ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แม่แบบ:เจ้าผู้ครองนครแพร่แห่งราชวงศ์เทพวงศ์"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ล ย้อนการแก้ไขของ 2001:44C8:4383:BA82:1:1:D68F:1865 (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย Chainwit. ป้ายระบุ: ถูกแทน ย้อนรวดเดียว |
||
บรรทัด 12: | บรรทัด 12: | ||
| label4 =[[ไฟล์:เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์.jpg|50px]] |
| label4 =[[ไฟล์:เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์.jpg|50px]] |
||
| data4 = [[เจ้าพิริยเทพวงษ์]] |
| data4 = [[เจ้าพิริยเทพวงษ์]] |
||
}} |
}} |
||
The Active Generation of Phrae Family <br> ข่ายลูกหลานเมืองแพร่ |
|||
▼ |
|||
วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 |
|||
เจ้าผู้ครองนครแพร่ยุคประเทศราชของสยาม |
|||
โดย ภูเดช แสนสา |
|||
เจ้าผู้ครองนครใน “ล้านนาประเทศ” ช่วงเป็นประเทศราชของ “สยามประเทศ” หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า “เจ้าหลวง” ในมุมมองของสยามผู้เป็นเจ้าอธิราชถือว่าเป็น “เจ้าเมือง(เจ้าประเทศราช)” |
|||
ส่วนมุมมองของล้านนา รวมถึงในเมืองนครแพร่ถือว่าเป็น “กษัตริย์” ดังปรากฏพระนามแทนเจ้าหลวงนครแพร่แต่ละองค์ว่า “พระกระสัตราธิราช” หรือ “พระองค์สมเด็จพระบรมบัวพิตองค์เปนเจ้า”(เจ้าหลวงอินทวิไชยราชา)1 หรือ “องค์สมเด็จมหาราชหลวง” หรือ “สมเด็จพิมพิสารมหาราช”(เจ้าหลวงพิมพิสารราชา)2 |
|||
แต่ทว่าเท่าที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าหลวงนครแพร่ยังมีความคลาดเคลื่อน ทั้งที่มาของต้นปฐมราชวงศ์ จำนวนองค์เจ้าหลวงที่ขึ้นครองนคร ลำดับการครองนคร ระยะเวลาที่ขึ้นครองนคร ตลอดจนถึงความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเจ้าหลวงองค์ก่อนหน้า เนื่องจากข้อจำกัดด้านหลักฐานและในเมืองแพร่เพิ่งเริ่มค้นคว้าถึงเจ้าหลวงองค์ก่อนเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เจ้าหลวงนครแพร่องค์สุดท้ายช่วงทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา |
|||
ดังหนังสือที่ระลึกในคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรจังหวัดแพร่ ที่จังหวัดแพร่ทำขึ้น พ.ศ.๒๕๐๑ ก็กล่าวถึงเฉพาะเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์เพียงองค์เดียว และกล่าวว่าเจ้าผู้ครองนครแพร่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน3 เหมือนเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง และเมืองนครลำพูน จนช่วงทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา จึงมีการค้นคว้าเจ้าหลวงนครแพร่เพิ่มเติม ในช่วงเป็นประเทศราชของสยาม มีทั้งหมดจำนวน ๕ องค์ คือ |
|||
เจ้ามังไชย(พระยาศรีสุริยวงศ์) พ.ศ.๒๓๑๑ – ๒๓๕๓ |
|||
เจ้าหลวงเทพวงศ์(เจ้าหลวงลิ้นตอง) พ.ศ.๒๓๖๑ – ๒๓๗๒ |
|||
เจ้าหลวงอินต๊ะวิชัย พ.ศ.๒๓๗๓ – ๒๔๑๔ |
|||
เจ้าหลวงพิมพิสาร พ.ศ.๒๔๑๕ – ๒๔๓๑ |
|||
เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ พ.ศ.๒๔๓๒ – ๒๔๔๕ |
|||
พร้อมกับระบุว่าเจ้าหลวงเทพวงศ์ (เจ้าหลวงลิ้นตอง) เป็นราชบุตรของเจ้าฟ้าชายสาม เจ้าผู้ครองนครเชียงตุง ราชวงศ์มังราย ได้มาเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่4 |
|||
และช่วง พ.ศ.๒๕๔๗ – ๒๕๕๐ ได้มีข้อสันนิษฐานใหม่ว่าเชื้อสายเจ้าหลวงเมืองแพร่ไม่ได้มาจากเจ้าฟ้าชายสาม แต่สืบเชื้อสายมาจากพญาเชียงเลือ(เชียงเลอ) เจ้าเมืองแพร่เมื่อ พ.ศ.๒๑๐๖ และกล่าวว่าเป็นเชื้อสายรายวงศ์มังราย5 พร้อมกับมีการค้นคว้าเรียบเรียงเจ้าหลวงเมืองแพร่ในช่วงเป็นประเทศราชของสยามขึ้นใหม่ที่ใช้มาถึงปัจจุบันมีทั้งหมด ๖ องค์ดังนี้ |
