ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระเจ้าจันทรภาณุ"
ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว |
แอนเดอร์สัน (คุย | ส่วนร่วม) ป้ายระบุ: ทำกลับ |
||
บรรทัด 3: | บรรทัด 3: | ||
| name = จันทรภาณุศรีธรรมราชา |
| name = จันทรภาณุศรีธรรมราชา |
||
| image = |
| image = |
||
| succession =[[ตามพร |
| succession =[[ตามพรลิงค์|พระมหากษัตริย์แห่งตามพรลิงค์]] |
||
| reign = ค.ศ. 1230–1263 |
| reign = ค.ศ. 1230–1263 |
||
| native_lang1 = [[ภาษาทมิฬ|ทมิฬ]] |
| native_lang1 = [[ภาษาทมิฬ|ทมิฬ]] |
||
บรรทัด 20: | บรรทัด 20: | ||
| mother = |
| mother = |
||
| birth_date = |
| birth_date = |
||
| birth_place = [[ตามพร |
| birth_place = [[ตามพรลิงค์]] |
||
| death_date = ค.ศ. 1263 |
| death_date = ค.ศ. 1263 |
||
| death_place = |
| death_place = |
||
บรรทัด 28: | บรรทัด 28: | ||
}} |
}} |
||
'''พระเจ้าจันทรภาณุ''' เป็นพระมหากษัตริย์แห่ง[[อาณาจักรตามพร |
'''พระเจ้าจันทรภาณุ''' เป็นพระมหากษัตริย์แห่ง[[อาณาจักรตามพรลิงค์]]<ref>[http://www.m-culture.go.th/nakhonsithammarat/index.php/2013-06-07-07-41-19/2014-01-07-05-26-19/item/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B8 พระเจ้าจันทรภาณุ เมืองนครศรีธรรมราช - ฐานข้อมูลทางวัฒนธรรม] จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช</ref> เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเผยแผ่พระอานุภาพขจรไปยังแคว้นไกลที่สุด นั่นคือสามารถแผ่ไปถึงเกาะลังกา โดยการยกทัพไปตีถึง 2 ครั้งที่ยกทัพเรือเข้าโจมตีเกาะลังกา (ประเทศศรีลังกา ในปัจจุบัน) พระองค์ทรงยึดครองภาคเหนือของเกาะนี้ได้ (ค.ศ. 1235-1275) |
||
==พระราชประวัติ== |
==พระราชประวัติ== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:47, 16 ธันวาคม 2563
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
จันทรภาณุศรีธรรมราชา | |
---|---|
พระมหากษัตริย์แห่งตามพรลิงค์ | |
ครองราชย์ | ค.ศ. 1230–1263 |
ราชาภิเษก | ค.ศ. 1230 |
ถัดไป | ซาวะกันมินดัน |
พระมหากษัตริย์แห่งจัฟฟ์นา | |
ครองราชย์ | ค.ศ. 1255–1263 |
ถัดไป | ซาวะกันมินดัน |
ประสูติ | ตามพรลิงค์ |
สวรรคต | ค.ศ. 1263 |
ราชวงศ์ | ปัทมวงศ์ |
ศาสนา | พุทธ |
พระเจ้าจันทรภาณุ เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์[1] เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเผยแผ่พระอานุภาพขจรไปยังแคว้นไกลที่สุด นั่นคือสามารถแผ่ไปถึงเกาะลังกา โดยการยกทัพไปตีถึง 2 ครั้งที่ยกทัพเรือเข้าโจมตีเกาะลังกา (ประเทศศรีลังกา ในปัจจุบัน) พระองค์ทรงยึดครองภาคเหนือของเกาะนี้ได้ (ค.ศ. 1235-1275)
พระราชประวัติ
พระเจ้าจันทรภาณุ ตามประวัติจากหลักฐานตำนานเมืองและตำนานพระธาตุทราบว่า พระเจ้าจันทรภาณุ เป็นพระอนุชาของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช พระองค์แรก ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ศรีธรรมโศกราช หรือราชวงศ์ปทุมวงศ์[2] มีใจความว่า "ท้าวศรีธรรมาโศกราชก็ตั้งอารามก่อพระเจดีย์ ปลูกพระศรีมหาโพธิรายทางมาจนถึงเมืองนคร ตั้งแต่นั้นทั้งสองภาราได้แต่งบรรณาการตอบแทนกันมิได้ขาดปี เมื่อพระยานครศรีธรรมาโศกราชถึงแก่กรรม เมื่อศักราช 1200 ปี พระยาจันทรภาณุ เป็นเจ้าเมือง พระยาพงษาสุระเป็นพระอุปราช ตั้งฝ่ายทักษิณพระมหาธาตุเป็นเมืองพระเวียง" พระเจ้าจันทรภาณุ นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในราชวงค์ศรีธรรมาโศกราช มีข้อความปรากฏอยู่ในศิลาจารึกตอนหนึ่งว่า "ศรีสวัสดิ พระเจ้าผู้ปกครองกรุงตามพรลิงก์ เป็นผู้อุปถัมภ์ตระกูลปทุมวงค์ พระหัตถ์ของพระองค์มีฤทธิ์มีอำนาจ ด้วยอนุภาพแห่งบุญกุศล ซึ่งพระองค์ได้กระทำแก่มนุษย์ทั้งปวง ทรงเดชานุภาพดุจพระอาทิตย์พระจันทร์และมีเกียรติอันเลื่องลือ ทรงพระนามจันทรภาณุศิริธรรมราช เมื่อกลียุค 4332" ศิลาจากรึกนี้ตรงกับ พ.ศ 1773
