ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี"
ย้อนการแก้ไขที่ 8892173 สร้างโดย 27.145.29.56 (พูดคุย) ป้ายระบุ: ทำกลับ |
เปลี่ยนภาพนำบทความ |
||
บรรทัด 2: | บรรทัด 2: | ||
| ชื่อไทย = เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์<br />รามาธิบดี |
| ชื่อไทย = เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์<br />รามาธิบดี |
||
| ชื่อในภาษาแม่ = |
| ชื่อในภาษาแม่ = |
||
| ภาพ = [[ไฟล์: |
| ภาพ = [[ไฟล์:A set of 1st class of the Order of Rama - Senangapati (2).jpg|300px]]<br /><small>เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี<br />ชั้นเสนางคะบดี</small> |
||
| มอบโดย = <br /> [[ไฟล์:Garuda Emblem of Thailand (Broad wings).svg|40px]] <br /> [[พระมหากษัตริย์ไทย]] |
| มอบโดย = <br /> [[ไฟล์:Garuda Emblem of Thailand (Broad wings).svg|40px]] <br /> [[พระมหากษัตริย์ไทย]] |
||
| อักษรย่อ = |
| อักษรย่อ = |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 02:07, 21 กันยายน 2563
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์ รามาธิบดี | |
---|---|
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นเสนางคะบดี | |
มอบโดย พระมหากษัตริย์ไทย | |
ประเภท | สายสะพายพร้อมดารา, ดวงตราพร้อมดารา, ดวงตรา (6 ชั้น) |
วันสถาปนา | พ.ศ. 2461 |
ประเทศ | สยาม, ประเทศไทย |
จำนวนสำรับ | ไม่จำกัดจำนวน |
ผู้สมควรได้รับ | ข้าราชการทหาร, ผู้มีเกียรติของต่างประเทศ |
มอบเพื่อ | ความชอบพิเศษเป็นประโยชน์ยิ่งแก่ราชการทหาร ไม่ว่าในยามสงบหรือยามสงคราม |
ผู้สถาปนา | พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ประธาน | พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย |
ลำดับเกียรติ | |
สูงกว่า | เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ (พ้นสมัยการพระราชทานแล้ว) |
รองมา | เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก |
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี (The Honourable Order of Rama) เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 สำหรับบำเหน็จความดีความชอบแก่ผู้ทำความชอบพิเศษเป็นประโยชน์ยิ่งแก่ราชการทหาร ไม่ว่ายามสงบหรือยามสงคราม ตามที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควร[1]
ปัจจุบัน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี แบ่งออกเป็น 6 ชั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยชั้นเสนางคะบดีจัดเป็นชั้นสูงสุด พระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีนั้น ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งเก่าและใหม่จะเข้าร่วมในพระราชพิธีเฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย[2] การประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ ควรสวมสายสะพายรามาธิบดีเฉพาะงานที่เกี่ยวกับราชการทหาร ซึ่งมีหมายกำหนดการระบุไว้โดยเฉพาะว่าให้สวมสายสะพายรามาธิบดี [3]
ประวัติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภว่า "ราชการทหารเป็นกิจพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ปฏิบัติราชการอย่างนั้นต้องออกกำลังแรงและปัญญาอย่างอุกฤษฐ์ ทั้งต้องพร้อมอยู่เสมอที่จะสละชีวิตเป็นราชพลีและเพื่อรักษาอิสรภาพบำรุงความรุ่งเรืองแก่ชาติบ้านเมือง สมควรจะมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับบำเหน็จความชอบสำหรับผู้ทำดีในราชการแผนกนี้เป็นพิเศษอีกส่วนหนึ่ง" ดังนั้น พระองค์จึงทรงสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อบำเหน็จความชอบแก่ผู้ทำดีในราชการทหาร ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 โดยพระราชทานครั้งแรกให้กับ ทหารและอาสาสมัคร ผู้ไปปฏิบัติภารกิจในสงครามโลกครั้งที่1 โดยกำหนดให้แบ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็น 4 ชั้น พร้อมด้วยเหรียญราชอิสริยาภรณ์ โดยมอบหมายให้กระทรวงมุรธาธรเป็นผู้จัดทำ พร้อมกันนี้ โปรดเกล้าฯ ให้มีคณะที่ปรึกษาสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประกอบด้วย คณาธิบดี 1 เลขาธิการ 1 และที่ปรึกษา 5 คน สำหรับเป็นที่ปรึกษาประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยมีหน้าที่พิจารณาว่าผู้ใดสมควรที่จะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อขอรับพระราชทานต่อไป[1]
คณะที่ปรึกษาสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้มีการแต่งตั้งขึ้น 2 ครั้ง โดยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์มีพระบรมราชโองการให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นคณาธิบดี พระยาสีหราชเดโชไชย (แย้ม ณ นคร) เป็นเลขาธิการ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช, สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต, พระเจ้าพี่ยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์, หม่อมเจ้าพันธุประวัติ เกษมสันต์ และพระยาประสิทธิ์ศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ ณ อยุธยา) เป็นที่ปรึกษา[4]
ส่วนคณะที่ปรึกษาประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชุดที่ 2 นั้น แต่งตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์มีพระบรมราชโองการให้สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นคณาธิบดี พระอาษาสงคราม (ต๋อย หัศดิเสวี) เป็นเลขาธิการ พระเจ้าพี่ยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมหลวงกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน, พระเจ้าพี่ยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมขุนสิงหวิกรมเกรียงไกร, หม่อมเจ้าบวรเดช กฤดากร, หม่อมเจ้าอลงกฎ ศุขสวัสดิ์ และพระยาเฉลิมอากาศ (สุณี สุวรรณประทีป) เป็นที่ปรึกษา[5]
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ก็ได้ระงับไปชั่วคราว จนกระทั่ง มีการตราพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี พ.ศ. ๒๕๐๓ ขึ้นมาใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่ภาวะการปัจจุบัน รวมทั้งได้ยกเลิกคณะที่ปรึกษาแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ลงด้วย[6] และมีการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ขึ้นอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน
ลำดับชั้นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี แบ่งออกเป็น 6 ชั้น ประกอบด้วย เครื่องราชอิสริยาภรณ์ 4 ชั้น ได้แก่ ชั้นเสนางคะบดี ชั้นมหาโยธิน ชั้นโยธิน ชั้นอัศวิน และเหรียญราชอิสริยาภรณ์ 2 ชั้น ได้แก่ เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร เหรียญรามมาลา โดยมีลักษณะและลำดับชั้น ดังต่อไปนี้[6]
ชั้นที่ 1 เสนางคะบดี
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ 1 มีชื่อว่า เสนางคะบดี และมีอักษรย่อว่า ส.ร. เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดสายสะพาย มีดารา มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 7 จาก 36 ลำดับ[7] 1 สำรับ ประกอบด้วย
- ดารา เป็นรูปไข่ทำด้วยทองมีลายแหลมออกสี่ทิศ กลางดาราด้านหน้าเป็นรูปพระปศุรามาวตารปราบพญาการตวีรยะอยู่บนพื้นลงยาสีลูกหว้าอ่อน ด้านหลังเป็นอักษรพระปรมาภิไธยย่อ "ร.ร." กับเลข "๖" อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ ซึ่งหมายความถึง "สมเด็จพระรามราชาธิบดี รัชกาลที่ ๖"[1] บนพื้นลงยาสีขาวขอบสีขาบ มีรัศมีเงินใหญ่แปดแฉก รัศมีทองแฉกเล็กแทรกแปดแฉก ใช้สำหรับประดับที่หน้าอกเสื้อด้านซ้าย
- ดวงตรา เป็นรูปไข่ทำด้วยทอง มีลวดลายเดียวกับบริเวณตรงกลางของดารา แต่ไม่มีรัศมี ใช้สำหรับห้อยกับสายสะพายที่เป็นแพรแถบสีดำกว้าง 10 เซนติเมตร มีริ้วสีแดงกว้าง 2 เซนติเมตร อยู่ใกล้ขอบทั้งสอง ใช้สวมเฉียงจากขวาไปซ้าย
ชั้นที่ 2 มหาโยธิน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ 2 มีชื่อว่า มหาโยธิน และมีอักษรย่อว่า ม.ร. เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดคล้องคอ มีดารา มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 14 จาก 36 ลำดับ[7] 1 สำรับ ประกอบด้วย
- ดารา มีลักษณะเช่นเดียวกับ ดาราของเสนางคะบดี แต่ใช้ประดับที่หน้าอกเสื้อด้านขวา
- ดวงตรา มีลักษณะเช่นเดียวกับ ดวงตราของเสนางคะบดี แต่ใช้ห้อยกับแพรแถบกว้าง 45 มิลลิเมตร สีเดียวกับแพรแถบสายสะพายเสนางคะบดี ใช้สำหรับคล้องคอ
ชั้นที่ 3 โยธิน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ 3 มีชื่อว่า โยธิน และมีอักษรย่อว่า ย.ร. เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดคล้องคอ ไม่มีดารา มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 19 จาก 36 ลำดับ[7] 1 สำรับ ประกอบด้วย
- ดวงตรา มีลักษณะเช่นเดียวกับ ดวงตราของมหาโยธิน ใช้สำหรับคล้องคอ และไม่มีดารา
ชั้นที่ 4 อัศวิน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ 4 มีชื่อว่า อัศวิน และมีอักษรย่อว่า อ.ร. เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชนิดประดับหน้าอกเสื้อ มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 22 จาก 36 ลำดับ[7] 1 สำรับ ประกอบด้วย
- ดวงตรา มีลักษณะเช่นเดียวกับ ดวงตราของโยธิน แต่มีขนาดเล็กกว่าห้อยกับแพรแถบขนาดกว้าง 32 มิลลิเมตร ใช้สำหรับประดับหน้าอกเสื้อเบื้องซ้าย
ชั้นที่ 5 เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ 5 มีชื่อว่า เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร และมีอักษรย่อว่า ร.ม.ก. เป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับสูงสุดในหมู่เหรียญบำเหน็จกล้าหาญ[7] มีลักษณะ ดังนี้
- เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร มีลักษณะเป็นรูปไข่ทำด้วยเงิน ด้านหน้าเป็นรูปพระปศุรามาวตารปราบพญาการตวีรยะ ด้านหลังเป็นอักษรพระปรมาภิไธยย่อ "ร.ร." กับเลข "๖" อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ สำหรับห้อยกับแพรแถวขนาดกว้าง 32 มิลลิเมตร และมีเครื่องหมายพระวชิราวุธที่แพรแถบ ใช้ประดับที่หน้าอกเสื้อเบื้องซ้าย
ชั้นที่ 6 เหรียญรามมาลา
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ 6 มีชื่อว่า เหรียญรามมาลา และมีอักษรย่อว่า ร.ม. เป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่มีลำดับเกียรติรองจากเหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมรในหมู่เหรียญบำเหน็จกล้าหาญ[7] มีลักษณะ ดังนี้
- เหรียญรามมาลา มีลักษณะเช่นเดียวกับเหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร แต่ไม่มีเครื่องหมายพระวชิราวุธที่แพรแถบ ใช้ประดับที่หน้าอกเสื้อเบื้องซ้าย
การพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานแก่ผู้ทำความชอบพิเศษเป็นประโยชน์ยิ่งแก่ราชการทหาร ไม่ว่ายามสงบหรือยามสงคราม หรือผู้มีเกียรติของต่างประเทศ ในอดีตนั้นจะมีคณะที่ปรึกษาสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับทำหน้าที่พิจารณาว่าผู้ใดสมควรได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีแล้วจึงนำความขึ้นกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อขอรับพระราชทานต่อไป[1] แต่ในปัจจุบันได้ยกเลิกคณะที่ปรึกษาสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ลง และกำหนดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะพระราชทานและและเรียกคืนได้ตามที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควร แต่ยังคงไว้สำหรับพระราชทานสำหรับผู้ทำความดีความชอบเป็นพิเศษและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในราชการทหาร ไม่ว่าในยามสงบหรือในยามสงครามดังเช่นที่เคยเป็นมา[6]
ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีตั้งแต่ชั้นที่ 4 ขึ้นไปนั้น จะได้รับใบประกาศนียบัตรทรงลงพระปรมาภิไธยและประทับพระราชลัญจกร ส่วนผู้ที่ได้รับพระราชทานชั้นที่ 5 และ 6 นั้น จะได้รับการประกาศนามในราชกิจจานุเบกษา[6] การรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งเก่าและใหม่จะเข้าร่วมในพระราชพิธีเฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย[2][8]
นอกจากนี้ ยังมีการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีเป็นพิเศษให้ใช้ประดับที่ธงชัยของกองทหารบกรถยนต์เพื่อเป็นเกียรติยศพิเศษ[9] รวมทั้ง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้น 5 เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร สำหรับประดับธงชัยเฉลิมพล กองพันทหารราบที่ 1 กองพันทหารราบที่ 2 กองพันทหารราบที่ 3 และกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ[10]
ผู้ได้รับพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มอบให้แก่ผู้ทำความดีในราชการทหาร โดยพระราชทานให้ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ทั้งผู้ที่ยังมีชีวิตและผู้วายชนม์ โดยที่ผ่านมานั้นผู้ได้รับพระราชทานจะเป็นบุรุษทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้นจะไม่ได้ระบุว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานให้แก่บุรุษเท่านั้น[6] อย่างไรก็ตาม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ นั้น มีการระบุถึงการประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีเฉพาะบุรุษเท่านั้น[3] ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีมีจำนวนมาก อาทิ[11]
- จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (เสนางคะบดี)
- จอมพล ถนอม กิตติขจร (เสนางคะบดี)
- จอมพล ประภาส จารุเสถียร (เสนางคะบดี, มหาโยธิน)
- พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (เสนางคะบดี, มหาโยธิน)
- พล.อ.เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ (มหาโยธิน)
- พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก (มหาโยธิน, โยธิน, อัศวิน)
- พล.อ.อิทธิ สิมารักษ์ (โยธิน, อัศวิน)
- พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (มหาโยธิน, อัศวิน)
- พลเอก เชษฐา ฐานะจาโร (มหาโยธิน)
- พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ (อัศวิน)
- พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ (อัศวิน)
- พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี (อัศวิน)
- พล.อ.หาญ เพไทย (อัศวิน)
- พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา (เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร)
- พล.ต.ท ธรณิศ ศรีสุข (เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร)
- พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ (เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร)
- พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส (เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร)
- พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ (เหรียญรามมาลา)
- พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร)
- พลเอกพงษ์เทพ กนิษฐานนท์
(เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร)
- พลเอกธวัชชัย สมุทรสาคร (อัศวิน)
- พลเอกสุรพันธ์ พวงเพ็ชร์ (เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร)
- พลเอกอุดมเดช สีตบุตร (เหรียญรามมาลา)
- พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร (เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร)
- พลเอกพอพล มณีรินทร์ (เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร)
- พลเอกปราการ ชลยุทธ (เหรียญรามมาลา)
- พลเอกวิชัย แชจอหอ (เหรียญรามมาลา)
การประดับ
การประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ ควรสวมสายสะพายรามาธิบดี (ชั้นเสนางคะบดี) เฉพาะงานที่เกี่ยวกับราชการทหาร ซึ่งมีหมายกำหนดการระบุไว้โดยเฉพาะว่าให้สวมสายสะพายรามาธิบดีเท่านั้น[3] อาทิเช่น พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ส่วนผู้ที่เคยได้รับพระราชทานเหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมรมาก่อนนั้น สามารถประดับเหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมรได้ทุกโอกาสที่ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือที่มีกำหนดนัดหมายทางการให้ประดับเหรียญ รวมทั้งมีสิทธิประดับเครื่องหมายเข็มกล้ากลางสมรสอดบนแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ตลอดไป แม้จะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีชั้นที่สูงขึ้นไปชั้นใดก็ตาม โดยให้ประดับในโอกาสที่มิได้ประดับเหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร ในกรณีที่แต่งเครื่องแบบให้ประดับที่อกเสื้อเบื้องขวา ส่วนในกรณีแต่งสากลให้ประดับที่คอพับของเสื้อชั้นนอกเบื้องซ้ายใต้ดุมเครื่องราชอิสริยาภรณ์[12]
สำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ตั้งแต่ชั้นอัศวินขึ้นไปนั้น จะมีเครื่องหมายสำหรับประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเครื่องหมายที่ใช้เป็นดุมเสื้อเป็นรูปดอกไม้จีบด้วยแพรแถบของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มีสิทธิใช้ประดับเป็นดุมเสื้อเวลาแต่งเครื่องสากลโดยให้ประดับที่รังดุมคอพับของเสื้อชั้นนอกเบื้องซ้าย[13] และสามารถใช้ประดับเมื่อสวมชุดไทย โดยบุรุษมีสิทธิใช้ประดับเป็นดุมเสื้อเวลาแต่งเสื้อชุดไทยสีสุภาพ โดยประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย บริเวณปากกระเป๋าเสื้อ[14]
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติเครื่องราชอิศริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี, เล่ม ๓๕, ตอน ๐ก, ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๑, หน้า ๑๖๙
- ↑ 2.0 2.1 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี จาก สำนักนายกรัฐมนตรี
- ↑ 3.0 3.1 3.2 ราชกิจจานุเบกษา, ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย พ.ศ. ๒๕๔๑, เล่ม ๑๑๕, ตอนพิเศษ ๑๑๘ ง เล่มที่ ๒, ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑, หน้า ๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระแสพระบรมราชโองการ เรื่อง ตั้งคณาธิบดี เลขาธิการ และที่ปรึกษา สำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี, เล่ม ๓๕, ตอน ๐ ก, ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๑, หน้า ๑๘๓
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งคณาธิบดี เลขาธิการ และที่ปรึกษาสำหรับเครื่องราชอิสสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี (ครั้งที่ ๒), ตอน ๔๕, เล่ม ๐ก, ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑, หน้า ๑๖๗
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี พ.ศ. ๒๕๐๓, เล่ม ๗๗, ตอน ๖๐ก, ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓, หน้า ๔๗๖
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย, เล่ม ๑๑๐, ตอน ๒๙ง ฉบับพิเศษ, ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖, หน้า ๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, หมายรับสั่งสำนักพระราชวัง ๓๐ เมษายน ๒๕๒๕ พระราชพิธีพระราชทานอิสริยภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ถือน้ำพระพิพัฒนสัตยาและบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศพระราชทานแก่ผู้ที่เสียชีวิต พุทธศักราช ๒๕๒๕, ตอน ๙๙, เล่ม ๖๔ ง, ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๕, หน้า ๑๕๓๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีประดับธงไชยของกองทหารบกรถยนต์ซึ่งไปราชการสงครามข้ามทะเล, เล่ม ๓๖, ตอน ๐, ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๒, หน้า ๑๗๒๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีประดับธงชัยเฉลิมพล, เล่ม ๑๐๐, ตอน ๑๒๕ ง ฉบับพิเศษ, ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๖, หน้า ๑๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี, เล่ม ๑๐๗, ตอน ๕๕ ง, ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๓, หน้า ๒๖๕๙
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ระเบียบการประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และการประดับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติเข็มกล้ากลางสมรแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดี, ตอน ๙๔, เล่ม ๑๓๓ ก ฉบับพิเศษ, ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐, หน้า ๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกฤษฎีกากำหนดเครื่องหมายสำหรับประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และที่ใช้เป็นดุมเสื้อ พ.ศ. ๒๔๙๘, เล่ม ๗๒, ตอน ๙๐ ก, ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘, หน้า ๑๕๗๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกฤษฎีกากำหนดเครื่องหมายสำหรับประดับแพรถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์และที่ใช้เป็นดุมเสื้อ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๒๘, เล่ม ๑๐๒, ตอน ๙๖ ก ฉบับพิเศษ, ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘, หน้า ๑
แหล่งข้อมูลอื่น
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี จาก สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
- รายนามผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี จากเว็บไซต์กองทัพบก