|||
(๑) เจ้าหลวงแสนซ้าย พ.ศ.๒๓๐๐ – ๒๓๑๐ |
|||
(๒) เจ้าหลวงเมืองไจย พ.ศ.๒๓๓๓ – ๒๓๖๐ |
|||
(๓) เจ้าหลวงอุปเสน พ.ศ.๒๓๖๑ – ๒๓๖๒ |
|||
(๔) เจ้าหลวงอินทรวิไชย พ.ศ.๒๓๖๒ – ๒๓๙๓ |
|||
(๕) เจ้าหลวงพิมพิสาร พ.ศ.๒๓๙๓ – ๒๔๓๒ |
|||
(๖) เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ พ.ศ.๓๔๓๓ – ๒๔๔๕6 |
|||
เมื่อได้ตรวจสอบกับเอกสารชั้นต้นต่างๆ ทั้งฝ่ายล้านนาและสยาม ก็พบว่ามีความคลาดเคลื่อนหลายประการดังกล่าวมาแล้วในข้างต้น |
|||
ดังนั้นผู้เขียนจึงทำการค้นคว้าวิพากษ์วิเคราะห์เกี่ยวกับเจ้าหลวงนครแพร่ขึ้นใหม่มาเป็นเบื้องต้น โดยเอกสารชิ้นสำคัญที่บันทึกถึงลำดับราชวงศ์เจ้าหลวงนครแพร่โดยตรงของล้านนาคือพับสาที่เก็บรักษาไว้วัดดอยจำค่าระบุว่า |
|||
“จุลสักกราชได้ ๑๑๓๕ ตัว(พ.ศ.๒๓๑๖) ปีกดสี เจ้าหลวงลิ้นทองเสวยเมืองอยู่ได้ ๔๕ ปี(พ.ศ.๒๓๑๖ – ๒๓๕๙)เถิงสวัรคต ว่าง ๑ ปี(พ.ศ.๒๓๖๐) เจ้าหลวงอินทวิไชยผู้เปนลูกขึ้นแทนอยู่ได้ ๓๑ ปี(พ.ศ.๒๓๖๑ – ๒๓๙๒) ว่าง ๑ ปี(พ.ศ.๒๓๙๓) เจ้าหลวงพิมพิสารขึ้นแทนอยู่ได้ ๓๘ ปี(พ.ศ.๒๓๙๔ – ๒๔๓๒) ว่าง ๒ ปี(พ.ศ.๒๔๓๓ – ๒๔๓๔) เจ้าหัวหน้าเทพวงส์ตนเปนลูกขึ้นแทนอยู่ได้ ๑๐ ปี(พ.ศ.๒๔๓๕ – ๒๔๔๕) ปีเต่ายี จุลสักกราชได้ ๑๒๖๔ ตัว(พ.ศ.๒๔๔๕) เดือน ๑๐ แรม ๖ ฅ่ำ วัน ๖ เงี้ยวปลุ้นหนีปีนั้นแล้วแล รวมเจ้าหลวง ๔ ตนนี้กินเมือง ๑๒๙ ปี ว่างอยู่ ๕ ปี”7 |
|||
ส่วนบันทึกสำคัญอีกชิ้นหนึ่งเป็นของสยามคือพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ กล่าวว่า |
|||
“...เมืองแพร่นั้น เมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์นั้น พระยาแสนซ้ายได้เป็นเจ้าเมือง ครั้นถึงแก่กรรมแล้วโปรดเกล้าฯ ตั้งพระเมืองใจบุตรพระยาแสนซ้ายเป็นพระยาแพร่ๆ ถึงแก่กรรมแล้วโปรดเกล้าฯ ตั้งพระอินทวิไชยบุตรพระเมืองใจเป็นพระยาแพร่ ครั้นถึงแก่กรรมแล้วพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ตั้งราชวงษ์พิมสารบุตรพระยาวังขวา มารดาเป็นน้องพระยาแพร่แสนซ้ายเป็นพระยาแพร่...”8 |
|||
เอกสารทั้ง ๒ ฉบับต่างมีข้อจำกัดและความน่าเชื่อถือต่างกัน ฉบับพับสานั้นมีการบันทึกขึ้นภายหลังพ.ศ.๒๔๔๕ อาจบันทึกขึ้นจากเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ดังนั้นแม้ให้รายละเอียดมากแต่ก็มีความคลาดเคลื่อนมากเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องที่ไกลออกไปในสมัยก่อนเจ้าหลวงพิมพิสารราชา ส่วนเอกสารพระราชพงศาวดารมีความแม่นยำมากกว่า เนื่องจากบันทึกจากศุภอักษรที่ทางเมืองนครแพร่ส่งลงไป เพื่อขอทางสยามรับรองแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครองค์ต่างๆ แต่ก็มีข้อจำกัดไม่ทราบปีที่แต่งตั้งและครองนครที่ชัดเจน ดังนั้นต้องทำการตรวจสอบกับหลักฐานอื่นๆ ทั้งฝ่ายล้านนาและสยามเพิ่มเติมอีก |
|||
เริ่มจากเจ้าหลวงองค์แรกในช่วงเป็นประเทศราชของสยาม คือ “พญามังไชย” ตามชื่อยศเจ้าเมืองแพร่ที่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากกษัตริย์พม่าในยุคพม่าปกครอง ภายหลังได้เข้าสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีใน พ.ศ.๒๓๑๓ พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งยศตามแบบสยามเป็น “พระยาศรีสุริยวงศ์”9 |
|||
ส่วนเชื้อสายบรรพบุรุษของพญามังไชยนั้นไม่ปรากฏหลักฐาน ที่มีการเสนอว่าพญาเชียงเลือ(เชียงเลอ) ผู้ถูกส่งมาปกครองเมืองแพร่เมื่อ พ.ศ.๒๑๐๖ เป็นต้นตระกูลของเจ้าผู้ครองนครแพร่ ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นเชื้อสายเจ้านายในราชวงศ์มังรายแต่อย่างใด เดิมอาจเป็นเพียงขุนนางระดับ “เจ้าเมือง” หรือ “เจ้าพันนา” ที่ปกครองพันนาหนึ่งของเมืองเชียงใหม่เท่านั้น อีกทั้งในยุคพม่าปกครองมีการสับเปลี่ยนเจ้าเมืองหัวเมืองสำคัญต่างๆ อยู่เสมอเพื่อป้องกันการสั่งสมอำนาจ จึงเป็นไปได้น้อยมากที่พม่าจะปล่อยให้เชื้อสายของพญาเชียงเลือสืบทอดอำนาจกันปกครองเมืองแพร่มาจนถึงพญามังไชยกว่า ๒๐๐ ปี และที่กล่าวว่าพญามังไชยเป็นเชื้อสายพม่า แต่จากเอกสารบันทึกฝ่ายสยามระบุว่าพญามังไชยเป็น “คนลาว”(คนล้านนา, ไท ยวน)10 อีกทั้งคัมภีร์ใบลานที่จารขึ้นโดยพญามังไชยก็เป็นอักษรธรรมล้านนา พญามังไชยจึงเป็นขุนนางเชื้อสายไทยวน ที่กษัตริย์พม่าแต่งตั้งขึ้นเป็นเจ้าเมืองแพร่มาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.๒๓๐๙ |
|||
เมื่อสวามิภักดิ์กับกษัตริย์สยามจึงได้รับยศใหม่ใน พ.ศ.๒๓๑๓ จนกระทั่ง พ.ศ.๒๓๓๐ พญามังไชยได้ถูกนำตัวลงไปเฝ้ากษัตริย์สยามรัชกาลที่ ๑ ราชวงศ์จักรี จึงถูกกักตัวไว้ให้อยู่ที่กรุงเทพมหานคร สันนิษฐานว่าเนื่องจากรัชกาลที่ ๑ ทรงไม่ไว้วางพระทัยต่อพญามังไชยที่เคยเป็น(ข้าเก่า)ผู้สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีที่พระองค์เพิ่งได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แทน และพญามังไชยเคยยกกองทัพเมืองแพร่เข้าร่วมกับพม่ามาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ อีกทั้งพญามังไชยพร้อมครอบครัวเคยไปอยู่เมืองอังวะกับกษัตริย์พม่าเป็นเวลานาน11 จากจารึกท้ายคัมภีร์ใบลานภวิรัตติจารโดยพญามังไชยถวายวัดหลวง เมืองนครแพร่ เมื่อพ.ศ.๒๓๔๒ |
|||
“...ปีกัดเม็ด...ปญติว่าพระเมืองไชยลิขิตยามเมื่อสถิตอยู่ยังกุงเทพพระมหานครใหม่วันนั้นแล...”12 |
|||
และคัมภีร์ใบลานเรื่องภิกขุปาฏิโมกข์จารโดยพญามังไชยได้นำขึ้นมาถวายวัดศรีชุม เมืองนครแพร่ เมื่อพ.ศ.๒๓๔๓ |
|||
“...สระเด็จแล้วจุลสักกราชได้พันร้อยหกสิบสองตัว สนำกัมโพชภิไสยไทภาสาว่าปีกดสัน เดือนสิบเอ็ดใต้ แรมเก้าฅ่ำ พร่ำว่าได้วันอาทิตย์ ยามแตรจักใกล้เที่ยงวัน...ตัวปาฏิโมกข์ผูกนี้สัทธามหาอุปาสักกะพระญาแพล่ ตนนามปญตินครไชยวงสา ได้ส้างเขียนไว้โชตกะวรพุทธสาสนายามเมื่อได้ลงมาสถิตอยู่ในเมืองกุงเทพพระมหานคอรใหม่วันนั้นแล ปิตตามาตาภริยาปุตตาปุตตีญาติกาขัตติย์วงสาทังหลายมวล ขอได้ยังผลอานิสงส์เสมอดั่งตัวข้านี้ชู่ตนชู่ฅนเทอะ...”13 |
|||
คัมภีร์ธรรมภิกขุปาฏิโมกข์เจ้าหลวงนครไชยวงศา(พญามังไชย) จารถวายวัดศรีชุม เมืองนครแพร่ พ.ศ.๒๓๔๓ |
|||
(ที่มา : ภัทรพงค์ เพาะปลูก) |
|||
ทำให้ทราบว่าในช่วง พ.ศ.๒๓๔๓ พญามังไชยยังคงประทับอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และพระนามที่ทรงเขียนเองคือ “พระเมืองไชย” กับ “นครไชยวงศา” ซึ่งชื่อหลังมีการแปลงคำว่า “เมือง” ให้เป็นภาษาบาลีว่า “นคร”(นคระ) |
|||
สังเกตว่าพญามังไชยทรงเรียกพระนามตนเองว่า “พระเมืองไชย” หรือ “(พระยา)นครไชยวงศา” แทน “พระยาศรีสุริยวงศ์” ที่พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้ง เป็นไปได้ว่าเมื่อผลัดแผ่นดินเป็นราชวงศ์จักรี รัชกาลที่ ๑ ทรงแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง “พระเมืองไชย” หรือ “พระยานครไชยวงศา” ในระหว่างที่พญามังไชยยังประทับอยู่กรุงเทพมหานครอาจเสด็จขึ้นมาเยี่ยมอรรคราชเทวีราชบุตรราชธิดาและพระญาติวงศ์ พร้อมกับได้ทำบุญทานคัมภีร์ธรรมไว้วัดต่างๆ ในเมืองนครแพร่เป็นครั้งคราว ดังปรากฏในจารึกท้ายคัมภีร์ใบลาน จากหลักฐานนี้เชื้อสายของพญามังไชยน่าจะมีส่วนร่วมในการปกครองเมืองนครแพร่อยู่ไม่น้อย และพบว่ามีการสร้างความสัมพันธ์กับเชื้อสายของเจ้าหลวงแสนซ้ายผ่านทางการเสกสมรสอีกด้วย |
|||
