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔]</ref> วันที่ 13-15 เมษายน เนื่องในวันสงกรานต์<ref> สำนักพระราชวัง, [http://www.brh.thaigov.net/information/Buket%20Data/2011/2011_04/2011_04_04/S29_04042011/S29_04042011.pdf หมายกำหนดการพระราชพิธีสงกรานต์ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔]</ref> หรือพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมในโอกาสวันสำคัญต่าง ๆ ในบางปี หรือทุกปี เช่น วันปิยมหาราช วันที่ 23 ตุลาคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2554 <ref> สำนักพระราชวัง, [http://www.brh.thaigov.net/information/Buket%20Data/2011/2011_10/2011_10_21/S121_21102011.pdf หมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช พุทธศักราช ๒๕๕๔]</ref> ปัจจุบันได้มีการประดิษฐานพระบรมรูปเพิ่มตามการเปลี่ยนรัชสมัย จนถึงรัชกาลที่ 9 แล้ว
ในปี พ.ศ. 2446 ได้มีการซ่อมแซมแล้วให้เปลี่ยนนามเป็น '''ปราสาทพระเทพบิดร''' [[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูป[[ราชวงศ์จักรี|พระบูรพกษัตริย์]] แห่ง[[กรุงรัตนโกสินทร์]]ทั้ง 5 องค์มาไว้<ref>ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2461/D/116.PDF พระราชพิธี เชิญพระบรมรูปจากพระที่นั่งศิวาไลยมหาปราสาท ประดิษฐาน ยังปราสาทพระเทพบิดร พระพุทธศักราช 2461], เล่ม 35, ตอน ง, 21 เมษายน พ.ศ. 2461, หน้า 116 </ref> ทั้งมีพระบรมราชโองการให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งทรงกำหนดให้เป็น[[วันจักรี]] ตั้งแต่ พ.ศ. 2461 เป็นต้นมา จากนั้นในรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร]] ยังพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับ[[วันฉัตรมงคล]]<ref> สำนักพระราชวัง, [http://www.brh.thaigov.net/information/Buket%20Data/2011/2011_06/2011_06_04/s47_04062011.pdf หมายกำหนดการพระราชกุศลทักษิณานุปทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคล พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔]</ref> วันที่ 13-15 เมษายน เนื่องในวันสงกรานต์<ref> สำนักพระราชวัง, [http://www.brh.thaigov.net/information/Buket%20Data/2011/2011_04/2011_04_04/S29_04042011/S29_04042011.pdf หมายกำหนดการพระราชพิธีสงกรานต์ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔]</ref> หรือพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมในโอกาสวันสำคัญต่าง ๆ ในบางปี หรือทุกปี เช่น วันปิยมหาราช วันที่ 23 ตุลาคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2554 <ref> สำนักพระราชวัง, [http://www.brh.thaigov.net/information/Buket%20Data/2011/2011_10/2011_10_21/S121_21102011.pdf หมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช พุทธศักราช ๒๕๕๔]</ref> ปัจจุบันได้มีการประดิษฐานพระบรมรูปเพิ่มตามการเปลี่ยนรัชสมัย จนถึงรัชกาลที่ 9 แล้ว

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะพระราชทานโอกาสเตือนน้ำใจแก่ประชาชน ได้ระลึกถึงความเดิมว่า ราชอาณาจักรไทยได้กลับเป็นอิสรภาพขึ้นดังโบราณกาล ด้วยพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และดำรงความเป็นอิสรภาพต่อมาด้วยพระบรมราโชบายแห่งสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้าที่ได้สืบสนองพระองค์ ประกอบด้วยพระปรีชาญาณต่างๆ อันควรแก่สมัย ราชอาณาจักรไทยจึงดำรงความเป็นอิสรภาพสืบมา

ด้วยเหตุนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทั้ง ๕ รัชกาล ซึ่งเดิมประดิษฐาน ณ พระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท ไปประดิษฐานยังปราสาทพระเทพบิดร แล้วให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ในวันที่ ๖ เมษายน เป็นประเพณีสืบไป

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกวันนี้ว่า “วันจักรี” เนื่องจากเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จกรีฑาทัพกลับพระนคร ทรงรับอัญเชิญเสด็จขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ การถวายบังคมพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช เนื่องในวันจักรี จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๖๒ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชบันทึกเหตุการณ์นี้ในบันทึกจดหมายเหตุรายวัน พระพุทธศักราช ๒๔๖๒ ความตอนหนึ่งว่า

“บ่ายวันนี้ได้เข้าไปถวายบังคมพระบรมรูปที่ในปราสาทพระเทพบิดร ในเวลาที่เราไป ก็ยังมีข้าราชการและประชาชนอยู่มาก และได้ข่าวว่าตั้งแต่เช้ามีคนเข้าไปถวายบังคมพระบรมรูปเป็นอันมาก...งานนี้นับว่าเป็นพระเกียรติยศงดงามดีมาก เพราะผู้คนไปอย่างแน่นหนา...เราได้ให้เรียกวันนี้ว่า วันจักรี”

นับแต่นั้นเป็นต้นมา สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชผู้ทรงสืบราชสันตติวงศ์ทุกรัชกาลสืบมากระทั่งรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชน เข้าถวายบังคมพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวันที่ ๖ เมษายนของทุกปี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความเจริญมั่นคง เป็นมูลฐานแห่งความผาสุกร่มเย็นของราชอาณาจักรไทยมาตราบเท่าทุกวันนี้


ในวันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562 [[พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เททองหล่อพระบรมรูป [[พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร]] เพื่อประดิษฐานในปราสาทพระเทพบิดรสืบไปพร้อมกับการเททองหล่อ [[พระคันธารราษฎร์]] และในอีกหนึ่งปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ[[สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี]] เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย[[สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา|สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา]] และ[[สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา]] ทรงประกอบพิธีประดิษฐาน และสมโภชพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ ปราสาทพระเทพบิดร
ในวันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562 [[พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เททองหล่อพระบรมรูป [[พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร]] เพื่อประดิษฐานในปราสาทพระเทพบิดรสืบไปพร้อมกับการเททองหล่อ [[พระคันธารราษฎร์]] และในอีกหนึ่งปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ[[สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี]] เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย[[สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา|สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา]] และ[[สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา]] ทรงประกอบพิธีประดิษฐาน และสมโภชพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ ปราสาทพระเทพบิดร

รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:16, 6 เมษายน 2564

ปราสาทพระเทพบิดร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ศาสนา
ศาสนาศาสนาพุทธ
สถานะปราสาทที่ประดิษฐานรูปเคารพของสมเด็จพระบูรพกษัตริยาธิราช
ที่ตั้ง
ที่ตั้งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แขวงพระบรมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ประเทศไทย ประเทศไทย

ปราสาทพระเทพบิดร เป็นปราสาทเพียงองค์เดียวในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นปราสาทจตุรมุข ยอดปรางค์มีนภศูล และมงกุฎอยู่บนยอด ประดับกระเบื้องเคลือบ องค์เดียวในประเทศไทย

ประวัติ

ปราสาทพระเทพบิดร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2398 เดิมชื่อว่า พุทธปรางค์ปราสาท เมื่อแรกนั้นมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ แต่เมื่อสร้างเสร็จเห็นว่าคับแคบไม่เหมาะแก่การพระราชพิธี จึงมิได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานดังพระราชดำริ

พระบรมรูปพระบูรพกษัตริยาธิราชภายในองค์ปราสาทพระเทพบิดร

ในปี พ.ศ. 2446 ได้มีการซ่อมแซมแล้วให้เปลี่ยนนามเป็น ปราสาทพระเทพบิดร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูปพระบูรพกษัตริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 5 องค์มาไว้[1] ทั้งมีพระบรมราชโองการให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งทรงกำหนดให้เป็นวันจักรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2461 เป็นต้นมา จากนั้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ยังพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันฉัตรมงคล[2] วันที่ 13-15 เมษายน เนื่องในวันสงกรานต์[3] หรือพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมในโอกาสวันสำคัญต่าง ๆ ในบางปี หรือทุกปี เช่น วันปิยมหาราช วันที่ 23 ตุลาคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2554 [4] ปัจจุบันได้มีการประดิษฐานพระบรมรูปเพิ่มตามการเปลี่ยนรัชสมัย จนถึงรัชกาลที่ 9 แล้ว

