ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Pongsak ksm (คุย | ส่วนร่วม)
ปรับปรุงเนื้อหาครั้งใหญ่
บรรทัด 36: บรรทัด 36:
| footnote =
| footnote =
}}
}}
'''วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก''' เป็นวัดของคณะสงฆ์ฝ่าย[[ธรรมยุติกนิกาย]]ที่[[พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร]]มีพระราชดำริให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2538 ตั้งอยู่เลขที่ 999 ซอยพระราม 9 ซอย 19 [[ถนนพระราม 9]] แขวงห้วยขวาง [[เขตห้วยขวาง]] [[กรุงเทพมหานคร]] เป็นวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคมสีมา<ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2541/D/057/87.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานวิสุงคามสีมา (วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก)], เล่ม ๑๑๕, ๕๗ ง , ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑, หน้า ๘๗</ref> และได้รับการยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงเป็นกรณีพิเศษในตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2542<ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2543/D/021/7.PDF ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ยกวัดราษฎร์เป็นพระอารามหลวง (วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก)],เล่ม ๑๑๗, ๒๑ ง , ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓, หน้า ๗</ref> ปัจจุบันมี[[พระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล)]] เป็นเจ้าอาวาส<ref>วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก . แหล่งข้อมูล :http://watphraram9.org/about/</ref>
'''วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก''' เป็นวัดของคณะสงฆ์ฝ่าย[[ธรรมยุติกนิกาย]]ที่[[พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร]] มีพระราชดำริให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2538 ตั้งอยู่เลขที่ 999 พระราม 9 ซอย 19 [[ถนนพระราม 9]] แขวงห้วยขวาง [[เขตห้วยขวาง]] [[กรุงเทพมหานคร]] เป็นวัดที่ได้รับพระราชทาน[[วิสุงคามสีมา]]<ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2541/D/057/87.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานวิสุงคามสีมา (วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก)], เล่ม ๑๑๕, ๕๗ ง , ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑, หน้า ๘๗</ref> และได้รับการยกขึ้นเป็น[[พระอารามหลวง]]ชั้นตรีเป็นกรณีพิเศษในตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2542<ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2543/D/021/7.PDF ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ยกวัดราษฎร์เป็นพระอารามหลวง (วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก)],เล่ม ๑๑๗, ๒๑ ง , ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓, หน้า ๗</ref> ปัจจุบันมี[[พระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล)]] เป็นเจ้าอาวาส<ref>วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก . แหล่งข้อมูล :http://watphraram9.org/about/</ref>


== ก่อนจะมาเป็นวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ==
== ก่อนจะมาเป็นวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ==
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}
สืบเนื่องจากสภาพสังคมไทยในปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งชุมชนบึงพระราม ๙ ก็เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่ปราบปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น อันก่อให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งผลให้เกิดการทำลายสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน กอรปกับแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแหล่งปลายทางรับน้ำเสียจากทุกหนแห่ง ได้เริ่มเสื่อมโทรมลงทุกขณะ หากไม่เร่งแก้ไขปัญหาต่างๆ ก็จะตามมาอย่างไม่หยุดยั้ง
เนื่องจากสภาพสังคมไทยในปัจจุบันมีปัญหาสภาพแวดล้อม ซึ่งจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงมีหลายชุมชนที่ช่วยกันแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม หนึ่งในนั้นคือชุมชนบริเวณ[[บึงพระราม 9]] เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น อันก่อให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งผลให้เกิดการทำลายสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ขณะเดียวกัน [[แม่น้ำเจ้าพระยา]] ซึ่งเป็นแหล่งปลายทางรับน้ำเสียจากทุกแหล่งในประเทศ ก็เริ่มเสื่อมโทรมลงทุกขณะ หากไม่เร่งแก้ไข ปัญหาต่างๆ ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น


พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศชาติ จึงมีพระราชดำริให้ทดลองแก้ไขปัญหาน้ำเสียด้วยวิธีเติมอากาศบริเวณบึงพระราม ในลักษณะเป็นระบบบำบัดน้ำเสียขนาดเล็กและทำการทดสอบการบำบัดน้ำเน่าเสียที่ไหลมาตามคลองลาดพร้าวบางส่วนให้มีคุณภาพดีขึ้น โดยใช้วิธีเติมอากาศลงไปในน้ำและปล่อยให้น้ำตกตะกอนแล้วปรับสภาพก่อนระบายออกสู่ลำคลองตามเดิม รวมทั้งการปรับปรุงคุณภาพน้ำซึ่งเป็นการนำน้ำสะอาดจากแม่น้ำเจ้าพระยามาชะล้างทำความสะอาดคลองและระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยอาศัยจังหวะน้ำขึ้น – น้ำลง ตามธรรมชาติ อันเป็นการบรรเทาปัญหาได้ในระดับหนึ่ง
[[พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร]] ทรงตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงมีพระราชดำริให้ทดลองแก้ไขปัญหาน้ำเสียโดยเติมอากาศบริเวณบึงพระราม 9 เป็นระบบบำบัดน้ำเสียขนาดเล็ก และทดสอบการบำบัดน้ำเสียที่ไหลมาตาม[[คลองลาดพร้าว]]บางส่วนให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นโดยเติมอากาศลงไปในน้ำ และปล่อยให้น้ำตกตะกอน แล้วปรับสภาพ ก่อนระบายออกสู่ลำคลองตามเดิม รวมทั้งนำน้ำสะอาดจากแม่น้ำเจ้าพระยามาชะล้างเพื่อทำความสะอาดคลอง และระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยอาศัยจังหวะ[[น้ำขึ้นลง]]ตามธรรมชาติ เป็นการลดปัญหาน้ำเสียได้ในระดับหนึ่ง


== สวนสาธารณะ คือ ปอด และบึงพระราม ๙ คือไต ของกรุงเทพมหานคร ==
== สวนสาธารณะ คือ ปอด และบึงพระราม ๙ คือไต ของกรุงเทพมหานคร ==
[[ไฟล์:กังหันน้ำชัยพัฒนา.jpeg|left|200px|thumb|กังหันน้ำชัยพัฒนาภายในวัด]]
[[ไฟล์:กังหันน้ำชัยพัฒนา.jpeg|left|200px|thumb|กังหันน้ำชัยพัฒนาภายในวัด]]
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}
จากพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรที่ได้พระราชทานไว้เกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียในเขตกรุงเทพมหานคร โดยการฟอกน้ำเสียให้เป็นน้ำดี ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมาพื้นที่บริเวณบึงพระราม ก็ได้รับการพัฒนาและเป็นตัวอย่างในการบรรเทาแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับน้ำเน่าเสียให้แก่กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวให้ดีขึ้น
จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานไว้เกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียใน[[กรุงเทพมหานคร]] โดยฟอกน้ำเสียให้เป็นน้ำดี หลังจากนั้นเป็นต้นมา พื้นที่บึงพระราม 9 ก็ได้รับการพัฒนาขึ้น เป็นตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาน้ำเสียให้แก่กรุงเทพมหานคร เป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวให้ดีขึ้น


โครงการบึงพระราม จึงได้กำเนิดขึ้น โดยมีการดำเนินงานในเขตที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ติดกับคลองลาดพร้าวฝั่งทิศตะวันตก และด้านใต้จรดกับคลองแสนแสบ มีพื้นที่ประมาณ ๑๓๐ ไร่ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) กรมชลประทาน สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และกรุงเทพมหานคร ร่วมกันดำเนินงานในการเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียที่บึงพระราม ให้มีคุณภาพดีขึ้น เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำเน่าเสียและเป็นการระบายน้ำซึ่งส่งผลต่อสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชุมชนบึงพระราม ให้ดียิ่งขึ้น จวบจนกระทั่งปัจจุบัน
โครงการบึงพระราม 9 จึงได้กำเนิดขึ้น โดยมีการดำเนินงานบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ของ[[สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์]] ติดกับ[[คลองลาดพร้าว]]ฝั่งทิศตะวันตก และติดกับ[[คลองแสนแสบ]]ฝั่งทิศใต้ มีพื้นที่ประมาณ 130 ไร่ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ [[สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ]] [[กรมชลประทาน (ประเทศไทย)|กรมชลประทาน]] [[สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์]] และ[[กรุงเทพมหานคร]] ร่วมกันดำเนินงานในการเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียที่บึงพระราม 9 ให้มีคุณภาพดีขึ้น เพื่อลดปัญหาน้ำเสียและเป็นการระบายน้ำอีกทางหนึ่ง ส่งผลให้สภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชุมชนบึงพระราม 9 ดีขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน


== ศูนย์รวมแห่งจิตใจ กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ==
== ศูนย์รวมแห่งจิตใจ กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ==
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}
เมื่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ตามโครงการบึงพระราม ดำเนินการไปได้ระดับหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงได้พระราชทานพระราชดำริเพิ่มเติม เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๑ ให้มีการดำเนินการปรับปรุงสภาพพื้นที่ และชุมชนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับโครงการบึงพระราม ๙ ดังกล่าว พร้อมกันนั้นก็ให้มีการจัดตั้งวัดขึ้นในที่ดินที่อยู่ใกล้เคียงกัน ซึ่งนางสาวจวงจันทร์ สิงหเสนี ได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนวน ๘ – ๒ – ๕๔ ไร่ และได้รับการอนุญาตให้สร้างวัดจากกรมการศาสนา เมื่อวันที่ สิงหาคม ๒๕๓๔ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร เป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายสงฆ์ และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายฆราวาส ในการนี้ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินงานก่อสร้างวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกขึ้น โดยมีนายจริย์ ตุลยานนท์ กรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการก่อสร้างวัด ทำหน้าที่ในรับผิดชอบในการดำเนินการก่อสร้างวัดให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ ในลักษณะวัดขนาดเล็กที่มีลักษณะเรียบง่าย ประหยัด และทันสมัย เป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ และศรัทธา เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ ทั้งทางศาสนา สังคม และจริยธรรม แก่เยาวชน และประชาชนในชุมชน เพื่อขัดเกลาจิตใจของชุมชนให้มีจิตสำนึกต่อสังคมโดยส่วนรวมอันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป
เมื่อโครงการบึงพระราม 9 ดำเนินการไปได้ระดับหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงมีพระราชดำริเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ให้ปรับปรุงสภาพพื้นที่ และชุมชนใกล้กับโครงการบึงพระราม 9 พร้อมกันนั้นก็ให้จัดตั้งวัดขึ้นในที่ดินใกล้เคียง ซึ่งจวงจันทร์ สิงหเสนี ได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนวน 8-2-54 ไร่ และได้รับการอนุญาตให้สร้างวัดจาก[[กรมการศาสนา]] เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2534 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" โดยมี[[สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร]] เป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายสงฆ์ และ[[สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี]] เป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายฆราวาส ในการนี้ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินงานก่อสร้างวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกขึ้น โดยมีจริย์ ตุลยานนท์ กรรมการ[[มูลนิธิชัยพัฒนา]] เป็นประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการก่อสร้างวัด ทำหน้าที่ในรับผิดชอบในการดำเนินการก่อสร้างวัดให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ คือ เป็นวัดขนาดเล็ก มีลักษณะเรียบง่าย ประหยัด และทันสมัย เป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ และศรัทธา เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ ทั้งทางศาสนา สังคม และจริยธรรม แก่เยาวชน และประชาชนในชุมชน เพื่อขัดเกลาจิตใจของชุมชนให้มีจิตสำนึกต่อสังคมโดยส่วนรวมอันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการเปิดประชุม[[ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์]] ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ความตอนหนึ่งว่า


{{คำพูด|...จุดมุ่งหมายโดยตรงแท้ของศาสนาทั้งปวง และโดยเฉพาะของพระพุทธศาสนามุ่งจะให้บุคคลศึกษาพิจารณาหลักการ และแนวความคิดในศาสนธรรม และน้อมนำมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวและปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการครองชีวิต คือให้เกิดความผาสุก ความร่มเย็น และความเจริญในแต่ละบุคคลในส่วนรวม และให้เกิดความบริสุทธิ์หลุดพ้นอันเป็นปรมัตถประโยชน์ ดังนั้นการบำรุงส่งเสริมพระศาสนาจึงควรจะได้กระทำให้ถูกเป้าหมาย...|พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร}}
ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการเปิดประชุมยุวพุทธิกสมาคม ครั้งที่ ๑๔ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๘ ความตอนหนึ่งดังต่อไปนี้

...จุดมุ่งหมายโดยตรงแท้ของศาสนาทั้งปวง และโดยเฉพาะของพระพุทธศาสนามุ่งจะให้บุคคลศึกษาพิจารณาหลักการ และแนวความคิดในศาสนธรรม และน้อมนำมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวและปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการครองชีวิต คือให้เกิดความผาสุก ความร่มเย็น และความเจริญในแต่ละบุคคลในส่วนรวม และให้เกิดความบริสุทธิ์หลุดพ้นอันเป็นปรมัตถประโยชน์ ดังนั้นการบำรุงส่งเสริมพระศาสนาจึงควรจะได้กระทำให้ถูกเป้าหมาย...