ภายหลังพญามังไชยจึงได้กลับมาอยู่เมืองนครแพร่ ดังปรากฏจดหมายเหตุระบุพระนาม “พระยาแพร่เฒ่า” ร่วมกับ “พระยาแพร่(เจ้าน้อยอุปเสน)” แต่หลังจาก พ.ศ.๒๓๓๐ พญามังไชยเป็นเจ้าผู้ครองแพร่โดยตำแหน่งจางวาง เนื่องจากรัชกาลที่ ๑ ทรงได้รับรองแต่งตั้งให้ “พญาแสนซ้าย” เป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ ๒ ถัดมาแทนแล้ว สังเกตชื่อนามในพระราชพงศาวดาร เป็นนามตำแหน่งเดิมก่อนขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่ทุกองค์ ดังนั้น “พญาแสนซ้าย” จึงเป็นตำแหน่งเดิมของล้านนา เมื่อสยามรับรองแต่งตั้งจึงได้รับยศเป็น “พระยาแสนซ้าย” เรียกตามแบบล้านนาว่า “เจ้าหลวงแสนซ้าย” |
|||
พระราชพงศาวดารระบุว่ารัชกาลที่ ๑ ทรงรับรองแต่งตั้ง สันนิษฐานว่าทรงขึ้นครองเมืองหลังจากพญามังไชยถูกกักตัวไว้ที่กรุงเทพมหานครใน พ.ศ.๒๓๓๐ เมื่อเจ้าหลวงแสนซ้ายทรงถึงแก่พิราลัย “พระเมืองไชย”(พระราชพงศาวดารเขียนตามการออกเสียงของล้านนาว่า “พระเมืองใจ”(ไจย)) ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งเจ้านายเมืองนครแพร่ตำแหน่งหนึ่ง เป็นราชบุตรของเจ้าหลวงแสนซ้ายขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ ๓ ต่อมา |
|||
ผู้ได้รับตำแหน่งพระเมืองไชยองค์นี้เมื่อเทียบลำดับเจ้าผู้ครองนครแพร่คือ “เจ้าน้อยอุปเสน” หรือ “เจ้าน้อยเทพวงศ์” และสอดคล้องกับบันทึกพับสาวัดดอยจำค่า ว่าเมื่อเจ้าหลวงอุปเสนทรงถึงแก่พิราลัย เจ้าหลวงอินทวิไชยผู้เป็นราชบุตรขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่แทน โดยเจ้าหลวงอินทวิไชยราชาเป็นราชนัดดา(หลานปู่)ของเจ้าหลวงแสนซ้าย |
|||
“...เจ้าหลวงลิ้นทองเสวยเมืองอยู่ได้ ๔๕ ปีเถิงสวัรคต ว่าง ๑ ปี เจ้าหลวงอินทวิไชยผู้เปนลูกขึ้นแทน...”14 |
|||
เมื่อได้ขึ้นครองนครแพร่ต่อจากเจ้าบิดาจึงเรียกว่า “เจ้าหลวงอุปเสน” หรือ “เจ้าหลวงเทพวงศ์” และด้วยทรงมีปิยวาจาจึงมีพระฉายาที่ชาวเมืองเรียกว่า “เจ้าหลวงลิ้นทอง”(ออกเสียง “เจ้าหลวงลิ้นตอง”) เจ้าหลวงอุปเสนได้เสกสมรสกับเจ้านางสุชาดาอรรคราชเทวี ราชธิดาของเจ้าหลวงนครไชยวงศา(พญามังไชย) เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ ๑15 |
|||
อีกทั้ง สอดรับกับจดหมายเหตุพระราชทานพระแสงปืนเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๘ ระบุว่าเจ้าหลวงอุปเสนเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่และเป็นราชบิดาของท้าวอินทวิไชยผู้เป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ต่อมา |
|||
“พญาแพร่เถ้า...หนอยอุปเสนเปนพญาแพร่...ทาวอินทวิไชบุตพญาแพร่...พญาลคอร...หม่อมบุญมา เมืองลคอร...”16 |
|||
แต่ตัวเลขจุลศักราชหมวดหมู่ในจดหมายเหตุอาจคลาดเคลื่อนเพราะช่วงนี้ (พ.ศ.๒๓๖๘) พระเจ้าดวงทิพย์ เป็นพระเจ้านครลำปางไม่ได้เป็น “พระยาลำปาง(พญาลคอร)” และในปี พ.ศ.๒๓๔๘ เจ้าบุญมาได้ขึ้นมาตั้งฟื้นฟูเมืองนครลำพูนแล้วไม่ได้อยู่ในเมืองนครลำปาง ดังนั้นเนื้อหาจดหมายเหตุช่วงเจ้าผู้ครองนครลำปางยังมียศเป็น “พระยา” และเจ้าบุญมายังอยู่เมืองนครลำปางจึงควรก่อน พ.ศ.๒๓๔๘ ซึ่งสอดคล้องกับลำดับเจ้าผู้ครองนครแพร่ เนื่องจากช่วงนี้เจ้าหลวงแสนซ้ายได้ทรงถึงแก่พิราลัยแล้ว เจ้าหลวงอุปเสนผู้เป็นราชบุตรจึงได้ขึ้นครองเมืองแทน ดังนั้น “พระยาแพร่เฒ่า” จึงหมายถึงเจ้าหลวงนครไชยวงศา(พญามังไชย)ที่ได้เสด็จกลับจากกรุงเทพมหานคร ขึ้นมาอยู่กับอรรคราชเทวีราชบุตรราชธิดาพระญาติวงศ์ในเมืองนครแพร่ (กลับขึ้นมาในช่วงหลังพ.ศ.๒๓๔๓ ถึงก่อนพ.ศ.๒๓๔๘) |
|||
ดังนั้นในสมัยเจ้าหลวงอุปเสนเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่ จึงมีเจ้าผู้ครองนครแพร่เฒ่าอีกองค์หนึ่งเป็นเสมือนเจ้าหลวงจางวางช่วยเป็นที่ปรึกษาปกครองบ้านเมือง |
|||
เมื่อเจ้าหลวงอุปเสนทรงถึงแก่พิราลัย ราชบุตรองค์ใหญ่ของเจ้าหลวงอุปเสนกับเจ้านางสุชาดาอรรคราชเทวีคือ “พระอินทวิไชย” หรือ “ท้าวอินทวิไชย” หรือทรงมีพระนามเดิมว่า “เจ้าน้อยอินทวิไชย” ประสูติเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๔ ได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ ๔ ใน พ.ศ.๒๓๕๙ ชนมายุ ๓๕ พรรษา ดังจากรึกวัดมหาโพธิ์ เมืองนครแพร่ พ.ศ.๒๓๘๖ จารึกไว้ว่า |