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะพระราชทานโอกาสเตือนน้ำใจแก่ประชาชน ได้ระลึกถึงความเดิมว่า ราชอาณาจักรไทยได้กลับเป็นอิสรภาพขึ้นดังโบราณกาล ด้วยพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และดำรงความเป็นอิสรภาพต่อมาด้วยพระบรมราโชบายแห่งสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้าที่ได้สืบสนองพระองค์ ประกอบด้วยพระปรีชาญาณต่างๆ อันควรแก่สมัย ราชอาณาจักรไทยจึงดำรงความเป็นอิสรภาพสืบมา

ด้วยเหตุนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทั้ง ๕ รัชกาล ซึ่งเดิมประดิษฐาน ณ พระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท ไปประดิษฐานยังปราสาทพระเทพบิดร แล้วให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ในวันที่ ๖ เมษายน เป็นประเพณีสืบไป

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกวันนี้ว่า “วันจักรี” เนื่องจากเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จกรีฑาทัพกลับพระนคร ทรงรับอัญเชิญเสด็จขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ การถวายบังคมพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช เนื่องในวันจักรี จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๖๒ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชบันทึกเหตุการณ์นี้ในบันทึกจดหมายเหตุรายวัน พระพุทธศักราช ๒๔๖๒ ความตอนหนึ่งว่า

“บ่ายวันนี้ได้เข้าไปถวายบังคมพระบรมรูปที่ในปราสาทพระเทพบิดร ในเวลาที่เราไป ก็ยังมีข้าราชการและประชาชนอยู่มาก และได้ข่าวว่าตั้งแต่เช้ามีคนเข้าไปถวายบังคมพระบรมรูปเป็นอันมาก...งานนี้นับว่าเป็นพระเกียรติยศงดงามดีมาก เพราะผู้คนไปอย่างแน่นหนา...เราได้ให้เรียกวันนี้ว่า วันจักรี”

นับแต่นั้นเป็นต้นมา สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชผู้ทรงสืบราชสันตติวงศ์ทุกรัชกาลสืบมากระทั่งรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชน เข้าถวายบังคมพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวันที่ ๖ เมษายนของทุกปี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความเจริญมั่นคง เป็นมูลฐานแห่งความผาสุกร่มเย็นของราชอาณาจักรไทยมาตราบเท่าทุกวันนี้

ในวันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เททองหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อประดิษฐานในปราสาทพระเทพบิดรสืบไปพร้อมกับการเททองหล่อ พระคันธารราษฎร์ และในอีกหนึ่งปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงประกอบพิธีประดิษฐาน และสมโภชพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ ปราสาทพระเทพบิดร

สัตว์หิมพานต์

กินนร (ซ้าย) และ อัปสรสีห์ (ขวา)

บนฐานไพทีด้านหน้า และรอบๆ ปราสาทพระเทพบิดรจะมีรูปหล่อโลหะเป็นรูปสัตว์หิมพานต์ ซึ่งหล่อในสมัยรัชกาลที่ 5 สร้างเป็นคู่ ตัวผู้ตัวเมีย รวม 7 คู่ ดังนี้

  1. อสูรวายุภักษ์ ท่อนบนเป็นยักษ์สวมมงกุฎ ท่อนล่างเป็นนก สองมือกุมกะบองเกลียว ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
  2. อัปสรสีห์ ท่อนบนเป็นนางอัปสร ท่อนล่างเป็นราชสีห์ ยืนพนมมือ ตั้งอยู่เชิงบันไดกลางลานด้านหน้าปราสาทพระเทพบิดร
  3. สิงหพานร ท่อนบนเป็นพระยาวานร ท่อนล่างเป็นราชสีห์ สองมือถือกระบอง ตั้งอยู่ที่บันไดลานทักษิณด้านตะวันตก
  4. กินนร และ กินรี ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก มือหนึ่งแตะบั้นเอว มือหนึ่งยกระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
  5. เทพปักษี เป็นเทวดา มีปีกและหางเป็นนก มือข้างหนึ่งถือพระขรรค์ อีกข้างหนึ่งจีบระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
  6. เทพนรสิงห์ ท่อนบนเป็นเทวดา ท่อนล่างเป็นราชสีห์ มือหนึ่งแตะบั้นเอว อีกมือหนึ่งถือกิ่งไม้ชูระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
  7. อสูรปักษี ท่อนบนเป็นยักษ์ สวมมงกุฎ ท่อนล่างเป็นนก มือหนึ่งแตะบั้นเอว อีกมือหนึ่งผายออกด้านข้าง

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

13°45′06″N 100°29′34″E / 13.751646°N 100.492791°E / 13.751646; 100.492791