ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โตโยต้า โคโรลล่า"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
Mugornja (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 255: บรรทัด 255:
โตโยต้า โคโรลล่า รุ่นสเตชันวากอนเรียกว่า '''โคโรลล่า ทัวริง สปอร์ต''' ถูกเปิดตัวที่งานแสดงรถยนต์ปารีสประจำปี 2018<ref name="2019 Corolla UK">{{cite press release |url=http://blog.toyota.co.uk/toyota-corolla-enters-an-exciting-new-era |title=Toyota Corolla enters an exciting new era |work=Toyota |location=UK |date=2018-08-28 |access-date=2018-08-31}}</ref><ref name="2019 Corolla Europe">{{cite press release |url=https://www.toyota-europe.com/world-of-toyota/articles-news-events/2018/corolla-2019 |title=An exciting new era for Corolla |work=Toyota |location=Europe |date=2018-08-28 |access-date=2018-08-31}}</ref> รูปภาพอย่างเป็นทางการของโคโรลล่า ทัวริง สปอร์ตเผยโฉมเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561
โตโยต้า โคโรลล่า รุ่นสเตชันวากอนเรียกว่า '''โคโรลล่า ทัวริง สปอร์ต''' ถูกเปิดตัวที่งานแสดงรถยนต์ปารีสประจำปี 2018<ref name="2019 Corolla UK">{{cite press release |url=http://blog.toyota.co.uk/toyota-corolla-enters-an-exciting-new-era |title=Toyota Corolla enters an exciting new era |work=Toyota |location=UK |date=2018-08-28 |access-date=2018-08-31}}</ref><ref name="2019 Corolla Europe">{{cite press release |url=https://www.toyota-europe.com/world-of-toyota/articles-news-events/2018/corolla-2019 |title=An exciting new era for Corolla |work=Toyota |location=Europe |date=2018-08-28 |access-date=2018-08-31}}</ref> รูปภาพอย่างเป็นทางการของโคโรลล่า ทัวริง สปอร์ตเผยโฉมเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561


สำหรับรูปแบบ Station Wagon นี้ คาดว่าในประเทศไทยจะมีการนำมาขายโดยใช้ชื่อว่า Corolla Cross ซึ่งมีผู้พบเห็นรถรูปแบบดังกล่าวทดสอบวิ่งในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2563 และล่าสุดมีข่าวยืนยันออกมาแล้วว่า จะมีการเปิดตัว Corolla Cross ในประเทศไทยในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563
สำหรับรูปแบบ Station Wagon นี้ คาดว่าในประเทศไทยจะมีการนำมาขายโดยใช้ชื่อว่า Corolla Cross ซึ่งมีผู้พบเห็นรถรูปแบบดังกล่าวทดสอบวิ่งในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2563 และมีการเปิดตัว Corolla Cross ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563


{{clear}}
{{clear}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 06:07, 26 ธันวาคม 2563

โตโยต้า โคโรลล่า
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตโตโยต้า
เริ่มผลิตเมื่อ2509–ปัจจุบัน
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก (2509–2534)
รถยนต์นั่งขนาดเล็ก (2534–ปัจจุบัน)
โครงสร้างเครื่องวางหน้า, ขับเคลื่อนล้อหลัง (พ.ศ. 2509-2530), (พ.ศ. 2526-2530; AE85, AE86)
เครื่องวางหน้า, ขับเคลื่อนล้อหน้า (พ.ศ. 2526–ปัจจุบัน)
เครื่องวางหน้า, ขับเคลื่อนสี่ล้อ (พ.ศ. 2531–2537, 2540–ปัจจุบัน)
ระยะเหตุการณ์
รุ่นก่อนหน้าโตโยต้า พับลิกา

โตโยต้า โคโรลล่า (Toyota Corolla) (คำว่า Corolla แปลว่า กลีบดอกไม้) เป็นรถโตโยต้ารุ่นที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านการขายและการเป็นที่นิยมมายาวนาน โดยเฉพาะในเมืองไทยรู้จักรถโคโรลล่านี้มาอย่างกว้างขวางและยาวนาน โดยเฉพาะในปัจจุบัน นิยมเอารถโตโยต้า โคโรลล่า อัลติส (Toyota Corolla Altis) มาทำรถแท็กซี่ในเมืองไทย โดยรถโตโยต้า โคโรลล่า จัดอยู่ในระดับรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก (Subcompact) ในโฉมที่ 1-5 ส่วนโฉมที่ 6 เป็นต้นมา จัดอยู่ในระดับรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact)

โคโรลล่า เป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับ ฮอนด้า ซีวิค นิสสัน ซันนี่/ทีด้า เชฟโรเลต ออพตร้า และ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ ในฐานะที่เป็นรถที่ไม่เล็กเกินไปในการใช้เป็นรถครอบครัว แต่ไม่เทอะทะสำหรับการใช้เป็นรถส่วนตัว ใช้งานได้หลากหลาย รถรุ่นโคโรลล่าเป็นรถที่พบเห็นได้ค่อนข้างมากบนท้องถนนไทยในปัจจุบัน มีวิวัฒนาการตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แบ่งเป็น 11 รูปโฉม ได้แก่

รุ่นที่ 1 (พ.ศ. 2509-2513)

โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 1

เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2509 รหัสตัวถัง KE10 โดยในช่วงแรก ผลิตเพียงตัวถังแบบ Sedan 2 ประตู แล้วตัวถังแบบ Sedan 4 ประตูเริ่มมีใน พ.ศ. 2510 และตัวถัง station wagon 4 ประตู ก็เริ่มผลิตใน พ.ศ. 2511 และตามด้วยรถ coupe 2 ประตูปิดท้ายรุ่น โดยรถคูเป้ 2 ประตู โคโรลล่าได้ตั้งชื่อเฉพาะให้ว่า โคโรลล่า สปรินเตอร์ รหัสตัวถัง KE15 โดยในระหว่างโฉมแรกนี้ มี 2 ขนาดเครื่องยนต์ให้เลือก คือ 1.1 ลิตรในช่วงแรก และ 1.2 ลิตรในช่วง พ.ศ. 2512 เป็นต้นไป

ระบบเกียร์ในสมัยนั้น ไม่เน้นการประหยัดน้ำมัน และเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้า ระบบเกียร์ในรถโคโรลล่า จึงมี 2 ระบบให้เลือก คือ เกียร์ธรรมดาเพียง 4 สปีด และเกียร์อัตโนมัติเพียง 2 สปีด แต่การที่มีเครื่องยนต์ลูกสูบขนาดเล็ก ทำให้รถประหยัดน้ำมัน ชดเชยการที่เกียร์มีไม่กี่สปีด

ในประเทศไทยมีการนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2509 โดยเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ ยังไม่มีการประกอบในประเทศไทยแต่อย่างใด

เลิกผลิตใน พ.ศ. 2513 เนื่องจากมีการเปิดตัว โคโรลล่า โฉมที่ 2

รุ่นที่ 2 (พ.ศ. 2513-2521)

โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 2

เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2513 รหัสตัวถัง KE20 โดยรถรุ่นโคโรลล่า สปรินเตอร์ (Corolla Sprinter) มีการเพิ่มรูปแบบตัวถัง sedan เข้าไปในเมนูผลิต และมีการเปิดตัวรถรุ่น โคโรลล่า เลวิน (Corolla Levin) และ โคโรลล่า สปรินเตอร์ ทรูโน (Corolla sprinter Trueno) โดยนำตัวถังแบบ coupe GT มาใช้ และทางโตโยต้า เห็นว่า รถโคโรลล่าประสบความสำเร็จสูงมาก จึงแยกธุรกิจการขายรถโตโยต้า โคโรลล่า ออกเป็น 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจขายรถโคโรลล่า สปรินเตอร์ , โคโรลล่า สปรินเตอร์ ทรูโน กับ ธุรกิจขายรถโคโรลล่า , โคโรลล่า เลวิน

รูปแบบตัวถังมีความหลากหลายมากขึ้น ได้แก่ coupe 2 ประตู , station wagon 3 กับ 5 ประตู , sedan 4 ประตู และ van 5 ประตู และมีการเพิ่มขนาดเครื่องยนต์ เป็น 1.2 , 1.4 , 1.6 ลิตรให้เลือก และรถโฉมนี้ประสบความสำเร็จสูงมาก ดังจะเห็นได้จากการที่ถึงแม้โคโรลล่าจะเปิดตัวโฉมที่ 3 ใน พ.ศ. 2517 แต่โฉมที่ 2 นี้ ผลิตอย่างต่อเนื่องไปจนถึง พ.ศ. 2521 จึงเลิกผลิต ในประเทศไทยเป็นโคโรลล่ารุ่นแรกที่ประกอบในประเทศไทย

รุ่นที่ 3 (พ.ศ. 2517-2524)

โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 3

โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2517 รหัสตัวถัง KE30 , KE40 , KE50 และ KE60 มีการเพิ่มรูปแบบตัวถัง hardtop coupe 2 ประตูเข้าไป ส่วนตัวถังแบบอื่นมีดังเดิม มีและเริ่มมีการพัฒนาและได้ผลิตระบบเกียร์ให้เลือกเพิ่มเป็น 4 ระบบ คืออัตโนมัติ 2 กับ 3 สปีด และ ธรรมดา 4 กับ 5 สปีด ขนาดเครื่องยนต์ 1.2 กับ 1.4 ลิตร

หลังจากการเปิดตัวรถโคโรลล่าโฉมที่ 4 ใน พ.ศ. 2522 ทั่วโลกก็เริ่มทยอยหยุดขายหยุดผลิตโฉมที่ 3 และโฉมนี้ได้หยุดผลิตอย่างสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2524

รุ่นที่ 4 (พ.ศ. 2522-2526)

โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 4

โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2522 รหัสตัวถัง KE70 ในโฉมนี้ ได้เพิ่มความหลากหลายของรูปตัวถังขึ้น โดยเพิ่มรูปตัวถัง sedan 2 ประตู และ liftback 3 ประตูเข้าไปเพิ่ม แต่ได้ระงับการผลิตตัวถังแบบ coupe 2 ประตู

ระบบเกียร์ 4 ระบบดังเดิม ขนาดเครื่องยนต์ 3 ขนาด ได้แก่ 1.3 , 1.6 และ 1.8 ลิตร

และรูปโฉมนี้ เป็นรูปโฉมสุดท้ายที่รถโคโรลล่าขับเคลื่อนล้อหลังเพียงอย่างเดียว ซึ่งโฉมต่อจากนี้ จะค่อยๆ ยกเลิกระบบขับเคลื่อนล้อหลังของโคโรลล่าไป และจะแทนที่ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้า

และโฉมนี้ก็เป็นโฉมสุดท้ายที่มีการผลิตระบบเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด และระบบเกียร์ธรรมดา 4 สปีดด้วยเช่นกัน

โฉมนี้ เลิกผลิตในปีเดียวกับการเปิดตัวรถโคโรลล่าโฉมที่ 5 ใน พ.ศ. 2526

รุ่นที่ 5 (พ.ศ. 2526-2530)

โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 5

โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2526 เป็นโฉมแรกของโคโรลล่า ที่ขับเคลื่อนล้อหน้า รหัสเครื่องยนต์ AE80 แต่ยกเว้น โคโรลล่า เลวิน และโคโรลล่า สปรินเตอร์ ทรูโน ที่ยังเป็นขับเคลื่อนล้อหลัง ใช้รหัสตัวถัง AE86 โฉมนี้ โคโรลล่าได้ปรับรูปแบบตัวถังใหม่ ได้แก่ coupe 2 ประตู , hatchback 3 ประตู , sedan และ station wagon 4 ประตู , liftback 5 ประตู และโฉมนี้ เป็นโฉมแรกที่โคโรลล่า มีการผลิตรถที่ใช้น้ำมันดีเซล(สำหรับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร) และใช้เบนซิน (สำหรับเครื่องยนต์ 1.3 และ 1.6 ลิตร) พร้อมๆ กัน โดยโฉมนี้ มีระบบเกียร์เหลือให้เลือก 2 ระบบ คือ อัตโนมัติ 3 สปีด และธรรมดา 5 สปีด ลักษณะโฉมแบบนี้ วงการรถไทยมักเรียกว่า "โฉมท้ายตัด"

โฉมนี้ ได้รับการออกแบบทั้งสมรรถนะ การขับเคลื่อน 3 แบบให้เลือก (ล้อหน้า,ล้อหลัง,4 ล้อ) ในช่วงนี้ รถขับเคลื่อนล้อหลังเริ่มมียอดขายลดลง เพราะคนเริ่มไปซื้อรถขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ในภาพรวมทั้งหมด เทคโนโลยีต่างๆในรถและรูปทรงที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น ทำให้ในปัจจุบัน โฉมนี้ไม่ถือเป็นสิ่งล้าสมัย ยอดขายรถโคโรลล่าโฉมนี้ รวมยอดผลิตได้มากกว่า 3.3 ล้านคัน ในขณะที่รถโคโรลล่าทั้ง 10 โฉมรวมกันแล้ว ได้ยอดขาย 31 ล้านคัน และจนถึงปัจจุบัน นักเลงรถในญี่ปุ่น ก็จะยังรู้จักและขับรถโคโรลล่าโฉมนี้อยู่ โดยไม่ถือว่าล้าสมัย และโฉมนี้ ก็เป็นโฉมสุดท้ายที่จัดเป็นรถขนาด Subcompact ที่อยู่ในตระกูลโคโรลล่า

โฉมนี้ เลิกผลิตในปีเดียวกับการเปิดตัวรถโคโรลล่าโฉมที่ 6 ใน พ.ศ. 2530

โฉมนี้มีจำหน่ายในประเทศไทยช่วงปี พ.ศ. 2527 - 2531

รุ่นที่ 6 (พ.ศ. 2530-2536)

โตโยต้า โคโรลล่า รุ่นที่ 6
โตโยต้า โคโรลล่า รุ่นที่ 6

เมื่อความนิยมในการซื้อรถโคโรลล่าโฉมที่ 5 ไปถึงจุดอิ่มตัว ก็ได้มีการเปิดตัวรถโคโรลล่า โฉมที่ 6 ใน พ.ศ. 2530 และส่งเข้าตีตลาดขายแทนโฉมที่ 5 ในปีพ.ศ. 2531 โฉมนี้ เป็นโฉมที่รถโคโรลล่า ได้เลื่อนขั้นจากรถขนาดเล็กมาก (Subcompact) เป็นรถขนาดเล็ก (Compact) โฉมนี้ ระบบขับเคลื่อนล้อหลังหายไป ได้มีการเพิ่มการผลิตรูปแบบตัวถัง hatchback 5 ประตู

โฉมนี้ ผลิตในช่วงที่ระบบเกียร์อัตโนมัติถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รถโฉมนี้ ได้เริ่มมีการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด มา แต่ก็ยังผลิตรถรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดอยู่ เครื่องยนต์ก็ยังมีทั้งระบบเบนซิน ในขนาดเครื่องยนต์ 1.3 (2E 4 สูบ OHC 12 วาล์ว 1,295 ซีซี 72 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.3 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที) , 1.5 (5A-F,5A-FE 1,500 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์ 85 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.5 กก.-ม.ที่ 3,300 รอบ/นาที และ 94 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.1 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาทีสำหรับรุ่นหัวฉีด EFI) , 1.6 ลิตร (4A-F 1,587 ซีซี 94 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.0 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที รวมทั้งรุ่น SPORTY ที่เปลี่ยนคาร์บิวเรเตอร์ของเครื่องยนต์ 4A-F มาเป็นเวบเบอร์ ท่อคู่ดูดข้าง 106 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.9 กก.-ม.ที่ 4,200 รอบ/นาที , 4A-FE 1,587 ซีซี 102 แรงม้า (PS) ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.83 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที, 4A-GE 16v 1,587 ซีซี 130.5 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.3 กก.-ม.ที่ 6,000 รอบ/นาที.) *เครื่องยนต์4A-FEมีขายในเฉพาะญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกา และแบบดีเซล ในขนาดลูกสูบ 2.0 ลิตร (1C) และยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้วย

นอกจากนี้ ในช่วงโฉมนี้ โคโรลล่า เลวิน, โคโรลล่า ทรูโน และโคโรลล่า สปรินเตอร์ ได้เปลี่ยนมาเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และโฉมนี้ พ่อค้าเต๊นท์รถในประเทศไทยนิยมเรียกว่า "โฉมโดเรมอน" ด้วยรูปทรงหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงตัวการ์ตูนอย่างโดเรม่อน ผสานเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ทนทาน และล้ำสมัยในสมัยนั้น

โฉมนี้ ในเมืองไทยจะรู้จักกันดีในฐานะของโฉมที่มีเทคโนโลยีเครื่องยนต์ 16 วาล์ว รุ่นแรกที่มีขายในไทย ในช่วงนั้น มักมีสัญลักษณ์อักษรเขียนว่า "TWINCAM 16 VALVE" ไว้เป็นสัญลักษณ์ที่ประตูรถในรถบางคัน และเป็นเอกลักษณ์ของโคโรลล่าโฉมนี้ด้วย นอกจากนี้ รุ่นท้ายๆ ของโฉม โคโรลล่าในไทยได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด (เฉพาะรุ่นGTiเครื่องยนต์ 4A-GE 16v.) ซึ่งประหยัดน้ำมันกว่า และสามารถเติมแก๊สโซฮอล์ ได้ รถรุ่นนี้ในปัจจุบันถือว่าหายากมาก เพราะเพราะจำนวนรถในตลาดถึอว่าน้อยพอสมควร และยังเป็นที่ต้องการของนักสะสมรถในเมืองไทยเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม โฉมโดเรมอนส่วนใหญ่ ยังเป็นคาร์บูเรเตอร์ ซึ่งไม่เหมาะกับเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์

คู่แข่งโดยตรงที่สำคัญของโคโรลล่าในโฉมนี้คือ ฮอนด้า ซีวิค/แอคคอร์ด, นิสสัน ซันนี่/บลูเบิร์ด, มิตซูบิชิ แลนเซอร์/กาแลนต์, มาสด้า 323/626,

โฉมนี้ เลิกผลิตใน พ.ศ. 2535 ในประเทศไทย หนึ่งปีหลังจากการเปิดตัวรถโคโรลล่า โฉมที่ 7 และในสหรัฐอเมริกาเลิกผลิตใน พ.ศ. 2536

โฉมนี้มีจำหน่ายในประเทศไทยช่วงปี พ.ศ. 2531 - 2535

รุ่นที่ 7 (พ.ศ. 2534-2540)

โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 7
โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 7

โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2534 โฉมนี้ ได้เริ่มมีการผลิตเกียร์ธรรมดา 6 สปีดขึ้น ควบคู่กับการผลิตรถเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 และ 3 สปีด เครื่องยนต์ยังมีระบบดีเซล (2.0 ลิตร) และเบนซิน (1.3 , 1.5 , 1.6 , 1.8 ลิตร) โดยโฉมนี้ได้เข้ามาในประเทศไทยเมื่อช่วงปลายปี พ.ศ. 2534 แต่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 ทันทีที่เปิดตัวในไทย โคโรลล่าโฉมนี้ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ยอดการจองรถทะลุ 10,000 คันอย่างรวดเร็วกว่าที่โรงงานคิดไว้มาก และยอดจองยังมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้โรงงานโตโยต้าสำโรงจะเร่งผลิตเต็มที่ งัดแผนสำรองมาใช้ แม้กระทั่งสั่งนำเข้ารุ่น LX Limited จากญี่ปุ่นมา 1,000 คัน และเพิ่มราคาขายคันละ 5,000 บาท เพื่อลดการจองซื้อ ก็ยังไม่ทันกับความต้องการของลูกค้า จนสุดท้ายต้องมีการก่อสร้างโรงงานโตโยต้าเกตเวย์ สำหรับทำการประกอบรถยนต์นั่งโดยเฉพาะ

รูปแบบตัวถังมี 6 รูปแบบ เหมือนโฉมโดเรมอน ได้แก่ sedan 4 ประตู , hatchback 3 กับ 5 ประตู , coupe 2 ประตู , liftback 3 ประตู และ station wagon 4 ประตู โฉมนี้ พ่อค้ารถในไทย เรียกว่า "โฉมสามห่วง" เพราะเป็นโฉมแรกของโคโรลล่า ที่ตราสัญลักษณ์วงรีไขว้สามวง(สามห่วง)ถูกนำมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของโตโยต้า (ก่อนหน้านี้ใช้เขียนเป็นอักษร TOYOTA ไม่ใช่สัญลักษณ์สามห่วง) โฉมสามห่วง เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตระกูลโคโรลล่า เพราะก่อนนี้ โคโรลล่าจะมีลักษณะเป็นรูปทรงเหลี่ยมๆ แต่โฉมนี้ จะเริ่มเปลี่ยนจากความเหลี่ยม เป็นความโค้งมน และรถตั้งแต่โฉมสามห่วงเป็นต้นมา ก็มีความโค้งมนมากขึ้นเรื่อยๆ และโคโรลล่าโฉมนี้ เครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ในรถเก๋งค่อยๆ หายไป จนในที่สุดก็เลิกผลิตไป กลายเป็นแบบหัวฉีดทั้งหมด และถือเป็นโฉมแรกที่มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอย่างถุงลมนิรภัย แต่ในประเทศไทยกลับไม่มีการติดตั้งถุงลมนิรภัยมาด้วย

ในประเทศไทย โฉมที่ 7 ได้มีการปรับโฉม (Minor Change) 1 ครั้งในปี พ.ศ. 2536

โฉมสามห่วง เลิกผลิตในปี พ.ศ. 2540 ในสหรัฐอเมริกา สองปีหลังการเปิดตัวรถโคโรลล่า โฉมที่ 8 แต่โฉมสามห่วงในประเทศไทย เลิกผลิตหนึ่งปีหลังการเปิดตัวโคโรลล่า โฉมที่ 8

โฉมนี้มีจำหน่ายในประเทศไทยช่วงปี พ.ศ. 2534 - 2539

รุ่นที่ 8 (พ.ศ. 2538-2545)

โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 8 (รุ่นตูดเป็ด)
โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 8 (รุ่นไฮทอร์ก)

โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2538 โฉมนี้มีชื่อเรียกโดยรวมๆว่า โฉมตองหนึ่ง ตามเลขรหัสตัวรถ แต่กว่าจะได้โด่งดังแทนที่โฉมสามห่วง ก็ล่วงไปถึง พ.ศ. 2541 ทางโตโยต้า ต้องมีการปรับปรุงเพื่อให้มีความหลากหลายและสร้างความเป็นที่นิยมให้ประสบความสำเร็จสูงเหมือนโฉมสามห่วง ดังนั้น ผลการปรับปรุงคือ โฉมตองหนึ่งได้แตกแขนงออกเป็น 2 รุ่นย่อย คือ รุ่นตูดเป็ด ผลิตระหว่าง พ.ศ. 2538 - พ.ศ. 2541 และรุ่นไฮทอร์ก (Hi-Torque) เริ่มผลิตเมื่อ พ.ศ. 2541 - พ.ศ. 2544 ในรุ่นไฮทอร์ก มีการยกระดับความปลอดภัยของตัวถังรถด้วยโครงสร้างนิรภัย GOA และเพิ่มความหรูหราด้วยไฟหน้าแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ โดยมี ดอม เหตระกูล เป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งรุ่นไฮทอร์กนี้ได้สร้างความนิยมโดยมีคนซื้อไปทำแท๊กซี่เป็นจำนวนมาก และนอกจากนี้ ในช่วงรุ่นไฮทอร์กนี้ โคโรลล่า ยังได้เปิดตัวเนื้อหน่อใหม่ในตระกูลโคโรลล่า ที่เป็นที่นิยมในไทยจนถึงปัจจุบัน นั่นคือ โคโรลล่า อัลติส (Corolla Altis) ซึ่งเปิดตัวเมื่อต้นปี พ.ศ. 2543 โดย Altis จะเป็นรถที่มีความหรูหรา มีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย Options ต่างๆ ดีกว่า รูปโฉมตัวรถจะเหมือนกับโคโรลล่าทั่วไป สำหรับในไทย โคโรลล่า อัลติส จะมีรุ่นย่อย 2 รุ่นคือ 1.8 SE.G และ 1.6 SE.G ส่วนรุ่นย่อย 1.6 GXi จะใช้ชื่อว่า โคโรลล่า เช่นเดิม แต่เมื่อโคโรลล่า อัลติส ทั้ง 2 รุ่นย่อยเริ่มจำหน่ายในไทย ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ยังคงคุ้นกับชื่อ โคโรลล่า และรุ่นย่อย 1.6 GXi ก็ยังคงได้รับความนิยมมากกว่า

โฉมที่ 8 นี้ ระงับการผลิตรูปแบบตัวถังประเภท hatchback 5 ประตู liftback 3 ประตู และ station wagon 4 ประตู แต่ได้เอา liftback hatchback และ station wagon 5 ประตูมาผลิตแทน โดยในโฉมที่ 8 นี้ โตโยต้า ได้เปิดตัวโคโรลล่า WRC สำหรับการแข่งขันเวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพโดยเฉพาะ เมื่อ พ.ศ. 2540 โดยมีคู่แข่งคือซูบารุ อิมเพรสซ่า เปอโยต์ 206 WRC ฟอร์ด เอสคอร์ท RS Cosworth/โฟกัส WRC และมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีโวลูชันเป็นคู่แข่งรายสำคัญ และในปีพ.ศ. 2542 โตโยต้าก็คว้าแชมป์ เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ ในประเภทผู้ผลิตแต่โตโยต้ากลับถอนตัวจากเวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรถสูตรหนึ่งในปีพ.ศ. 2545 แทน

โฉมที่ 8 นี้ถือเป็นโฉมแรกในประเทศไทยที่มีการติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้ โดยในรุ่นตูดเป็ด จะมีการติดตั้งมาให้เฉพาะรุ่น 1.6 SE.G, 1.6 GXi และ 1.5 GXi เท่านั้น ส่วนรุ่น 1.5 DXi ไม่มีการติดตั้งมาให้เพราะถือเป็นรุ่นเกรดล่างสุด จนเมื่อถึงรุ่นไฮทอร์ก จึงได้มีการติดตั้งถุงลมนิรภัยในทุกรุ่นย่อย

โฉมที่ 8 เลิกผลิตในปี พ.ศ. 2545ในสหรัฐอเมริกา สองปีหลังการเปิดตัวของรถโคโรลล่า โฉมที่ 9 แบบแคบในญี่ปุ่น และหนี่งปีหลังการเปิดตัวของโคโรลล่า โฉมที่ 9 แบบกว้างที่เรียกว่าโคโรลล่า อัลติสในประเทศไทย

โฉมนี้มีจำหน่ายในประเทศไทยช่วงปี พ.ศ. 2538 - 2544 (รุ่นตูดเป็ด จำหน่ายในช่วงปี พ.ศ. 2538 - 2541 ; รุ่นไฮทอร์ก จำหน่ายในช่วงปี พ.ศ. 2541 - 2544)

รุ่นที่ 9 (พ.ศ. 2543-2550)

โตโยต้า โคลโรลล่า โฉมที่ 9
โตโยต้า โคลโรลล่า โฉมที่ 9

โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2543 แต่กว่าจะเป็นอันดับหนึ่งแทนโฉมที่ 8 ก็ล่วงไปถึง พ.ศ. 2546 และเป็นครั้งแรกที่เวอร์ชันทำตลาดของโคโรลล่ามี 2 ตัวถังคือ แบบแคบและแบบกว้าง ในญี่ปุ่นจะใช้แบบแคบ เพื่อลดการเสียภาษี แต่สำหรับทั่วโลกจะใช้แบบกว้าง เหมือนที่เคยใช้ในการออกแบบ Toyota Camry generation ที่ 3 เมื่อได้รับความนิยมแล้ว ก็มีชื่อเสียงมาถึงปัจจุบัน เมื่อทางโตโยต้า ตัดสินใจผลิตโคโรลล่า อัลติสต่อในโฉมที่ 9 และยังมีการปรับปรุงทั้งขนาด ความสะดวก และสิ่งอื่นๆอีกมาก โดยรุ่นที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยมากที่สุดก็ยังเป็น อัลติส และโฉมที่ 9 ยกเลิกการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด และยกเลิกการผลิตตัวถัง coupe 2 ประตู และ liftback 5 ประตู แล้วเอาแบบ van และ hatchback 5 ประตูมาผลิตแทน และยังคงผลิตรุ่นเครื่องดีเซล ขนาดเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร (ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย) ส่วนรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ก็เป็น 1.4 , 1.5 , 1.6 , 1.8 ลิตรเหมือนเดิม โฉมนี้ กลุ่มพ่อค้ารถในไทยมักเรียก "โฉมหน้าหมู" หรือ "โฉมตาถั่ว" เพราะไฟหน้ามีลักษณะคล้าย เมล็ดถั่ว โดยในประเทศไทยมีนักแสดงชื่อดัง แบรด พิตต์ (อังกฤษ: Brad Pitt) เป็นพรีเซ็นเตอร์อีกด้วย โฉมนี้เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 - 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2544

โตโยต้า ลิโม ในประเทศไทยที่ถูกนำมาทำเป็นรถแท็กซี่

ในประเทศไทย โคโรลล่าได้มีการออกรุ่นใหม่ คือ LIMO (ลิโม) โดยจะเป็นรถโคโรลล่า ที่มี Options ต่างๆ น้อย เช่น กระจกหน้าต่างเป็นแบบมือหมุน เกียร์ธรรมดา ไม่มีมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ แต่รถจะมีราคาถูกกว่าโคโรลล่าทั่วไป และโคโรลล่า อัลติส อย่างมาก อย่างไรก็ตาม LIMO จะไม่มีขายเป็นรถนั่งส่วนบุคคล โตโยต้าประเทศไทย ขาย LIMO โฉมนี้ เพื่อทำเป็นแท็กซี่เท่านั้น ซึ่งรุ่น LIMO มีการเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2546

สำหรับโฉมที่ 9 นี้ มีการจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2544 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 โดยเริ่มแรกมีการจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้

  • 1.6 J ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ใช้ชื่อรุ่นว่า Corolla
  • 1.6 E ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ใช้ชื่อรุ่นว่า Corolla Altis
  • 1.8 E ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT แบบ Gate-Type ใช้ชื่อรุ่นว่า Corolla Altis
  • 1.8 G VSC ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT แบบ Gate-Type ใช้ชื่อรุ่นว่า Corolla Altis

และในปี พ.ศ. 2549 ได้มีการเพิ่ม Corolla Altis รุ่น 1.6 G ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT เข้าไปด้วย

ปัจจุบันโฉมที่ 9 ยังมีการผลิตขายอยู่ที่ประเทศจีนในชื่อรุ่น Corolla EX ใช้เครื่องยนต์ Dual VVT-I บล็อก 4ZR-FE 1.6 ลิตร

โฉมนี้ในประเทศไทยมีการปรับโฉม (Minor Change) ทั้งหมด 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2549

รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2551-2556)

โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 10
โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 10

โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2549 แต่ใช้เวลาค่อนข้างนานในการพิชิตตลาดต่างๆเพื่อไปแทนโฉมที่ 9 โดยเฉพาะในไทย โฉมที่ 10 เพิ่งเข้ามาในไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 กลุ่มผู้ค้ารถมือสองจะเรียกโฉมนี้ว่า "โฉมหน้าแบน" หรือ "โฉม 5 รู" เพราะเป็นโฉมแรกที่ใช้ล้ออัลลอยแบบ 5 รู เวอร์ชันที่ทำตลาดของโคโรลล่ามี 2 ตัวถังเหมือนโฉมที่แล้วคือ แบบแคบและแบบกว้าง ระบบเกียร์ในครั้งนี้ จะผลิตระบบเกียร์แบบธรรมดา 5 หรือ 6 สปีด สำหรับเกียร์อัตโนมัติ จะเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ 4 หรือ สปีด และ CVT 7 สปีด ซึ่งมี พัชฏะ นามปาน เป็น Presenter

โฉมนี้ เครื่องยนต์ดีเซลยังผลิตอยู่ในบางประเทศประเทศขนาด 1.4 ลิตร และมีเครื่องเบนซินขนาด 1.5 , 1.6 , 1.8 , 2.0 , 2.4 ลิตร และได้ยกเลิกรูปแบบตัวถังออกไปมาก เหลือแต่แบบ sedan station wagon 4 ประตู และ hatchback 5 ประตู ในออสเตรเลีย จะใช้ชื่อในการทำตลาดคือ corolla hatchback นอกนั้นเช่นในญี่ปุน,ยุโรปและในบางประเทศจะใช้ชื่อในการทำตลาดคือ Toyota Auris แต่ไม่มีจัดจำหน่ายในไทย

ส่วน LIMO ในโฉมนี้ มีการผลิตรถรุ่น LIMO CNG ซึ่งเป็นรถลิโม ที่ติดระบบการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ มาตั้งแต่ในโรงงานโตโยต้า และ LIMO โฉมนี้ ได้เปิดขายให้กับประชาชนทั่วไปอยู่ช่วงหนึ่งด้วย ก่อนที่จะกลับไปขายทำแท็กซี่โดยเฉพาะเหมือนเดิม โดยโตโยต้าได้ทำรถรุ่น Advanced CNG มาขายให้ประชาชนทั่วไปแทน LIMO CNG

รุ่น TRDsportivo ผลิตจำนวนจำกัดโดยผลิตออกมา 3 โฉม โดยโฉมแรกนั้นมีทั้งเครื่องยนต์ 1.6 และ 1.8 ลิตร และโฉมที่ 2 และ 3 ได้ผลิตจากรุ่น 1.8E เครื่องยนต์ใหม่รุ่น 2ZR-FBE ที่รองรับการใช้เชื้อเพลิง E85 และมีรุ่นพิเศษอีกคือรุ่น 50ปี ที่ตกแต่งภายในสีดำจากรุ่น 1.8E อีกด้วย นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2555 ทางโตโยต้าได้ตัดระบบเกียร์อัตโนมัติและระะบบกุญแจรีโมทออกจากรุ่น 1.6 J

รุ่นที่ 11 (พ.ศ. 2557-2562)