พระราชกรณียกิจ
1. ประกาศอิสรภาพจากอาณาจักรศรีวิชัยให้แก่นครศรีธรรมราช ตอนนั้นนครฯเป็นรัฐหนึ่งของศรีวิชัย ซึ่งตอนนั้นศรีวิชัยอ่อนแอเต็มที พระเจ้าจันทรภาณุจึงประกาศเอกราชจากศรีวิชัยในราว พ.ศ. 1773 และอาณาจักรศรีวิชัยก็ถึงกาลอวสานในราวปี พ.ศ. 1838 หลังจากครองความ ยิ่งใหญ่มานานประมาณ 500 ปี
2. ยกทัพไปตีลังกา 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1.ยกไปตีลังกาในราวปี พ.ศ. 1750 ในสมัยของพระเจ้าปรักกรมพาหุ กษัตริย์แห่งลังกา ในการรบครั้งนี้ได้รับชัยชนะ เป็นเหตุให้แสนยานุภาพของพระองค์แผ่ไปตลอดแหลมมลายู และเกิดมีอาณานิคมของตามพรลิงก์อยู่ในลังกา และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ลังกาต้องมอบพระพุทธสิหิงค์ให้ในโอกาสต่อมา และชาวลังกาเรียกพระนามของพระองค์ว่า ชวากะ
ครั้งที่ 2 ยกทัพไปตีลังกาครั้งนี้อยู่ในระหว่าง พ.ศ. 1801 – พ.ศ. 1803 หรือในราว พ.ศ. 1795 นักประวัติศาสตร์บางท่านมีความเห็นว่า ในการรบครั้งนี้พระองค์มิได้กรีฑาทัพไปโดยพระองค์เอง แต่มอบหมายให้ราชโอรสพร้อมด้วยนายพลคนสำคัญไปรบแทน
การไปรบลังกาในครั้งหลังนี้พระเจ้าจันทนภาณุ ได้รับความช่วยเหลือจากทหารชาวทมิฬโจฬะ และพวกปาณฑย์ ซึ่งเป็นศัตรูกับชาวลังกามาแต่โบราณ และได้ยกพลขึ้นบกที่มหาติตถะ ทางฝ่ายนครศรีธรรมราช มีเจ้าชายวีรพาหุเป็นแม่ทัพในระยะแรกฝ่ายพระเจ้าจันทรภาณุมีชัยชนะในการรบ แต่ระยะหลังกองทัพของพวกปาณฑ์เกิดกลับใจไปร่วมรบกับพวกลังกาตีพวกโจฬะแตกพ่าย ทำให้ทัพของพระเจ้าจันทรภาณุถูกล้อม มีนักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ในสนามรบ แต่บางท่านบอกว่าพระองค์เสด็จกลับมาได้และอยู่ต่อมาอีกหลายปีจึงสิ้นพระชนม์
3. สร้างวัดวาอาราม อาจารย์มานิต วัลลิโภดมได้สืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ความว่า ในระหว่าง พ.ศ. 1776 – พ.ศ. 1823 นครศรีธรรมราชว่างจากราชการสงครามมีเวลาว่าง จึงได้สร้างวัดขึ้นหลายวัดเช่น วัดพระเดิม วัดหว้าทยานหรือวัดหว้าอุทยาน และได้มีการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิไว้ทุกวัดด้วย
4. ตั้งลัทธิลังกาวงศ์ขึ้นที่นครศรีธรรมราช ในช่วงที่พระเจ้าจันทรภาณุได้ส่งทูตไปเมืองลังการเพื่อขออัญเชิญพระพุทธสิหิงค์นั่นเอง ก็ได้ส่งพระภิกษุชาวนครศรีธรรมราชไปศึกษาพระธรรมวินัยแบบหินยานของลังกา และตอนขากลับก็ได้เชิญพระภิกษุชาวลังกาพร้อมชนชาวลังกามาด้วย มาตั้งคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ที่นครศรีธรรมราชเรียกว่า "พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์" แทนลัทธิเดิมซึ่งพระพุทธศาสนาแบบมหายานตามอย่างศรีวิชัย ต่อมาลัทธิลังกาวงศ์ก็แผ่ไปสู่สุโขทัย ตั้งเป็นปึกแผ่นอย่างมั่นคงมาจนปัจจุบันนี้
5. สร้างพระบรมธาตุเจดีย์ให้เป็นแบบทรงลังกา ด้วยในระยะพระบรมธาตุเดิมเป็นแบบศรีวิชัยและชำรุดทรุดโทรมมาก พระภิกษุและชนชาวลังกาที่มาอยู่ที่นครศรีธรรมราช รวมทั้งชาวนครฯเองด้วย ลงความเห็นกันว่าเห็นควรบูรณะซ่อมแซมองค์พระบรมธาตุเสียใหม่ให้แข็งแรง โดยให้สร้างใหม่หมดทั้งองค์ตามแบบทรงลังกา และให้คร่อมทับพระเจดีย์องค์เดิมไว้โดยสร้างเป็นพระสถูปทรงโอคว่ำ พระเจดีย์องค์เดิมได้ค้นพบเมื่อคราวบูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ในสมัย รัชกาลที่ 5 และมีหลักฐานยืนยันว่าชนชาวลังกาได้มาอยู่ที่นครฯจริง ด้วยในปี พ.ศ. 2475 ได้ขุดพบพระพุทธรูปลังกาทำด้วยหินสีเขียวคล้ายมรกต 1 องค์ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นฝีมือของชาวลังการุ่นเก่า โดยขุดพบที่บริเวณพระพุทธบาทจำลองในวัดพระมหาธาตุฯ ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ได้เก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช
อ้างอิง
- ↑ พระเจ้าจันทรภาณุ เมืองนครศรีธรรมราช - ฐานข้อมูลทางวัฒนธรรม จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช
- ↑ หนังสือ นครศรีธรรมราช จัดทำโดย : สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช