ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การรุกรานรัสเซียโดยฝรั่งเศส"
แก้คำผิด |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 38: | บรรทัด 38: | ||
[[กองทัพใหญ่]] (Grande Armeé) เป็นกำลังรบขนาดมหึมาที่มีทหารมากถึง 680,000 นาย (เป็นทหารฝรั่งเศสราว 400,000) นโปเลียนเคลื่อนพลเข้าไปทางตะวันตกของรัสเซียอย่างรวดเร็วโดย และพยายามให้กองทัพรัสเซียเข้าปะทะ การปะทะเล็กหลายครั้งรวมถึงศึกใหญ่ที่[[สโมเลนสค์]]ในสิงหาคมนั้น นโปเลียนเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ แต่แม้จะรุกคืบได้เสมอแต่ก็ไม่เป็นที่พอใจของนโปเลียน เนื่องจากกองทัพรัสเซียได้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ตลอดและถอยลึกเข้าไปในแผ่นดินรัสเซีย ทิ้งเมืองสโมเลนสค์ไว้ในกองเพลิง ทำให้แผนการที่จะทำลายกองทัพรัสเซียที่สโมเลนสค์นั้นต้องเป็นหมันไป และนำทัพไล่ตามกองทัพรัสเซีย{{sfn|Caulaincourt|2005|p=77|loc="Before a month is out we shall be in Moscow. In six weeks we shall have peace."}} |
[[กองทัพใหญ่]] (Grande Armeé) เป็นกำลังรบขนาดมหึมาที่มีทหารมากถึง 680,000 นาย (เป็นทหารฝรั่งเศสราว 400,000) นโปเลียนเคลื่อนพลเข้าไปทางตะวันตกของรัสเซียอย่างรวดเร็วโดย และพยายามให้กองทัพรัสเซียเข้าปะทะ การปะทะเล็กหลายครั้งรวมถึงศึกใหญ่ที่[[สโมเลนสค์]]ในสิงหาคมนั้น นโปเลียนเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ แต่แม้จะรุกคืบได้เสมอแต่ก็ไม่เป็นที่พอใจของนโปเลียน เนื่องจากกองทัพรัสเซียได้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ตลอดและถอยลึกเข้าไปในแผ่นดินรัสเซีย ทิ้งเมืองสโมเลนสค์ไว้ในกองเพลิง ทำให้แผนการที่จะทำลายกองทัพรัสเซียที่สโมเลนสค์นั้นต้องเป็นหมันไป และนำทัพไล่ตามกองทัพรัสเซีย{{sfn|Caulaincourt|2005|p=77|loc="Before a month is out we shall be in Moscow. In six weeks we shall have peace."}} |
||
ในระหว่างที่ทัพรัสเซียล่าถอยลึกเข้าไปในแผ่นดิน แม่ทัพรัสเซียก็สั่งให้พวก[[คอสแซค]]เผาทำลายหมู่บ้าน, เมือง และทุ่งข้าวโพดระหว่างทางผ่านให้สิ้น{{sfn|Caulaincourt|2005|p=9}} เพื่อหวังไม่ให้กองทัพนโปเลียนมาใช้ประโยชน์ได้ กลยุทธ ''[[ |
ในระหว่างที่ทัพรัสเซียล่าถอยลึกเข้าไปในแผ่นดิน แม่ทัพรัสเซียก็สั่งให้พวก[[คอสแซค]]เผาทำลายหมู่บ้าน, เมือง และทุ่งข้าวโพดระหว่างทางผ่านให้สิ้น{{sfn|Caulaincourt|2005|p=9}} เพื่อหวังไม่ให้กองทัพนโปเลียนมาใช้ประโยชน์ได้ กลยุทธ ''[[พสุธาจมเพลิง]]'' ของฝ่ายรัสเซียนี้ สร้างความความยุ่งยากและความตะลึงแก่กองทัพนโปเลียนเป็นอันมากว่ารัสเซียจะสามารถทำร้ายแผ่นดินและราษฎรของตนเองเพียงเพื่อสกัดกั้นทัพข้าศึก ซึ่งยากที่แม่ทัพฝรั่งเศสจะเอาอย่างได้{{sfn|Caulaincourt|2005|p=85|loc= "Everyone was taken aback, the Emperor as well as his men – though he affected to turn the novel method of warfare into a matter of ridicule."}} ด้วยเหตุฉะนี้ กองทัพนโปเลียนจึงจำต้องพึ่งแต่กองสนับสนุนทางเสบียง ซึ่งเสบียงที่ขนส่งมากก็ไม่พอเลี้ยงกองทัพมหึมาทั้งกองทัพ ความขาดแคลนเสบียงบังคับให้ทหารจำต้องออกจากค่ายในเวลากลางคืนเพื่อหาอาหาร ซึ่งบ่อยครั้งที่ทหารเหล่านี้ต้องถูกจับหรือถูกฆ่าตายโดยพวกคอสแซค |