|||
“...พระกระสัตราธิราชท้าวตน ๑ ไส้ ท่านได้เกิดมาในราชตระกูล ท่านบุญมีจิ่งได้บวช พระสังฆเจ้าลวดใส่ปัญญัตติ...ชื่อว่าอินทวิไชย ท่านก็พ่ำเพงไปใจ้ๆ ตราบต่อเท้าได้ ๑๑๗๘ ตัว(พ.ศ.๒๓๕๙) ปีดับใกล้ อายุท่านได้ ๓๕ ปี ท่านก็ได้น้ำพุทธาภิเสก อติเรกนักหนา พระมหากระสัตราจิ่งตัดตราตั้งหื้อปรากฏเตื่อมแถมวรองค์ หื้อปรากฏว่าท่านให้ได้เปนเจ้าบ้านผ่านเมือง หื้อประกอบไปด้วยสินสักดิ์นามสักดิ์ ประกอบไปด้วยอายุ วัณณะ ในเมืองโกไสยธัชชพลวิไชยแพร่แก้วเมืองมูล...”17 |
|||
จารึกเจ้าหลวงอินทวิไชยราชา เจ้านางสุพรรณวดีอรรคราชเทวี ราชบุตรราชธิดา |
|||
พร้อมพระญาติวงศ์ทรงสร้างวัดมหาโพธิ เมืองนครแพร่ พ.ศ.๒๓๘๖ |
|||
(ที่มา : จารึกในจังหวัดแพร่) |
|||
ส่วนปีที่เจ้าหลวงอินทวิไชราชาทรงถึงแก่พิราลัยไม่ปรากฏ แต่สันนิษฐานจาก พ.ศ.๒๓๘๖ เจ้าหลวงอินทวิไชยราชายังทรงทำการฉลองวัดมหาโพธิ และ พ.ศ.๒๓๙๐ เจ้าหลวงอินทวิไชยราชายังได้ทรงร่วมกับครูบาเจ้ากัญจนอรัญวาสีมหาเถร วัดสูงเม่น บัญญัติกฎหมายอาชญาเจ้ามหาชีวิตและวินัย18 |
|||
และเมื่อเทียบกับพระราชพงศาวดาร ระบุว่า มีการรับรองแต่งตั้งเจ้าหลวงพิมพิสารราชาขึ้นครองนครแพร่ในรัชกาลที่ ๓ (รัชกาลที่ ๓ ครองราชย์พ.ศ.๒๓๖๗ – ๒๓๙๓) และหากยึดตามบันทึกจากพับสาของวัดดอยจำค่าว่าเจ้าหลวงอินทวิไชยราชาเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่ ๓๑ ปี (พ.ศ.๒๓๕๙ - ๒๓๙๐) ว่าง ๑ ปี (พ.ศ.๒๓๙๑) และเจ้าหลวงพิมพิสารราชาเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่ ๓๘ ปี (พ.ศ.๒๓๙๑ – ๒๔๒๙) |
|||
ดังนั้น เจ้าหลวงอินทวิไชยราชาจึงทรงถึงแก่พิราลัย พ.ศ.๒๓๙๐ ชนมายุ ๖๖ พรรษา ด้วยเจ้าหลวงอินทวิไชยราชาทรงเสกสมรสกับเจ้านางสุพรรณวดีอรรคราชเทวี มีราชธิดา ๓ องค์ มีราชบุตร ๑ องค์คือเจ้าน้อยศรีวิไชย แต่ก็ทรงวายชนม์เมื่อ พ.ศ.๒๓๗๘ (ส่วนราชธิดาอีก ๒ องค์ประสูติกับชายาองค์อื่น)19 ดังนั้นจึงเปิดโอกาสให้พระยาราชวงศ์(เจ้าพิมพิสาร) ที่มีศักดิ์เป็นเจ้าอาว(ลูกพี่ลูกน้องเจ้าบิดาของเจ้าหลวงอินทวิไชยราชา)ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ต่อมา |
|||
เจ้าหลวงพิมพิสารราชา |
|||
เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ ๕ |
|||
(ที่มา : เล่าเรื่องเมืองแพร่ในอดีต) |
|||
พระราชลัญจกร(ตราประจำตำแหน่ง) ของเจ้าหลวงพิมพิสารราชา |
|||
(ที่มา : เล่าเรื่องเมืองแพร่ในอดีต) |
|||
เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ ๕ ในช่วงเป็นประเทศราชของสยาม เจ้าหลวงพิมพิสารราชา ประสูติเมื่อ พ.ศ.๒๓๕๔ เป็นราชบุตรของพระยาวังขวา(เจ้าวังขวา)กับเจ้านางผู้เป็นขนิษฐา(น้องสาว)ของเจ้าหลวงแสนซ้าย มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าหลวงอุปเสน(เจ้าน้อยเทพวงศ์) เจ้าผู้ครองนครแพร่ในช่วงเป็นประเทศราชของสยามองค์ที่ ๓ |
|||
ส่วนพระยาวังขวาอาจมีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติกับเจ้าหลวงนครไชยวงศา(พญามังไชย)หรือเจ้าหลวงแสนซ้าย เจ้าพิมพิสารได้เป็นพระยาราชวงศ์ในสมัยเจ้าหลวงอินทวิไชยราชา ต่อมา พ.ศ.๒๓๙๐ ชนมายุ ๓๖ พรรษา รัชกาลที่ ๓ ทรงรับรองแต่งตั้งขึ้นเป็น “พระยาพิมพิสารราชา” หรือเรียกแบบล้านนาว่า “เจ้าหลวงพิมพิสารราชา” เจ้าผู้ครองนครแพร่ ด้วยทรงมีขาคดเล็กน้อยจึงมีพระฉายาว่า “เจ้าหลวงขาเค” หรือ “เจ้าหลวงแค่งแคะ” ทรงเสกสมรสกับเจ้านางแก้วไหลมาอรรคราชเทวี แต่ไม่มีราชบุตรราชธิดา และมีราชเทวีเท่าที่ปรากฏอีก ๒ องค์คือเจ้านางธิดา(มีราชธิดา ๓ องค์ ราชบุตร ๑ องค์) กับเจ้านางคำใย้(มีราชบุตร ๑ องค์) เจ้าหลวงพิมพิสารราชาทรงถึงแก่พิราลัยเวลาบ่าย ๕ โมง แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ พ.ศ.๒๔๒๙ ชนมายุ ๗๔ พรรษา20 |
