ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์)"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 30: บรรทัด 30:
* 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2457 - โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในกรมมหาดเล็ก แผนกตั้งเครื่อง ยศ มหาดเล็กวิเศษ<ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2457/D/2836_1.PDF พระราชทานยศ] </ref>
* 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2457 - โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในกรมมหาดเล็ก แผนกตั้งเครื่อง ยศ มหาดเล็กวิเศษ<ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2457/D/2836_1.PDF พระราชทานยศ] </ref>
* 1 เมษายน พ.ศ. 2458 - เงินเดือน 40 บาท
* 1 เมษายน พ.ศ. 2458 - เงินเดือน 40 บาท
* 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 - รับพระราชทานยศ รองหุ้มแพร มีบรรดาศักดิ์เป็น ''นายรองเสนองานประภาษ'' เงินเดือน 60 บาท
* 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 - รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ''นายรองเสนองานประภาษ''<ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2458/D/1905.PDF พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ (หน้า ๑๙๐๗)] </ref>เงินเดือน 60 บาท
* รับพระราชทานยศเป็น รองหุ้มแพร
* 1 เมษายน พ.ศ. 2459 - ย้ายไปอยู่กองห้องที่พระบรรทม
* 1 เมษายน พ.ศ. 2459 - ย้ายไปอยู่กองห้องที่พระบรรทม
* 30 สิงหาคม พ.ศ. 2459 - รับพระราชทานยศ หุ้มแพร มีบรรดาศักดิ์เป็น ''นายเสนองานประภาษ''
* 30 สิงหาคม พ.ศ. 2459 - รับพระราชทานยศ หุ้มแพร มีบรรดาศักดิ์เป็น ''นายเสนองานประภาษ''

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:59, 7 กรกฎาคม 2563

พระพระยานรรัตนราชมานิต

(ตรึก ธมฺมวิตกฺโก)
ไฟล์:Dhammavitakko Bhikkhu.jpg
ชื่ออื่นเจ้าคุณนรฯ
ส่วนบุคคล
เกิด5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2440 (นับพ.ศ.แบบปัจจุบันคือ พ.ศ. 2441) (73 ปี)
มรณภาพ8 มกราคม พ.ศ. 2514
(73 ปี 337 วัน)
นิกายธรรมยุติกนิกาย
ตำแหน่งชั้นสูง
ที่อยู่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
อุปสมบท24 มีนาคม พ.ศ. 2468
(45 ปี 290 วัน)
พรรษา46

มหาเสวกตรี พระพระยานรรัตนราชมานิต[1] นามเดิม ตรึก จินตยานนท์ ฉายา ธมฺมวิตกฺโก เป็นอดีตมหาดเล็กในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จำพรรษา ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ตราบจนมรณภาพ

ประวัติ

ปฐมวัย

พระพระยานรรัตนราชมานิต[1] มีนามเดิมว่า ตรึก จินตยานนท์ (นามสกุลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นบุตรของพระนรราชภักดี (ตรอง จินตยานนท์ ภายหลังบวชเป็นพระภิกษุ ฉายา สทฺธมฺมวิจาโร) และนางนรราชภักดี (พุก จินตยานนท์) มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น 5 คน เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2440 เวลา 7.40 น. ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีระกา และเป็นวันมาฆบูชาในปีนั้น ที่กรุงเทพมหานคร วัยถึงขั้นสมควร เล่าเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดโสมนัสวิหาร และชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปัจจุบัน) จนสอบได้ชั้นมัธยมปลาย 5 ได้ลำดับที่ 1 ของประเทศ

ข้าราชการพลเรือน

ภายหลังจากที่ท่านได้จบการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือน (ภายหลังคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับประกาศนียบัตรวิชารัฐศาสตร์ มีบัณฑิตร่วมรุ่น 12 นาย โดยสอบได้ลำดับที่ 1 ในปีการศึกษาสุดท้าย ท่านได้เข้าร่วมซ้อมรบในฐานะสมาชิกกองเสือป่า ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยรับหน้าที่ กองส่งข่าวหลวงรักษาพระองค์ ซึ่งในการซ้อมรบนี้เองได้เปลี่ยนวิถีชีวิต ทำให้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการประจำห้องที่พระบรรทม หลังท่านศึกษาจบ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2459 ท่านเป็นผู้ที่ได้รับการไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก กระทั่งได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นพระยานรรัตนราชมานิต ซึ่งแปลว่า "คนดีที่พระเจ้าแผ่นดินทรงยกย่องนับถือ" เมื่ออายุเพียง 25 ปี เมื่อปี 2465 สมกับที่ท่านได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณอย่างใกล้ชิด

ประวัติการรับราชการของพระยานรรัตนราชมานิตโดยละเอียดมีดังนี้

  • 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2457 - โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในกรมมหาดเล็ก แผนกตั้งเครื่อง ยศ มหาดเล็กวิเศษ[2]
  • 1 เมษายน พ.ศ. 2458 - เงินเดือน 40 บาท
  • 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 - รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น นายรองเสนองานประภาษ[3]เงินเดือน 60 บาท
  • รับพระราชทานยศเป็น รองหุ้มแพร
  • 1 เมษายน พ.ศ. 2459 - ย้ายไปอยู่กองห้องที่พระบรรทม
  • 30 สิงหาคม พ.ศ. 2459 - รับพระราชทานยศ หุ้มแพร มีบรรดาศักดิ์เป็น นายเสนองานประภาษ
  • 1 กันยายน พ.ศ. 2459 - เงินเดือน 100 บาท
  • 31 ธันวาคม พ.ศ. 2459 - รับพระราชทานยศ จ่า มีบรรดาศักดิ์เป็น นายจ่ายง
  • 1 มกราคม พ.ศ. 2460 - เงินเดือน 200 บาท
  • 31 ธันวาคม พ.ศ. 2461 - รับพระราชทานยศ รองหัวหมื่น มีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงศักดิ์นายเวร
  • 1 มกราคม พ.ศ. 2461 - เงินเดือน 300 บาท
  • 1 เมษายน พ.ศ. 2463 - เงินเดือน 340 บาท
  • 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2464 - รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าหมื่นสรรเพธภักดี
  • 1 เมษายน พ.ศ. 2465 - เงินเดือน 500 บาท
  • 1 ธันวาคม พ.ศ. 2465 - เจ้ากรมห้องที่พระบรรทม
  • 30 ธันวาคม พ.ศ. 2465 - รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยานรรัตนราชมานิต
  • 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2467 - องคมนตรีในรัชกาลที่ 6
  • 1 มกราคม พ.ศ. 2467 - รับพระราชทานยศ จางวางตรี
  • 24 มีนาคม พ.ศ. 2468 - อุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
  • 1 เมษายน พ.ศ. 2469 - เงินเดือน 700 บาท
  • 1 เมษายน พ.ศ. 2469 - โปรดเกล้าฯ ให้ยุบเลิกตำแหน่งหน้าที่ราชการกรมมหาดเล็กหลวง ให้รับพระราชทานบำนาญเดือนละ 84 บาท 66 2/3 สตางค์
  • 4 เมษายน พ.ศ. 2469 - องคมนตรีในรัชกาลที่ 7 (แต่ท่านไม่สึกออกมารับตำแหน่ง ยังคงอยู่ในสมณเพศต่อไป)

บวชอุทิศถวายเป็นพระราชกุศล

ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ สุจริต และกตัญญูกตเวที อย่างยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ดังที่ท่านเคยกล่าวถึงความภักดีต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "ต้องตายแทนกันได้" ความกตัญญูกตเวทีที่ท่านได้แสดงนี้ ได้ประจักษ์ชัดเมื่อท่านได้บวชอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2468 ณ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระพุทธวิริยากร (จันทร์ จนฺทกนฺโต) เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาาร และพระอุดมศีลคุณ (อคคิทตตเถร) วัดเทพศิรินทราวาส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านดำรงเพศสมณะด้วยความเคร่งครัดต่อศีล เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากมลทินด่างพร้อยทั้งกาย ใจ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีปฏิปทาที่มั่นคง เด็ดเดี่ยว เป็นที่ยอมรับ และได้รับความเคารพนับถือจากพุทธศาสนิกชนว่า ท่านเป็นพระแท้ ที่หาได้ยากยิ่ง เป็นตัวอย่างของสงฆ์ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ไม่ใฝ่หาลาภสักการะ ใฝ่หาชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นผู้ปฏิบัติตรงต่อ พระธรรมวินัย มีความกตัญญูเป็นเลิศ ยากที่จะหาผู้ใดทัดเทียมได้

มรณภาพ

พระพระยานรรัตนราชมานิตมรณภาพเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2514 ด้วยความชรา จากหนังสือสำนักพระราชวัง ที่ 314 ลว 11 มกราคม 2514 สิริอายุ 74 ปี พรรษา 46

คำสอน

"ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ "ศีล สมาธิ ปัญญา" จึงจะชนะ ข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดได้

- ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วง ทางกาย วาจา ได้ด้วย "ศีล"
- ชนะความยินดียินร้าย และหลงรักหลงชัง เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วย "สมาธิ"
- ชนะความเข้าใจ รู้ผิดเห็นผิดจากความเป็นจริงของ สังขาร ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ด้วย "ปัญญา"

ผู้ศึกษาปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ "ศีล สมาธิ ปัญญา" บริบูรณ์ สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย "

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

อ้างอิง