||
กองทัพรัสเซียใช้เวลาราวสามเดือน |
กองทัพรัสเซียใช้เวลาราวสามเดือนถอยร่นเข้าไปในแผ่นดิน การสูญเสียดินแดนจำนวนมากแก่นโปเลียนเริ่มทำให้ขุนนางรัสเซียกลัดกลุ้ม พวกขุนนางจึงรวมตัวกดดันซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ให้ปลดจอมพลไมเคิล บาร์เคลย์ ผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิรัสเซียเชื้อสายสกอตลงจากตำแหน่ง ในที่สุดพระองค์ก็ยินยอมแต่งตั้งทหารเก่าแก่ จอมพล[[มีฮาอิล คูตูซอฟ]] ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพแทนอย่างไม่ค่อยยินดีพระทัยนัก กระบวนการถ่ายโอนตำแหน่งนี้กินเวลากว่าสองสัปดาห์ |
||
7 กันยายน กองพลของนโปเลียนจำนวน 135,000 นาย เผชิญหน้ากองทัพรัสเซียราว 111,000 นายในบัญชาของจอมพลคูตูซอฟ ซึ่งขุดสนามเพลาะอยู่เชิงเขาก่อนถึงหมู่บ้านขนาดเล็กชื่อโบโรดิโน ประมาณ 110 กิโลเมตรเมตรทางตะวันตกของมอสโก การปะทะในวันนั้นถือเป็นการปะทะที่นองเลือดที่สุดในวันเดียวของสงครามนโปเลียน ซึ่งมีทหารเสียชีวิตกว่ากว่า 70,000 นาย แม้ว่าฝ่ายนโปเลียนได้รับชัยชนะในทางเทคนิค แต่ก็ต้องเสียนายพลไปถึง 49 นายและทหารอีกหลายหมื่น กองทัพรัสเซียที่เหลือรอดสามารถหนีไปได้ในวันต่อมา{{sfn|Riehn|1991|p=236}} |
|||
=== ยึดมอสโก === |
=== ยึดมอสโก === |
||
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 14 กันยายน นโปเลียนกรีฑาทัพถึงกรุงมอสโก ซึ่งสร้างความงุนงงแก่เหล่าทหารมากที่เมืองทั้งเมืองเป็นเมืองร้างที่แทบไร้ผู้คน เนื่องจากรัสเซียได้อพยพผู้คนเกือบทั้งหมดออกไปก่อนหน้าแล้ว นอกจากนี้ ข้าหลวงกรุงมอสโกยังแอบซ่องสุมคนส่วนหนึ่งไว้ในมอสโก อาศัยจังหวะที่ฝ่ายฝรั่งเศสเผลอทำการวางเพลิงทั่วมอสโก ทัพนโปเลียนใช้เวลากว่าหกวันในการดับไฟอย่างทุลักทุเล นโปเลียนยังคงตัดสินใจปักหลักในมอสโกเพื่อรอให้รัสเซียประกาศยอมแพ้ตามธรรมเนียมการเสียเมืองหลวง แต่การเสียมอสโกซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองก็ไม่ทำให้ซาร์แห่งรัสเซียยอมจำนน อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักดีถึงความโหดร้ายของหน้าหนาวในรัสเซีย เช่นนั้นแล้วก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว นโปเลียนจึงจำเป็นต้องพิชิตรัสเซียให้เร็วที่สุด นโปเลียนรออยู่ในมอสโกหนึ่งเดือนเศษจึงตัดสินใจยกทัพออกจากมอสโกไปยังเมืองคาลูกาทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่ซึ่งจอมพลคูตูซอฟแห่งรัสเซียตั้งค่ายทัพหลวงอยู่ที่นั่น |