|||
เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ |
|||
(ที่มา : ปกิณกะวัฒนธรรมจังหวัดแพร่) |
|||
เจ้าผู้ครองนครแพร่ในช่วงเป็นประเทศราชของสยามองค์ที่ ๖ เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ พระนามเดิม “เจ้าน้อยเทพวงศ์” ประสูติวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๗๙ เป็นราชบุตรองค์เล็กของเจ้าหลวงพิมพิสารราชากับเจ้านางธิดา(มีเจ้าพี่นาง ๓ องค์) ได้รับตำแหน่งพระยาอุปราช(พระยาหอหน้า)เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๑ ด้วยเจ้าหลวงพิมพิสารราชาทรงพระประชวร พระยาอุปราช(เจ้าน้อยเทพวงศ์)จึงรั้งเมืองนครแพร่มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๒๘ จนกระทั่งวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๓ ชนมายุ ๕๓ พรรษา ได้รับการรับรองแต่งตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นเป็น “พระยาพิริยวิไชย อุดรวิไสยวิปผาระเดช บรมนฤเบศร์สยามินทร์สุจริตภักดี”(พระยาพิริยวิไชย) เจ้าผู้ครองนครแพร่ และในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๙ ได้เลื่อนขึ้นเป็น “เจ้าพิริยเทพวงศ์” เจ้าผู้ครองนครแพร่ภายใต้เศวตฉัตร ๕ ชั้น ทรงเสกสมรสกับเจ้านางบัวถา(พระธิดาพระยาบุรีรัตน์(เจ้าหนานปัญญา)กับเจ้านางเรือนแก้ว(ขนิษฐาเจ้าหลวงพิมพิสารราชา), ไม่มีราชบุตรราชธิดา) |
|||
ภายหลังเสกสมรสกับเจ้านางบัวไหล(พระธิดาพระยาไชยสงครามกับเจ้านางอิ่น(เมืองยอง), มีราชธิดา ๗ องค์ ราชบุตร ๑ องค์) เจ้านางบัวแก้ว(มีราชธิดา ๑ องค์) เจ้านางพระนัดดาเจ้าอุปราชเมืองนครหลวงพระบาง(มีราชบุตร ๑ องค์) หม่อมบัวคำ(มีราชบุตร ๑ องค์) หม่อมคำป้อ(มีราชธิดา ๑ องค์) หม่อมเที่ยง(มีราชธิดา ๒ องค์) และหม่อมไม่ทราบนาม(มีราชบุตร ๑ องค์)21 ในปีพ.ศ.๒๔๔๕ ได้เสด็จลี้ภัยทางการเมืองไปประทับอยู่เมืองนครหลวงพระบางจนถึงแก่พิราลัยใน พ.ศ.๒๔๕๒ ชนมายุ ๗๓ พรรษา22 |
|||
พระราชลัญจกร(ตราประจำตำแหน่ง) ของเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ |
|||
ด้านล่างสลักเป็นอักษรธรรมล้านนา “๑๒๔๗ นครเมืองแพร่” |
|||
จ.ศ.๑๒๔๗(พ.ศ.๒๔๒๘)คือปีที่ขึ้นรั้งเมือง |
|||
(ที่มา : เล่าเรื่องเมืองแพร่ในอดีต) |
|||
จากหลักฐานขณะนี้ิื จึงเรียงลำดับและช่วงเวลา ที่ทรงขึ้นครองเมืองของเจ้าผู้ครองนครแพร่สมัยเป็นประเทศราชของสยาม โดยผู้เขียนนับรวมตั้งแต่ปีเจ้าผู้ครองนครองค์ก่อนทรงถึงแก่พิราลัย และเจ้าผู้ครองนครองค์ใหม่ทรงขึ้นรั้งเมือง จนถึงได้รับการรับรองแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากกษัตริย์สยาม มีจำนวน ๖ องค์ ดังนี้ |
|||
(๑) เจ้าหลวงนครไชยวงศา (เจ้าหลวงเมืองไชย) ก่อนพ.ศ.๒๓๐๙ – ๒๓๓๐ (ประมาณ ๒๑ ปี) |
|||
(๒) เจ้าหลวงแสนซ้าย พ.ศ.๒๓๓๐ – ก่อนพ.ศ.๒๓๔๘ (ประมาณ ๑๘ ปี) |
|||
(๓) เจ้าหลวงอุปเสน (เจ้าหลวงลิ้นทอง, เจ้าน้อยเทพวงศ์, ราชบุตร ๒ ราชบุตรเขย ๑) ก่อนพ.ศ.๒๓๔๘ - พ.ศ.๒๓๕๙ (ประมาณ ๑๑ ปี) |
|||
(๔) เจ้าหลวงอินทวิไชยราชา (เจ้าน้อยอินทวิไชย, ราชบุตร ๓) พ.ศ.๒๓๕๙ – ๒๓๙๐ (๓๑ ปี) |
|||
(๕) เจ้าหลวงพิมพิสารราชา (เจ้าหลวงขาเค, ลูกพี่ลูกน้อง ๓ ราชบุตรขนิษฐา ๒) พ.ศ.๒๓๙๐ – ๒๔๒๙ (๓๙ ปี) |
|||
(๖) เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ (เจ้าน้อยเทพวงศ์, ราชบุตร ๕) พ.ศ.๒๔๒๙ – ๒๔๔๕ (๑๖ ปี) |
|||
--------------------------------- |
|||
เชิงอรรถ |
|||