มุมด้านหน้า ก่อนปรับโฉม
มุมด้านหลัง ก่อนปรับโฉม

โคโรลล่าโฉมนี้ ได้ทำการเปิดตัวในรอบสื่อมวลชนในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557 โดยมีสโลแกนใหม่ "So Excited" โดยทางด้านโตโยต้าได้ทำการปรับปรุงโฉมให้ดูทันสมัยและหรูหรายิ่งขึ้น ในวงการรถมือสอง โฉมนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น โฉมหน้าแมว โฉมหน้ากบ โฉมหน้าฉลาม โฉมหน้าแหลม เป็นต้น โตโยต้า โคโรลล่า โฉมนี้มีเฉดสีใหม่ให้เลือกทั้งหมด 6 สีได้แก่

1.สีเงิน 2.สีขาวมุก (1.8 ลิตร) ราคาเพิ่มขึ้น 10,000 บาท 3.สีขาว (1.6 ลิตร) 4.สีดำ 5.สีเทาดำ 6.สีน้ำตาล

และได้ทำการจำหน่ายออกเป็นรุ่นปลีกย่อย และสเปคภายใน ดังนี้

  • รุ่น 1.6J MT ราคาที่จำหน่าย 769,000 บาท

-ธรรมดา 6 สปีด -ชุดไฟหน้าฮาโลเจน -เครื่องเสียง AM/FM/CD/MP3/WMA 4 ลำโพง

  • รุ่น 1.6J CNG MT ราคาที่จำหน่าย 819,000 บาท

-ธรรมดา 6 สปีด -ชุดไฟหน้าฮาโลเจน -เครื่องเสียง AM/FM/CD/MP3/WMA 4 ลำโพง -ระบบจ่ายเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ CNG แบบหัวฉีด -ถังก๊าซธรรมชาติ CNG ขนาด 75 ลิตร

  • รุ่น 1.6E CNG ราคาที่จำหน่าย 889,000 บาท

-อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด แบบ Gate-type พร้อม Sequential -ชุดไฟหน้าฮาโลเจน -เครื่องเสียง AM/FM/CD/MP3/WMA 4 ลำโพง -แผงบังแดดพร้อมกระจก และฝาปิด -ระบบจ่ายเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ CNG แบบหัวฉีด -ถังก๊าซธรรมชาติ CNG ขนาด 75 ลิตร

  • รุ่น 1.6G ราคาที่จำหน่าย 829,000 บาท

-อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด แบบ Gate-type พร้อม Sequential -ชุดไฟหน้าฮาโลเจน -เครื่องเสียง AM/FM/CD/MP3/WMA 6 ลำโพง -แผงบังแดดพร้อมกระจก ฝาปิดและไฟส่องสว่าง

  • รุ่น 1.8E ราคาที่จำหน่าย 839,000 บาท

-อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด แบบ Gate-type พร้อม Sequential -ชุดไฟหน้าฮาโลเจน -เครื่องเสียง AM/FM/CD/MP3/WMA 4 ลำโพง -แผงบังแดดพร้อมกระจก และฝาปิด

  • รุ่น 1.8S(ESPORT) ราคาที่จำหน่าย 899,000 บาท

-อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด แบบ Gate-type พร้อม Sequential -ชุดไฟหน้า LED Projector พร้อมแถบ Gun Metallic -โคมไฟใช้งานกลางวัน -กระจังหน้าโครเมียมพร้อมแถบ Gun Metallic -สเกิร์ตหน้า/ข้าง/หลัง และสปอยเลอร์หลัง -ท่อไอเสียแบบสปอร์ต -เบาะนั่งด้านหน้าแบบสปอร์ต -เครื่องเสียง AM/FM/CD/MP3/WMA 6 ลำโพง -ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย -ระบบเซ็นทรัลล็อก -ไฟเบรกดวงที่สาม LED ที่สปอยเลอร์หลัง

  • รุ่น 1.8G ราคาที่จำหน่าย 979,000 บาท

-อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด แบบ Gate-type พร้อม Sequential -ชุดไฟหน้าแบบฮาโลเจน -เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมฟังก์ชันปรับเบาะดันหลังไฟฟ้า -เครื่องเสียง AM/FM/CD/MP3/WMA 6 ลำโพง -ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ -มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron -กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนแบบอัตโนมัติ พร้อมแสดงภาพจากกล้องมองหลัง -กล้องมองหลัง -ม่านบังแดดหลัง -ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ -ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ -กระจกบังลมหน้าอัดซ้อนนิรภัยพร้อม Top Shade -ไฟตัดหมอกหน้า

  • รุ่น 1.8V Navi ราคาที่จำหน่าย 1,069,000 บาท

-อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด แบบ Gate-type พร้อม Sequential -ชุดไฟหน้า LED Projector -โคมไฟใช้งานกลางวัน -ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ -เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมฟังก์ชันปรับเบาะดันหลังไฟฟ้า -เครื่องเสียง DVD/CD/MP3/WMA จอสัมผัส 6.1 นิ้ว 6 ลำโพง รองรับบริการ Smart G-BOOK -ระบบนำทางในรถยนต์ -ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย -ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ -ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย -กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนแบบอัตโนมัติ -กล้องมองหลัง -ม่านบังแดดหลัง -ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ -ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ -ระบบควบคุมการทรงตัว VSC + TRC -กระจกบังลมหน้าอัดซ้อนนิรภัยพร้อม Top Shade -ไฟตัดหมอกหน้า

  • เกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีดมีตั้งแต่รุ่น 1.6E CNG เป็นต้นไป
  • PADDLE SHIFT มีเฉพาะรุ่น 1.8V และ 1.8S(ESPORT)

ราคา ณ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

ในปีพ.ศ 2559 ได้มีการปรับปรุงออฟชั่นและระบบความปลอดให้กับโคโรลล่าทุกรุ่น โดยมีการใส่อุปกรณ์มาตรฐานไว้ดังนี้ - ยกเลิกรุ่น 1.6 CNG สำหรับเกีบร์ MT - เพิมระบบควบคุมการทรงตัว VSC และป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ในทุกรุ่น - เครื่องยนต์ 1.6 รองรับการใช้น้ำมัน E85

รุ่นปรับโฉม

รุ่นปรับโฉม

ในปี พ.ศ. 2559 ได้มีการปรับปรุงรูปร่างภายนอกให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น โดยมีการเปลี่ยนการออกแบบกระจังหน้าและไฟหน้าแบบใหม่เป็นไฟหน้า Bi-Beam Projector และไปส่องสว่างในเวลากลางวันแบบ LED อีกทั้งยังเพิ่มออฟชั่นและระบบความปลอดให้กับโคโรลล่ารุ่นปรับโฉมทุกรุ่นย่อย โดยมีการใส่อุปกรณ์มาตรฐานไว้ดังนี้

  • เพิ่มระบบควบคุมการทรงตัว VSC และป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ในทุกรุ่น
  • เครื่องยนต์ 1.6 รองรับการใช้น้ำมัน E85
  • ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่งในทุกรุ่นย่อย
  • เพิ่มกุญแจรีโมทให้มีในรุ่นย่อยทุกรุ่น พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย TDS ยกเว้นรุ่น 1.6J ที่ไม่มีสัญญาณกันขโมย TDS