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 14 กันยายน นโปเลียนกรีฑาทัพถึงกรุงมอสโก ซึ่งสร้างความงุนงงแก่เหล่าทหารมากที่เมืองทั้งเมืองเป็นเมืองร้างที่แทบไร้ผู้คน เนื่องจากรัสเซียได้อพยพผู้คนเกือบทั้งหมดออกไปก่อนหน้าแล้ว นอกจากนี้ ข้าหลวงกรุงมอสโกยังแอบซ่องสุมคนส่วนหนึ่งไว้ในมอสโก อาศัยจังหวะที่ฝ่ายฝรั่งเศสเผลอทำการวางเพลิงทั่วมอสโก ทัพนโปเลียนใช้เวลากว่าหกวันในการดับไฟอย่างทุลักทุเล นโปเลียนยังคงตัดสินใจปักหลักในมอสโกเพื่อรอให้รัสเซียประกาศยอมแพ้ตามธรรมเนียมการเสียเมืองหลวง แต่การเสียกรุงมอสโกซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองก็ไม่ทำให้ซาร์แห่งรัสเซียยอมจำนน อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักดีถึงความโหดร้ายของหน้าหนาวในรัสเซีย เช่นนั้นแล้วก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว นโปเลียนจึงจำเป็นต้องพิชิตรัสเซียให้เร็วที่สุด นโปเลียนรออยู่ในมอสโกหนึ่งเดือนเศษจึงตัดสินใจยกทัพออกจากมอสโกไปยังเมืองคาลูกาทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่ซึ่งจอมพลคูตูซอฟแห่งรัสเซียตั้งค่ายทัพหลวงอยู่ที่นั่น |
||
=== นโปเลียนถอนทัพ === |
=== นโปเลียนถอนทัพ === |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:46, 16 มีนาคม 2564
การรุกรานรัสเซียของฝรั่งเศส (อังกฤษ: French invasion of Russia) หรือในรัสเซียรู้จักกันในชื่อ สงครามของผู้รักชาติปี 1812 ([Отечественная война 1812 года] ข้อผิดพลาด: {{Lang-xx}}: ข้อความมีมาร์กอัปตัวเอียง (ช่วยเหลือ)) หรือในฝรั่งเศสรู้จักกันในชื่อ ปฏิบัติการรัสเซีย ([Campagne de Russie] ข้อผิดพลาด: {{Lang-xx}}: ข้อความมีมาร์กอัปตัวเอียง (ช่วยเหลือ)) เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1812 เมื่อกองทัพใหญ่ (ฝรั่งเศส: la Grande Armée) ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทำการข้ามแม่น้ำเนมันเพื่อหวังเข้าต่อสู้และพิชิตทัพรัสเซีย ซึ่งนโปเลียนหวังที่จะบังคับให้ ซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย ยุติการติดต่อค้าขายกับพวกพ่อค้าอังกฤษ ซึ่งนโปเลียนหวังใช้เป็นข้อกดดันทางอ้อมให้อังกฤษสูญเสียรายได้จนต้องขอเข้าสู่กระบวนการสันติภาพกับฝรั่งเศส[8] และปฏิบัติการนี้ก็ยังมีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงโปแลนด์มาจากรัสเซีย
เหตุการณ์
บุกรัสเซีย
กองทัพใหญ่ (Grande Armeé) เป็นกำลังรบขนาดมหึมาที่มีทหารมากถึง 680,000 นาย (เป็นทหารฝรั่งเศสราว 400,000) นโปเลียนเคลื่อนพลเข้าไปทางตะวันตกของรัสเซียอย่างรวดเร็วโดย และพยายามให้กองทัพรัสเซียเข้าปะทะ การปะทะเล็กหลายครั้งรวมถึงศึกใหญ่ที่สโมเลนสค์ในสิงหาคมนั้น นโปเลียนเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ แต่แม้จะรุกคืบได้เสมอแต่ก็ไม่เป็นที่พอใจของนโปเลียน เนื่องจากกองทัพรัสเซียได้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ตลอดและถอยลึกเข้าไปในแผ่นดินรัสเซีย ทิ้งเมืองสโมเลนสค์ไว้ในกองเพลิง ทำให้แผนการที่จะทำลายกองทัพรัสเซียที่สโมเลนสค์นั้นต้องเป็นหมันไป และนำทัพไล่ตามกองทัพรัสเซีย[9]