1 พรรณเพ็ญ เครือไทย และคณะ, ประชุมจารึกล้านนา เล่ม ๙ จารึกในจังหวัดแพร่,(เชียงใหม่ : มิ่งเมือง, ๒๕๔๙), หน้า ๗๘. |
|||
2 พรรณเพ็ญ เครือไทย และคณะ, ประชุมจารึกล้านนา เล่ม ๙ จารึกในจังหวัดแพร่,(อ้างแล้ว), หน้า ๙๖ และ ๑๙๖. |
|||
3 จังหวัดแพร่, ที่ระลึกในคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรจังหวัดแพร่,(ธนบุรี : ประยูรวงศ์, ๒๕๐๑), หน้า ๑ และ ๑๒. |
|||
4 จังหวัดแพร่, ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดแพร่,(นนทบุรี : สถานสงเคราะห์หญิงปากเกร็ด, ๒๕๒๘), หน้า ๑๑๘ – ๑๒๐. |
|||
5 บดินทร์ กินาวงศ์, พญาเมืองใจ๋ วีรบุรุษผู้ถูกลืม,(เชียงใหม่ : มิ่งเมือง, ๒๕๔๗), หน้า ๑๒๘. |
|||
6 องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่,ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ฉบับพ.ศ.๒๕๕๐,(แพร่: เมืองแพร่การพิมพ์, ๒๕๕๐),หน้า ๑๒๕ – ๑๒๖. |
|||
7 ภูเดช แสนสา(อ่าน), พับสาของพระสยาม สิริปญฺโญ สำนักสงฆ์พุทธบาทดอยธรรม(วัดดอยจำค่า) บ้านหาดลี่ ตำบลสบสาย อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ อักษรธรรมล้านนา. |
|||
8 ทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี,พระยา, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔,(กรุงเทพฯ : อมรินทร์, ๒๕๔๘), หน้า ๑๐๑. |
|||
9 จุลจักรพงษ์,พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๕ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม),(ม.ป.ท. : เดลิเมล์, ๒๔๘๐), หน้า ๓๘. |
|||
10 นฤมล ธีรวัฒน์(ผู้ชำระต้นฉบับ), พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์,(กรุงเทพฯ : อมรินทร์, ๒๕๓๙), หน้า ๙๘. |
|||
11 สรัสวดี อ๋องสกุล(ปริวรรต), พื้นเมืองเชียงแสน,(กรุงเทพฯ : อมรินทร์, ๒๕๔๖), หน้า ๒๔๓. |
|||
12 ภูเดช แสนสา(อ่าน), จารึกท้ายคัมภีร์ใบลานภวิรัตติ พ.ศ.๒๓๔๒ อ่านจากรูปภาพใบลานในองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่,ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ฉบับพ.ศ.๒๕๕๐,(อ้างแล้ว),หน้า ๑๐๔. |
|||
13 ภูเดช แสนสา(อ่าน), จารึกท้ายคัมภีร์ใบลานภิกขุปาฏิโมกข์ วัดศรีชุม ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ พ.ศ.๒๓๔๓ อักษรธรรมล้านนา สำรวจพบโดยนายภัทรพงค์ เพาะปลูก นายพุทธิคุณ ก่อกอง และนายทักษ์ วังสาร พ.ศ.๒๕๕๕. |
|||
14 ภูเดช แสนสา(อ่าน), พับสาของพระสยาม สิริปญฺโญ สำนักสงฆ์พุทธบาทดอยธรรม(วัดดอยจำค่า),(อ้างแล้ว). |
|||
15 ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และวลัยลักษณ์ ทรงศิริ, นครแพร่จากอดีตมาปัจจุบัน,(กรุงเทพฯ : วิชรินทร์, ๒๕๕๑), หน้า ๗๓. |
|||
16 หวญ. ร.๓ เลขที่ ๑๘ บันชีจำนวนพระแสงปืนต้นจำหน่ายไปและคงหยู่ จ.ส.๑๑๘๗(พ.ส.๒๓๖๘) |
|||
17 พรรณเพ็ญ เครือไทย และคณะ, ประชุมจารึกล้านนา เล่ม ๙ จารึกในจังหวัดแพร่,(อ้างแล้ว), หน้า ๗๓. |
|||
18 องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่,ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ฉบับพ.ศ.๒๕๕๐,(อ้างแล้ว),หน้า ๓๐๒. |
|||
19 พรรณเพ็ญ เครือไทย และคณะ, ประชุมจารึกล้านนา เล่ม ๙ จารึกในจังหวัดแพร่,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๖๙. |
|||
20 เอกสารจดหมายเหตุ ร.๕ อ้างในวิฑิตพิพัฒนาภรณ์,พระครู, เล่าเรื่องเมืองแพร่ในอดีต,(ลำปาง : จิตวัฒนาการพิมพ์, ๒๕๔๘),หน้า ๑๑๓. |
|||
21 บัวผิว วงศ์พระถาง และคณะ,เชื้อสายเจ้าหลวงเมืองแพร่ ๔ สมัย,(แพร่ : แพร่ไทยอุตสาหการพิมพ์, ๒๕๓๗),หน้า ๓๓ – ๓๕. |
|||
22 องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่,ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ฉบับพ.ศ.๒๕๕๐,(อ้างแล้ว),หน้า ๓๐๒. |
|||