== โปรดให้สร้างด้วยความเรียบง่าย และประหยัด ==
== โปรดให้สร้างด้วยความเรียบง่าย และประหยัด ==
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}
เบื้องต้น คณะอนุกรรมการฝ่ายออกแบบ ได้ออกแบบอาคารศาสนสถานในวัดแห่งนี้ และประมาณราคาการก่อสร้างอยู่ในวงเงินประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท เพื่อให้สมพระเกียรติ เมื่อนำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชกระแสรับสั่งให้ปรับแบบพระอุโบสถและอาคารอื่นๆ ให้มีขนาดเล็กลงจากเดิม มีพระราชประสงค์ให้วัดเล็กๆ โบสถ์เล็กๆ มีกุฏิเล็กๆ ไม่โปรดให้สร้างวัดขนาดใหญ่ และให้ใช้งบประมาณไม่ควรเกิน ๑๐ ล้านบาท นอกจากนี้ สภาพพื้นที่ก็ไม่เหมาะที่จะสร้างเป็นวัดใหญ่ ทรงเน้นว่าให้มีวัดเพื่อให้มีพระไว้สั่งสอนชาวบ้านในบริเวณนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นวัดใหญ่โต เน้นให้สามารถเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนได้เป็นสำคัญ อีกทั้งให้ยึดหลักแห่งความประหยัด เรียบง่ายและเกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงได้ออกแบบที่ง่ายๆ ไม่หรูหรา ซึ่งประกอบด้วยพระอุโบสถ ศาลาอเนกประสงค์ กุฏิเจ้าอาวาส กุฏิพระ จำนวน หลัง หอระฆัง โรงครัว อาคารสะอาด สวยงาม และบริเวณพื้นที่โดยรอบให้ปลูกพันธุ์ไม้นานาชนิดทั้งไม้ป่าและพันธุ์ไม้หายากในลักษณะป่าผสมผสาน เพื่อให้เกิดร่มเงาและความร่มเย็นแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เข้ามาประกอบกิจกรรมทางพุทธศาสนา
เบื้องต้น คณะอนุกรรมการฝ่ายออกแบบ ได้ออกแบบอาคารศาสนสถานในวัดแห่งนี้ และประมาณราคาการก่อสร้างอยู่ในวงเงินประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อให้สมพระเกียรติ แต่เมื่อนำความกราบบังคมทูลแล้ว พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้ปรับแบบพระอุโบสถและอาคารอื่น ๆ ให้มีขนาดเล็กลง เพราะมีพระราชประสงค์ให้เป็นเพียงวัดเล็ก มีโบสถ์เล็ก มีกุฏิเล็ก ไม่โปรดให้สร้างวัดขนาดใหญ่ และให้ใช้งบประมาณไม่เกิน 10 ล้านบาท นอกจากนี้ สภาพพื้นที่ก็ไม่เหมาะที่จะสร้างเป็นวัดใหญ่ ทรงเน้นเพื่อให้มีพระไว้สั่งสอนชาวบ้านในบริเวณบึงพระราม 9 เน้นให้เอื้อประโยชน์ต่อชุมชนเป็นสำคัญ อีกทั้งให้ยึดหลักความประหยัด เรียบง่าย และเกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงได้ออกแบบอย่างง่าย ไม่หรูหรา ประกอบด้วยพระอุโบสถ ศาลาอเนกประสงค์ กุฏิเจ้าอาวาส กุฏิพระ จำนวน 5 หลัง หอระฆัง โรงครัว มีอาคารสะอาด สวยงาม และบริเวณพื้นที่โดยรอบให้ปลูกพันธุ์ไม้นานาชนิดทั้งไม้ป่าและพันธุ์ไม้หายากในลักษณะป่าผสมผสาน เพื่อให้เกิดร่มเงาและความร่มเย็นแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เข้ามาประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา


ในส่วนของพระอุโบสถจะเป็นลักษณะผสมผสานกลมกลืนระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยโบราณผสมผสานกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ซึ่งให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ โดยคำนึงถึงประโยชน์แห่งการใช้สอยเป็นสำคัญ และเมื่อวันที่ ตุลาคม ๒๕๔๐ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศตั้งวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นวัดในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์
ในส่วนของพระอุโบสถ จะเป็นลักษณะผสมผสานกลมกลืนระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยโบราณผสมผสานกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ก่อให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ โดยคำนึงถึงประโยชน์แห่งการใช้สอยเป็นสำคัญ และเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2540 [[กระทรวงศึกษาธิการ (ประเทศไทย)|กระทรวงศึกษาธิการ]]จึงได้ประกาศตั้งวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นวัดในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์


ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยกฐานะวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกเป็นพระอารามหลวงเป็นกรณีพิเศษ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา รอบ ธันวาคม ๒๕๔๒ ซึ่งได้ผ่านมติของมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๒ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยกฐานะวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีเป็นกรณีพิเศษ เนื่องในโอกาส[[พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542]] และได้ผ่านความเห็นชอบของ[[มหาเถรสมาคม]]เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2542