ในระหว่างที่ทัพรัสเซียล่าถอยลึกเข้าไปในแผ่นดิน แม่ทัพรัสเซียก็สั่งให้พวกคอสแซคเผาทำลายหมู่บ้าน, เมือง และทุ่งข้าวโพดระหว่างทางผ่านให้สิ้น[8] เพื่อหวังไม่ให้กองทัพนโปเลียนมาใช้ประโยชน์ได้ กลยุทธ พสุธาจมเพลิง ของฝ่ายรัสเซียนี้ สร้างความความยุ่งยากและความตะลึงแก่กองทัพนโปเลียนเป็นอันมากว่ารัสเซียจะสามารถทำร้ายแผ่นดินและราษฎรของตนเองเพียงเพื่อสกัดกั้นทัพข้าศึก ซึ่งยากที่แม่ทัพฝรั่งเศสจะเอาอย่างได้[10] ด้วยเหตุฉะนี้ กองทัพนโปเลียนจึงจำต้องพึ่งแต่กองสนับสนุนทางเสบียง ซึ่งเสบียงที่ขนส่งมากก็ไม่พอเลี้ยงกองทัพมหึมาทั้งกองทัพ ความขาดแคลนเสบียงบังคับให้ทหารจำต้องออกจากค่ายในเวลากลางคืนเพื่อหาอาหาร ซึ่งบ่อยครั้งที่ทหารเหล่านี้ต้องถูกจับหรือถูกฆ่าตายโดยพวกคอสแซค
กองทัพรัสเซียใช้เวลาราวสามเดือนถอยร่นเข้าไปในแผ่นดิน การสูญเสียดินแดนจำนวนมากแก่นโปเลียนเริ่มทำให้ขุนนางรัสเซียกลัดกลุ้ม พวกขุนนางจึงรวมตัวกดดันซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ให้ปลดจอมพลไมเคิล บาร์เคลย์ ผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิรัสเซียเชื้อสายสกอตลงจากตำแหน่ง ในที่สุดพระองค์ก็ยินยอมแต่งตั้งทหารเก่าแก่ จอมพลมีฮาอิล คูตูซอฟ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพแทนอย่างไม่ค่อยยินดีพระทัยนัก กระบวนการถ่ายโอนตำแหน่งนี้กินเวลากว่าสองสัปดาห์
7 กันยายน กองพลของนโปเลียนจำนวน 135,000 นาย เผชิญหน้ากองทัพรัสเซียราว 111,000 นายในบัญชาของจอมพลคูตูซอฟ ซึ่งขุดสนามเพลาะอยู่เชิงเขาก่อนถึงหมู่บ้านขนาดเล็กชื่อโบโรดิโน ประมาณ 110 กิโลเมตรเมตรทางตะวันตกของมอสโก การปะทะในวันนั้นถือเป็นการปะทะที่นองเลือดที่สุดในวันเดียวของสงครามนโปเลียน ซึ่งมีทหารเสียชีวิตกว่ากว่า 70,000 นาย แม้ว่าฝ่ายนโปเลียนได้รับชัยชนะในทางเทคนิค แต่ก็ต้องเสียนายพลไปถึง 49 นายและทหารอีกหลายหมื่น กองทัพรัสเซียที่เหลือรอดสามารถหนีไปได้ในวันต่อมา[11]
ยึดมอสโก
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 14 กันยายน นโปเลียนกรีฑาทัพถึงกรุงมอสโก ซึ่งสร้างความงุนงงแก่เหล่าทหารมากที่เมืองทั้งเมืองเป็นเมืองร้างที่แทบไร้ผู้คน เนื่องจากรัสเซียได้อพยพผู้คนเกือบทั้งหมดออกไปก่อนหน้าแล้ว นอกจากนี้ ข้าหลวงกรุงมอสโกยังแอบซ่องสุมคนส่วนหนึ่งไว้ในมอสโก อาศัยจังหวะที่ฝ่ายฝรั่งเศสเผลอทำการวางเพลิงทั่วมอสโก ทัพนโปเลียนใช้เวลากว่าหกวันในการดับไฟอย่างทุลักทุเล นโปเลียนยังคงตัดสินใจปักหลักในมอสโกเพื่อรอให้รัสเซียประกาศยอมแพ้ตามธรรมเนียมการเสียเมืองหลวง แต่การเสียกรุงมอสโกซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองก็ไม่ทำให้ซาร์แห่งรัสเซียยอมจำนน อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักดีถึงความโหดร้ายของหน้าหนาวในรัสเซีย เช่นนั้นแล้วก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว นโปเลียนจึงจำเป็นต้องพิชิตรัสเซียให้เร็วที่สุด นโปเลียนรออยู่ในมอสโกหนึ่งเดือนเศษจึงตัดสินใจยกทัพออกจากมอสโกไปยังเมืองคาลูกาทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่ซึ่งจอมพลคูตูซอฟแห่งรัสเซียตั้งค่ายทัพหลวงอยู่ที่นั่น
นโปเลียนถอนทัพ
การเคลื่อนพลของนโปเลียนไปยังคาลูกาถูกจับตาโดยหน่วยสอดแนมของรัสเซีย นโปเลียนได้ปะทะกับรัสเซียอีกครั้งที่มาโลยาโรสลาเวตในวันที่ 24 ตุลาคม แม้ว่าจะได้รับชัยชนะ แต่นโปเลียนก็เลิกล้มที่จะไปยังคาลูกาเนื่องจากเริ่มเข้าฤดูหนาวและตัดสินใจถอนทัพออกจากรัสเซีย ซึ่งระหว่างที่ถอนกำลัง กองทัพนโปเลียนก็ต้องเผชิญกับความหฤโหดของหน้าหนาวในรัสเซีย ทั้งการขาดที่พักและเสบียงทั้งของทหารและม้า (ผลจากยุทธวิธี Scorched earth ของรัสเซีย), ความขาดแคลนเสื้อกันหนาว, ภาวะตัวเย็นเกิน, ภาวะเหน็ดเหนื่อย ทำให้กองทัพนโปเลียนด้อยศักยภาพลง นี่จึงเป็นโอกาสทองของรัสเซีย รัสเซียได้ทีจึงยกทัพคอยตามตีอยู่เนือง ๆ ในวันที่กองทัพนโปเลียนข้ามแม่น้ำเบเรซีนาในเดือนพฤศจิกายน มีทหารที่พร้อมรบเหลือเพียง 27,000 นาย กองทัพใหญ่ได้สูญเสียกำลังพลในปฏิบัติการนี้ถึง 380,000 นายและตกเป็นเชลยอีกกว่า 100,000 นาย[12] ปฏิบัติการครั้งนี้สิ้นสุดลงเมื่อข้าศึกนายสุดท้ายออกจากแผ่นดินรัสเซียในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1812
อ้างอิง
- ↑ von Clausewitz, Carl (1996). The Russian campaign of 1812. Transaction Publishers. Introduction by Gérard Chaliand, VII. ISBN 1-4128-0599-6
- ↑ Christian Wilhelm von Faber du Faur, Campagne de Russie 1812: d'après le journal illustré d'un témoin oculaire, éditions Flammarion, 1812, 319 pages, p.313.
- ↑ Eugène Labaume, Relation circonstanciée de la Campagne de Russie en 1812, éditions Panckoucke-Magimel, 1815, p.453-454.
- ↑ 4.0 4.1 Riehn 1991, p. 50.
- ↑ Zamoyski 2005, p. 536 — note this includes deaths of prisoners during captivity.
- ↑ The Wordsworth Pocket Encyclopedia, p. 17, Hertfordshire 1993.
- ↑ Bogdanovich, "History of Patriotic War 1812", Spt., 1859–1860, Appendix, pp. 492–503.
- ↑ 8.0 8.1 Caulaincourt 2005, p. 9.
- ↑ Caulaincourt 2005, p. 77, "Before a month is out we shall be in Moscow. In six weeks we shall have peace.".
- ↑ Caulaincourt 2005, p. 85, "Everyone was taken aback, the Emperor as well as his men – though he affected to turn the novel method of warfare into a matter of ridicule.".
- ↑ Riehn 1991, p. 236.
- ↑ The Wordsworth Pocket Encyclopedia, page 17, Hertfordshire 1993