The Active Genaration of Phrae Family ที่ 00:54 |
|||
ลิงก์ไปยังบทความนี้ |
|||
สร้างลิงก์ |
|||
‹วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ยกกำลังไปปราบ กบฎเงี้ยว ที่เมืองแพร่ ในมณฑลพายัพ |
|||
ทั้งนี้ในปี 2440 รัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนการปกครองจากเจ้าผู้ครองนครเป็นเทศาภิบาล ยุบเลิกฐานะเมืองประเทศราช แล้วรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่ สุวรรณบาตร) เป็นข้าหลวงปกครองเมืองแพร่เป็นคนแรก เจ้าเมืองแพร่องค์เดิมคือ พระยาพิริยวิไชย จึงสูญเสียอำนาจไปเพราะอำนาจสิทธิ์ขาดตกเป็นของข้าหลวงซึ่งเป็นข้าราชการที่ส่งมาจากส่วนกลาง อีกทั้งยังถูกตัดผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สร้างความไม่พอใจแก่เจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานทั้งหลายรวมไปถึงชาวเมืองแพร่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมืองแพร่นั้น เมื่อครั้งปฏิรูปการปกครองในปี 2442 พระยาศรีสหเทพ (เส็ง วิรยศิริ) ได้จัดการอย่างรุนแรงและบีบบังคับยิ่งกว่าเมืองอื่น ๆ |
|||
วันที่ 24 กรกฎาคม 2445 ชาว “เงี้ยว” (หรือชาวไทใหญ่ ชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในมณฑลพายัพมาช้านาน) ในเมืองแพร่นำโดย พะกาหม่อง และ สลาโปไชย พร้อมกำลังราว 40-50 นาย ได้ก่อความวุ่นวายขึ้น โดยบุกยึดสถานที่ราชการและปล้นเงินคลังของจังหวัด ตลอดจนปล่อยนักโทษในเรือนจำ ต่อมากำลังเพิ่มเป็นราว 300 นายเพราะชาวเมืองแพร่เข้ามาสนับสนุน สามารถยึดเมืองแพร่ได้ในวันที่ 25 กรกฎาคม จากนั้นก็ไปเชิญเจ้าเมืองแพร่องค์เดิมให้ปกครองบ้านเมืองต่อ และออกตามล่าข้าราชการคนนอกที่เข้ามาปกครองเมืองแพร่ สามารถจับตัวพระยาไชยบูรณ์ได้ในวันที่ 27 กรกฎาคม และบังคับให้คืนเมืองแพร่ แต่พระยาไชยบูรณ์ปฏิเสธจึงถูกสำเร็จโทษพร้อมกับข้าราชการอีกหลายคน |
|||
ความทราบถึงรัชกาลที่ 5 จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาสุรศักดิ์มนตรีนำทัพหลวงและกองทัพจากเมืองใกล้เคียงทำการปราบปรามพวกเงี้ยวได้อย่างราบคาบ โดยตั้งค่ายทัพที่บริเวณ “บ้านเด่นทัพชัย”( ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ตำบลเด่นชัย” ใน “อำเภอเด่นชัย” ปัจจุบัน) หลังจากเริ่มสอบสวนเอาความในวันที่ 20 สิงหาคม 2445 พบว่าเจ้าเมืองแพร่ เจ้าราชบุตร เจ้าไชยสงคราม มีส่วนสนับสนุนให้กองโจรเงี้ยวก่อการกบฎขึ้น แต่ครั้นจะจับกุมตัวสั่งประหารชีวิต ท่านก็เกรงว่าจะกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์กับหัวเมืองทางเหนือซึ่งถือเป็นเครือญาติผู้สืบสายราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนด้วยกัน จึงปล่อยข่าวลือว่าจะจับกุมตัวเจ้าเมืองแพร่ พระยาพิริยวิไชยจึงหลบหนีออกไป หลังหลบหนีไปได้ 15 วัน เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงออกคำสั่งถอดเจ้าเมืองแพร่ออกจากตำแหน่งทันที ด้วยถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ราชการ พร้อมกับสั่งอายัดทรัพย์เพื่อชดใช้หนี้หลวงที่เจ้าเมืองแพร่ค้างกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ สำหรับคดีความผิดฐานร่วมก่อการกบฎก็เป็นอันต้องระงับโดยปริยาย ไม่มีการรื้อฟื้นขึ้นอีก เจ้าพิริยเทพวงศ์เจ้าเมืองแพร่องค์สุดท้ายต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตในบั้นปลายที่เมืองหลวงพระบาง จนถึงแก่พิราลัย |
|||
กบฎเงี้ยว ชาวเงี้ยว ชาวไทใหญ่ ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:10, 27 พฤษภาคม 2563
เจ้าผู้ครองนครแพร่แห่ง ราชวงศ์เทพวงศ์ | |
---|---|
* | พระยาเทพวงศ์ |
* | พระยาอินทวิไชย |
พระยาพิมพิสารราชา | |
เจ้าพิริยเทพวงษ์ | |