ทั้งนี้ Toyota Corolla Altis รุ่นปรับโฉมนั้นจะยกเลิกรุ่นย่อย 1.8 G และเพิ่มเติมรุ่นย่อย ESport Option โดยจะมีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมดรวม 7 รุ่น ดังนี้

  • 1.8 V Navi เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ราคา 1,079,000 บาท
  • 1.8ESPORT OPTION (ใหม่) เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ราคา 979,000 บาท
  • 1.8ESPORT เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ราคา 939,000 บาท
  • 1.8E เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ราคา 874,000 บาท
  • 1.6G เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ราคา 869,000 บาท
  • 1.6E CNG เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ราคา 969,000 บาท
  • 1.6J เกียร์ธรรมดา ราคา 799,000 บาท

และได้มีการเพิ่มและปรับรุ่นย่อยใหม่เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดและปรับราคาให้ชนกับคู่แข่งขันในช่วงต้นปี พ.ศ. 2561

  • 1.8S เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ราคา 959,000 บาท โดยจะได้อุปกรณ์เหมือนรุ่น 1.8ESPORT OPTION ไม่มีชุดแต่งรอบคัน แต่ช่วงล่างพร้อมทั้งชุดล้อและยางจะได้เหมือนกัน ส่วนภายในจะได้กล้องบันทึกภาพหน้ารถจากโรงงาน ในขณะที่รุ่นย่อยอื่นไม่มีให้
  • 1.8V Navi เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ราคา 1,093,000 บาท เพิ่มระบบ T-Connect Telematics ให้ (ในราคาที่ปรับเพิ่ม 14,000 คือราคาของระบบ Telematics)

รุ่นที่ 12 (พ.ศ. 2561-ปัจจุบัน)

โตโยต้า โคโรลล่า (E210) รุ่นที่สิบสอง สร้างจากพื้นฐาน Toyota New Global Architecture (TNGA)

แฮทช์แบ็ก

โตโยต้า โคโรลล่า แฮทช์แบ็ก รุ่นที่สิบสอง (ออสเตรเลีย)
โตโยต้า โคโรลล่า แฮทช์แบ็ก รุ่นที่สิบสอง (ออสเตรเลีย)

โตโยต้า โคโรลล่า รุ่นที่สิบสองในรูปแบบแฮทช์แบ็กได้เผยโฉมที่งานแสดงรถยนต์เจนีวาเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ในชื่อว่าออริส[1]

รุ่นโคโรลล่า แฮทช์แบ็กเวอร์ชันอเมริกาเหนือได้เผยโฉมที่งานแสดงรถยนต์นานาชาตินิวยอร์กประจำปี 2018 อย่างเป็นทางการในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561 โคโรลล่า แฮทช์แบ็กเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561 ในชื่อว่า โคโรลล่า สปอร์ต โคโรลลา แฮทช์แบ็กเริ่มจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกากลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2018 และต่อมาได้เปิดตัวในออสเตรเลียในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สเตชันแวกอน

โตโยต้า โคโรลล่า ทัวริง สปอร์ต ไฮบริด
โตโยต้า โคโรลล่า ทัวริง สปอร์ต ไฮบริด

โตโยต้า โคโรลล่า รุ่นสเตชันวากอนเรียกว่า โคโรลล่า ทัวริง สปอร์ต ถูกเปิดตัวที่งานแสดงรถยนต์ปารีสประจำปี 2018[2][3] รูปภาพอย่างเป็นทางการของโคโรลล่า ทัวริง สปอร์ตเผยโฉมเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

สำหรับรูปแบบ Station Wagon นี้ คาดว่าในประเทศไทยจะมีการนำมาขายโดยใช้ชื่อว่า Corolla Cross ซึ่งมีผู้พบเห็นรถรูปแบบดังกล่าวทดสอบวิ่งในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2563 และมีการเปิดตัว Corolla Cross ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

เก๋ง

โตโยต้า โคโรลล่า รุ่นที่สิบสองรูปแบบเก๋ง (จีน)

รุ่นเก๋งของโตโยต้า โคโรลล่าได้เผยโฉมเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ที่เมืองคาร์เมล-บาย-เดอะ-ซี แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา และประเทศจีนที่งานแสดงรถยนต์นานาชาติกวางโจวโดยพร้อมกัน โดยแบ่งจำหน่ายเป็นสองรุ่น คือ เพรสทีช (Prestige) และรุ่น สปอร์ตที (Sporty)[4][5][6][7][8][9]

เพรสทีช

รุ่นเพรสทีชใช้กระจังหน้าที่แตกต่างจากรุ่นอื่น ซึ่งไปคล้ายกับกระจังหน้าของ คัมรี่ รหัส XV70 รุ่นนี้จำหน่ายในประเทศจีน (ในชื่อว่าโคโรลล่า) ยุโรป และประเทศอื่น ๆ

สปอร์ตที

รุ่นสปอร์ตทีใช้กระจังหน้าเหมือนกับรุ่นแฮทช์แบ็ก และรุ่นสเตชันวากอน รุ่นนี้ได้จำหน้ายในประเทศจีน (ในชื่อว่าโตโยต้า เลวิน) สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ[10] For the first time, the Hybrid variant of the Corolla sedan will be sold in the United States.[11]

โคโรลล่าโฉมนี้ All-new Toyota Corolla Altis 2019 แม้ว่าจะเปิดตัวในไต้หวันช่วงปลายมีนาคมที่ผ่านมา และตามมาด้วยเมืองจีน ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2562 ได้ทำการเปิดตัวในรอบสื่อมวลชนในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2562 ที่ประเทศไทย

โฉมผลิตในประเทศไทย

Corolla Altis ที่เปิดตัวในไทย มีการเพิ่มรุ่น 1.8 Hybrid และ 1.8 GR Sport ของค่าย Toyota Gazoo Racing. ซึ่งได้นำเอารุ่นท็อป เป็นรุ่นไฮบริดจ์แทน 1.8 ลิตร

เครื่องยนต์ที่จำหน่ายในประเทศไทย

เบนซิน
รหัสเครื่องยนต์ ชนิดเครื่องยนต์ พละกำลัง แรงบิด เกียร์ หมายเหตุ
1ZR-FBE 1.6 ลิตร 4 สูบแถวเรียง 125 แรงม้า 156 นิวตันเมตร Super CVT-i พร้อม Shift Lock 7 สปีด
2ZR-FBE 1.8 ลิตร 4 สูบแถวเรียง 141 แรงม้า 177 นิวตันเมตร Super CVT-i พร้อม Shift Lock 7 สปีด
ไฮบริดจ์
รหัสเครื่องยนต์ ชนิดเครื่องยนต์ และไฟฟ้า พละกำลังรวม แรงบิดสูงสุด เกียร์ หมายเหตุ
2ZR-FXE 1.8 ลิตร 4 สูบแถวเรียง + มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว 121 แรงม้า 163 นิวตันเมตร E-CVT