== บันทึกการก่อสร้าง ==
== บันทึกการก่อสร้าง ==
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}
การดำเนินการก่อสร้าง วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เริ่มดำเนินการโดยการถมดินปรับพื้นที่โครงการก่อสร้างวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ที่บริเวณบึงพระราม แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร นับตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ และเริ่มงานก่อสร้างอาคารวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙
การดำเนินการก่อสร้าง วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เริ่มดำเนินการโดยการถมดินปรับพื้นที่โครงการก่อสร้างที่บริเวณบึงพระราม 9 แขวงห้วยขวาง [[เขตห้วยขวาง]] [[กรุงเทพมหานคร]] ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 และเริ่มงานก่อสร้างเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539


จากนั้น เมื่อวันจันทร์ที่ กรกฎาคม ๒๕๓๙ เวลาประมาณ ๖.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก และทรงเปิดอาคารเรียน โรงเรียนวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
จากนั้น เมื่อวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 เวลาประมาณ 6:00 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้[[สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี]] เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ และทรงเปิดอาคารเรียน [[โรงเรียนพระราม ๙ กาญจนาภิเษก]]


== อาณาเขตที่ตั้งวัด ==
== อาณาเขตที่ตั้งวัด ==
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}
วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ตั้งอยู่ เลขที่ ๙๙๙ ถนนพระราม ซอย ๑๙ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เดิมเป็นที่ลุ่มว่างเปล่า ขอบเขตที่ดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อที่ทั้งหมด – ๕๔ ไร่ด้านทิศเหนือ ยาว ๒๓๔ เมตร ติดกับโรงเรียนสมาคมไทยญี่ปุ่น และที่ว่างเปล่าของเอกชน ด้านทิศตะวันออก ยาว ๖๑. เมตร ติดคลองลาดพร้าว ด้านทิศใต้ ยาว ๒๑๗ เมตร ติดกับที่ดินที่กันไว้เป็นถนนทางเข้า ด้านทิศตะวันตก ยาว ๖๕ เมตร ติดกับโรงเรียนพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ของกรุงเทพมหานคร
วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ตั้งอยู่ที่เลขที่ 999 [[ถนนพระราม 9]] ซอย 19 แขวงห้วยขวาง [[เขตห้วยขวาง]] [[กรุงเทพมหานคร]] เดิมเป็นที่ลุ่มว่างเปล่า ขอบเขตที่ดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อที่ทั้งหมด 8-2-54 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ดังต่อไปนี้
* ทิศเหนือ ยาว 234 เมตร ติดกับ[[โรงเรียนสมาคมไทย-ญี่ปุ่น]] และพื้นที่ว่างเปล่าของเอกชน
* ทิศตะวันออก ยาว 61.5 เมตร ติดกับ[[คลองลาดพร้าว]]
* ทิศใต้ ยาว 217 เมตร ติดกับที่ดินที่กันไว้เป็นถนนทางเข้า-ออกจากถนนพระราม 9 ซอย 19
* ทิศตะวันตก ยาว 65 เมตร ติดกับ[[โรงเรียนพระราม ๙ กาญจนาภิเษก]] ของ[[กรุงเทพมหานคร]]


== พระอุโบสถ : ปฐมเหตุแห่งความประหยัด==
== พระอุโบสถ : ปฐมเหตุแห่งความประหยัด==
[[ไฟล์:วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก (2).jpeg|left|200px|thumb|พระอุโบสถ]]
[[ไฟล์:วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก (2).jpeg|left|200px|thumb|พระอุโบสถ]]
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}
แรกเริ่ม การออกแบบพระอุโบสถ นาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสถาปัตยกรรม สถาปนิก ๑๐ กรมศิลปากร (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร) ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมในวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ได้นำแบบพระอุโบสถขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทอดพระเนตร มีรับสั่งให้ย่อลง ให้มีขนาดกะทัดรัด สอดคล้องกับลักษณะของชุมชน ด้วยไม่โปรดสิ่งที่ใหญ่โตเกินความจำเป็น
แรกเริ่ม การออกแบบพระอุโบสถ นาวาอากาศเอก [[อาวุธ เงินชูกลิ่น]] ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสถาปัตยกรรม สถาปนิก 10 [[กรมศิลปากร]] (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร) ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมในวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ได้นำแบบพระอุโบสถขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หลังจากทอดพระเนตรแล้ว มีพระราชกระแสรับสั่งให้ย่อลง ให้กะทัดรัด สอดคล้องกับลักษณะของชุมชน ด้วยไม่โปรดให้ใหญ่โตเกินความจำเป็น