รุ่นย่อยที่จำหน่ายในประเทศไทย

สำหรับรุ่นย่อยที่จำหน่ายในประเทศไทย มีดังนี้

รุ่น ราคา ณ เปิดตัว หมายเหตุ
รุ่นไฮบริดจ์ 1.8 ลิตร + ไฟฟ้า
1.8 HV High 1,099,000 บาท มาพร้อมระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense และระบบนำทาง T-Connect Telematics
1.8 HV Mid 989,000 บาท
1.8 HV Entry 939,000 บาท เกรดล่างสุดที่จำหน่ายทั่วไป
1.8 HV Limo 899,000 บาท ผลิตเพื่อจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการสหกรณ์แท็กซี่ ที่ต้องการจะนำรถยนต์ไฮบริดไปทำเป็นแท็กซี่
รุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร E85
1.8 GR Sport 999,000 บาท มาพร้อมกับแป้นเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) ที่พวงมาลัย และชุดตกแต่งแท้จากโรงงานโตโยต้า
รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร E85
1.6 G 869,000 บาท
1.6 Limo 829,000 บาท เดิมคือชื่อ 1.6 J


โคโรลล่าครอส

ในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 Toyota ประเทศไทย ได้เปิดตัว SUV / Crossover รุ่นใหม่ ภายใต้ชื่อ Toyota Corolla CROSS ในสโลแกน A New Journey…ให้ชีวิตเดินทาง ซึ่งได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด "ความกะทัดรัดที่มาพร้อมกับความสะดวกสบาย" (Compact yet Comfortable) และ “ความล้ำสมัยที่สะท้อนตัวตนของความภูมิฐานสำหรับชีวิตในเมือง" (Dignity Urban Vogue) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรก ของโตโยต้าที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาด SUV และโคโรลล่า ครอส ใหม่นี้ ได้เปิดตัวในประเทศไทยซึ่งถือเป็นประเทศแรกของโลก โดยใช้แพลตฟอร์มของโคโรลล่า ซีดาน ที่โดดเด่นในความสมบูรณ์แบบด้วย คุณภาพ (Quality) ความทนทาน (Durability) และความน่าเชื่อถือ (Reliability) สิ่งที่จะได้รับจากรถรุ่นนี้ คือ "การได้ใช้เวลาอันมีค่ากับครอบครัวในพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว" รวมถึง "บ่งบอกไลฟ์สไตล์" ด้วยการออกแบบภายนอกที่ผสานความทรงพลังกับความปราณีตเข้าด้วยกันอย่างลงตัว พร้อมมอบพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางโอ่โถง และความอเนกประสงค์ที่เป็นเลิศเหนือความคาดหมายภายใต้ราคาที่จับต้องได้ โดย โคโรลล่า ครอส จะถูกส่งออกจากโรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้าเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยฝีมือคนไทย และส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ภายใต้ฝีมือการผลิตของคนไทย ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป

เครื่องยนต์ , เกียร์ , ระบบความปลอดภัย และภายใน จะเหมือน และคล้ายกับ Toyota Corolla Altis

สำหรับรุ่นย่อยที่จำหน่ายในประเทศไทย มีดังนี้

รุ่น ราคา ณ เปิดตัว หมายเหตุ
รุ่นไฮบริดจ์ 1.8 ลิตร + ไฟฟ้า
Hybrid Prenium Safety 1,199,000 บาท
Hybrid Prenium 1,089,000 บาท
Hybrid Smart 1,019,000 บาท
รุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร E85
1.8 Smart 989,000 บาท ราคาเปิดตัวที่ 959,000 บาท

หมายเหตุ : สีพิเศษ Platinum White Pearl เพิ่ม 10,000 บาท , เบาะ Terra Rossa มีเฉพาะรุ่น Hybrid Premium Safety และ Hybrid Premium ที่มีสีภายนอก Attitude Black Mica / Celestite Gray Metallic / Platinum White Pearl เท่านั้น

สรุปยอดขาย

ตลอดเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2509 - พ.ศ. 2550 รถโคโรลล่าถูกขายไปมากกว่า 30 ล้านคัน เฉลี่ยแล้ว จะมีรถโคโรลล่า 1 คัน ถูกซื้อทุกๆ 40 วินาที นับเป็นรถที่ประสบความสำเร็จสูงมากของโตโยต้า

เกร็ด

  • โตโยต้า โคโรลล่า Generation ที่ 7 มีการออกแบบในรูปแบบไฟท้ายสองชั้น มีทั้งหมด 3 แบบ คือ 1.ท้ายแดง 2.ท้ายเทา 3.ท้ายแดงเหลือง ซึ่งแบบที่นิยมที่สุด คือ ท้ายแดง ซึ่งทางล้อแม็กมีการออกแบบเป็นรูปดอกไม้ โดยวงการรถไทยมักเรียกว่า "โฉมสามห่วง" ซึ่งนิยมมากในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ รวมไปถึง สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ประเทศอื่นๆ

อ้างอิง

วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ โตโยต้า โคโรลล่า

  1. Szymkowski, Sean (2018-02-26). "Toyota to debut 2019 Corolla hatchback at Geneva motor show". Motor Authority. Australia. สืบค้นเมื่อ 2018-02-28.
  2. "Toyota Corolla enters an exciting new era". Toyota (Press release). UK. 2018-08-28. สืบค้นเมื่อ 2018-08-31.
  3. "An exciting new era for Corolla". Toyota (Press release). Europe. 2018-08-28. สืบค้นเมื่อ 2018-08-31.
  4. CORPORATION., TOYOTA MOTOR. "Toyota Unveils New Corolla Sedans at China's Guangzhou International Automobile Exhibition | TOYOTA | TOYOTA Global Newsroom". TOYOTA Global Newsroom (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-11-17.
  5. "All-New 2020 Toyota Corolla Ready to Rock the Sedan World | Toyota". สืบค้นเมื่อ 2018-11-17.
  6. "New 2019 Toyota Corolla Saloon joins hatch and estate". Auto Express (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-11-17.
  7. "New 2020 Toyota Corolla Sedan Is Here, All Sharpened Up | Carscoops". Carscoops (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-11-15. สืบค้นเมื่อ 2018-11-17.
  8. Newton, Bruce (2018-11-16). "New Toyota Corolla sedan revealed - motoring.com.au". motoring.com.au (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-11-17.
  9. "Introducing the all-new Toyota Corolla sedan". Top Gear (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-11-17.
  10. CORPORATION., TOYOTA MOTOR. "Toyota to Unveil New Corolla and New Levin Sedans at China's Guangzhou International Automobile Exhibition | TOYOTA | TOYOTA Global Newsroom". TOYOTA Global Newsroom (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-11-17.
  11. Holmes, Jake (November 15, 2018). "2020 Toyota Corolla Hybrid to debut at LA auto show". CNET. สืบค้นเมื่อ November 16, 2018.