มีพระราชประสงค์ให้วัดนี้เป็นวัดของชุมชนพระราม เพื่อให้ประกอบศาสนกิจ จากเดิมที่ออกแบบให้ภายในพระอุโบสถจุคนได้ ๑๐๐ คนเศษ ทรงให้ลดเหลือเพียง ๓๐ — ๔๐ คน ลดงบประมาณจากที่ตั้งไว้ เดิม ๕๗ ล้านบาท เป็นไม่เกิน ล้านบาท เหล่านี้ ชี้ให้เห็นพระราชนิยมที่ประหยัด เรียบง่าย เน้นเพียงการใช้ประโยชน์สูงสุดที่สำคัญ และมีพระราชประสงค์ให้เป็นตัวอย่างของการสร้างวัดสำหรับชุมชนอีกด้วย
มีพระราชประสงค์ให้วัดนี้เป็นวัดของชุมชนบึงพระราม 9 เพื่อประกอบศาสนกิจ จากเดิมที่ออกแบบให้ภายในพระอุโบสถจุคนได้ 100 คนเศษ ทรงให้ลดเหลือเพียง 30-40 คน ลดงบประมาณจากที่ตั้งไว้ เดิม 57 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 3 ล้านบาท ชี้ให้เห็นพระราชนิยมที่ประหยัด เรียบง่าย เน้นเพียงการใช้ประโยชน์สูงสุดที่สำคัญ และมีพระราชประสงค์ให้เป็นตัวอย่างของการสร้างวัดสำหรับชุมชนอีกด้วย
นาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น จึงน้อมรับพระราชกระแสมาออกแบบพระอุโบสถใหม่ โดยเน้นประโยชน์ในอาคารอย่างคุ้มค่า วัสดุก่อสร้างทั้งหมดเป็นของที่ผลิตในประเทศ ส่วนรูปแบบทางศิลปกรรมเป็นการผสมผสานรูปแบบอย่างสถาปัตยกรรมปัจจุบัน โดยได้ต้นเค้าจากพระอุโบสถวัดต่างๆ ดังนี้
นาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น จึงน้อมรับพระราชกระแสรับสั่งดังกล่าว มาออกแบบเป็นพระอุโบสถใหม่ โดยเน้นประโยชน์ในอาคารอย่างคุ้มค่า วัสดุก่อสร้างทั้งหมดผลิตในประเทศ ส่วนรูปแบบทางศิลปกรรมเป็นการผสมผสานรูปแบบอย่างสถาปัตยกรรมปัจจุบัน โดยได้ต้นเค้าจากพระอุโบสถวัดต่างๆ ดังนี้


- พระอุโบสถวัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร เช่น รูปทรงเสาของเสาอุโบสถ
- พระอุโบสถ [[วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร]] [[กรุงเทพมหานคร]] เช่น รูปทรงเสาอุโบสถ
- พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์จังหวัดนครปฐม เช่น ความเรียบง่ายและมุขประเจิด
- พระอุโบสถ [[วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร]] [[จังหวัดนครปฐม]] เช่น ความเรียบง่าย มุขประเจิด


- พระอุโบสถวัดเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนนทบุรี
- พระอุโบสถ [[วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร]] [[จังหวัดนนทบุรี]] ซึ่งเป็นต้นแบบในการผูกลายปูนปั้นประดับหน้าบัน


ซึ่งเป็นต้นแบบในการผูกลายปูนปั้นประดับหน้าบัน โครงสร้างอุโบสถวันพระราม ๙ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหลังคมมุงกระเบื้องทำด้วยแผ่นเหล็กสีขาว องค์ประกอบเครื่องบนหลังคาเป็นปูนปั้นลายดอกพุดตาน ประดับหน้าบันด้วยลายปูนปั้นปิดทองเฉพาะที่ตราพระราชลัญจกร ประจำพระองค์รัชกาลที่ ช่อฟ้า ใบระกาเป็นลวดลายปูนปั้นไม่ปิดทองประดับกระจก ผนังและเสาก่ออิฐฉาบปูนเรียบทาสีขาว บานประตูหน้าต่างใช้กรอบอะลูมิเนียม ลูกฟักเป็นกระจก เพดานพระอุโบสถเป็นเพดานไม้เรียบ แต่ได้มีผู้มีจิตศรัทธาถวายโคมระย้าเป็นพุทธบูชาประดับไว้แทนรวม ช่อ
โครงสร้างอุโบสถ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคามุงกระเบื้องทำด้วยแผ่นเหล็กสีขาว องค์ประกอบเครื่องบนหลังคาเป็นปูนปั้นลาย[[ดอกพุดตาน]] ประดับหน้าบันด้วยลายปูนปั้นปิดทองเฉพาะที่ตรา[[พระราชลัญจกรประจำรัชกาล]]ที่ 9 ช่อฟ้า ใบระกา เป็นลวดลายปูนปั้น ไม่ปิดทองประดับกระจก ผนังและเสาก่ออิฐฉาบปูนเรียบทาสีขาว บานประตูหน้าต่างใช้กรอบอะลูมิเนียม ลูกฟักเป็นกระจก เพดานพระอุโบสถเป็นเพดานไม้เรียบ แต่ได้มีผู้มีจิตศรัทธาถวายโคมระย้าเป็นพุทธบูชาประดับไว้แทนรวม 4 ช่อ


สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดให้จารึกคาถาเยธมมาฯ ที่นี้ ใช้อักษรอริยกะ ซึ่งเป็นอักษรที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงประดิษฐ์ขึ้น แบบเดียวกับที่พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์
[[สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี]] โปรดให้จารึกคาถา เย ธมฺมาฯ ซึ่งในที่นี้ใช้[[อักษรอริยกะ]] ที่[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงประดิษฐ์ขึ้น แบบเดียวกับที่พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์


== ข้อมูลจำเพาะ ==
== ข้อมูลจำเพาะ ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:48, 29 มีนาคม 2563

วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
พระอุโบสถ
แผนที่
ชื่อสามัญวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก[1]
ที่ตั้งเลขที่ 999 ซอยพระราม 9 ซอย 19 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
ประเภทพระอารามหลวงกรณีพิเศษ
นิกายเถรวาท (ธรรมยุติกนิกาย)
พระประธานพระพุทธกาญจนธรรมสถิต
เจ้าอาวาสพระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล)
เว็บไซต์http://watphraram9.org/
พระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา

วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นวัดของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชดำริให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2538 ตั้งอยู่เลขที่ 999 พระราม 9 ซอย 19 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เป็นวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา[2] และได้รับการยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีเป็นกรณีพิเศษในตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2542[3] ปัจจุบันมีพระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล) เป็นเจ้าอาวาส[4]

ก่อนจะมาเป็นวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก

เนื่องจากสภาพสังคมไทยในปัจจุบันมีปัญหาสภาพแวดล้อม ซึ่งจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงมีหลายชุมชนที่ช่วยกันแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม หนึ่งในนั้นคือชุมชนบริเวณบึงพระราม 9 เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น อันก่อให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งผลให้เกิดการทำลายสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ขณะเดียวกัน แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแหล่งปลายทางรับน้ำเสียจากทุกแหล่งในประเทศ ก็เริ่มเสื่อมโทรมลงทุกขณะ หากไม่เร่งแก้ไข ปัญหาต่างๆ ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงมีพระราชดำริให้ทดลองแก้ไขปัญหาน้ำเสียโดยเติมอากาศบริเวณบึงพระราม 9 เป็นระบบบำบัดน้ำเสียขนาดเล็ก และทดสอบการบำบัดน้ำเสียที่ไหลมาตามคลองลาดพร้าวบางส่วนให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นโดยเติมอากาศลงไปในน้ำ และปล่อยให้น้ำตกตะกอน แล้วปรับสภาพ ก่อนระบายออกสู่ลำคลองตามเดิม รวมทั้งนำน้ำสะอาดจากแม่น้ำเจ้าพระยามาชะล้างเพื่อทำความสะอาดคลอง และระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยอาศัยจังหวะน้ำขึ้นลงตามธรรมชาติ เป็นการลดปัญหาน้ำเสียได้ในระดับหนึ่ง

สวนสาธารณะ คือ ปอด และบึงพระราม ๙ คือไต ของกรุงเทพมหานคร

กังหันน้ำชัยพัฒนาภายในวัด

จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานไว้เกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียในกรุงเทพมหานคร โดยฟอกน้ำเสียให้เป็นน้ำดี หลังจากนั้นเป็นต้นมา พื้นที่บึงพระราม 9 ก็ได้รับการพัฒนาขึ้น เป็นตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาน้ำเสียให้แก่กรุงเทพมหานคร เป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวให้ดีขึ้น

โครงการบึงพระราม 9 จึงได้กำเนิดขึ้น โดยมีการดำเนินงานบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ติดกับคลองลาดพร้าวฝั่งทิศตะวันตก และติดกับคลองแสนแสบฝั่งทิศใต้ มีพื้นที่ประมาณ 130 ไร่ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กรมชลประทาน สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และกรุงเทพมหานคร ร่วมกันดำเนินงานในการเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียที่บึงพระราม 9 ให้มีคุณภาพดีขึ้น เพื่อลดปัญหาน้ำเสียและเป็นการระบายน้ำอีกทางหนึ่ง ส่งผลให้สภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชุมชนบึงพระราม 9 ดีขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน

ศูนย์รวมแห่งจิตใจ กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม

เมื่อโครงการบึงพระราม 9 ดำเนินการไปได้ระดับหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงมีพระราชดำริเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ให้ปรับปรุงสภาพพื้นที่ และชุมชนใกล้กับโครงการบึงพระราม 9 พร้อมกันนั้นก็ให้จัดตั้งวัดขึ้นในที่ดินใกล้เคียง ซึ่งจวงจันทร์ สิงหเสนี ได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนวน 8-2-54 ไร่ และได้รับการอนุญาตให้สร้างวัดจากกรมการศาสนา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2534 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า "วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก" โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร เป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายสงฆ์ และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายฆราวาส ในการนี้ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินงานก่อสร้างวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกขึ้น โดยมีจริย์ ตุลยานนท์ กรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการก่อสร้างวัด ทำหน้าที่ในรับผิดชอบในการดำเนินการก่อสร้างวัดให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ คือ เป็นวัดขนาดเล็ก มีลักษณะเรียบง่าย ประหยัด และทันสมัย เป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ และศรัทธา เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ ทั้งทางศาสนา สังคม และจริยธรรม แก่เยาวชน และประชาชนในชุมชน เพื่อขัดเกลาจิตใจของชุมชนให้มีจิตสำนึกต่อสังคมโดยส่วนรวมอันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการเปิดประชุมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ความตอนหนึ่งว่า

...จุดมุ่งหมายโดยตรงแท้ของศาสนาทั้งปวง และโดยเฉพาะของพระพุทธศาสนามุ่งจะให้บุคคลศึกษาพิจารณาหลักการ และแนวความคิดในศาสนธรรม และน้อมนำมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวและปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการครองชีวิต คือให้เกิดความผาสุก ความร่มเย็น และความเจริญในแต่ละบุคคลในส่วนรวม และให้เกิดความบริสุทธิ์หลุดพ้นอันเป็นปรมัตถประโยชน์ ดังนั้นการบำรุงส่งเสริมพระศาสนาจึงควรจะได้กระทำให้ถูกเป้าหมาย...

— พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

โปรดให้สร้างด้วยความเรียบง่าย และประหยัด

เบื้องต้น คณะอนุกรรมการฝ่ายออกแบบ ได้ออกแบบอาคารศาสนสถานในวัดแห่งนี้ และประมาณราคาการก่อสร้างอยู่ในวงเงินประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อให้สมพระเกียรติ แต่เมื่อนำความกราบบังคมทูลแล้ว พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้ปรับแบบพระอุโบสถและอาคารอื่น ๆ ให้มีขนาดเล็กลง เพราะมีพระราชประสงค์ให้เป็นเพียงวัดเล็ก มีโบสถ์เล็ก มีกุฏิเล็ก ไม่โปรดให้สร้างวัดขนาดใหญ่ และให้ใช้งบประมาณไม่เกิน 10 ล้านบาท นอกจากนี้ สภาพพื้นที่ก็ไม่เหมาะที่จะสร้างเป็นวัดใหญ่ ทรงเน้นเพื่อให้มีพระไว้สั่งสอนชาวบ้านในบริเวณบึงพระราม 9 เน้นให้เอื้อประโยชน์ต่อชุมชนเป็นสำคัญ อีกทั้งให้ยึดหลักความประหยัด เรียบง่าย และเกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงได้ออกแบบอย่างง่าย ไม่หรูหรา ประกอบด้วยพระอุโบสถ ศาลาอเนกประสงค์ กุฏิเจ้าอาวาส กุฏิพระ จำนวน 5 หลัง หอระฆัง โรงครัว มีอาคารสะอาด สวยงาม และบริเวณพื้นที่โดยรอบให้ปลูกพันธุ์ไม้นานาชนิดทั้งไม้ป่าและพันธุ์ไม้หายากในลักษณะป่าผสมผสาน เพื่อให้เกิดร่มเงาและความร่มเย็นแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เข้ามาประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา

ในส่วนของพระอุโบสถ จะเป็นลักษณะผสมผสานกลมกลืนระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยโบราณผสมผสานกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ก่อให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ โดยคำนึงถึงประโยชน์แห่งการใช้สอยเป็นสำคัญ และเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2540 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศตั้งวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นวัดในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยกฐานะวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีเป็นกรณีพิเศษ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 และได้ผ่านความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2542

บันทึกการก่อสร้าง

การดำเนินการก่อสร้าง วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เริ่มดำเนินการโดยการถมดินปรับพื้นที่โครงการก่อสร้างที่บริเวณบึงพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 และเริ่มงานก่อสร้างเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539

จากนั้น เมื่อวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 เวลาประมาณ 6:00 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ และทรงเปิดอาคารเรียน โรงเรียนพระราม ๙ กาญจนาภิเษก

อาณาเขตที่ตั้งวัด

วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ตั้งอยู่ที่เลขที่ 999 ถนนพระราม 9 ซอย 19 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เดิมเป็นที่ลุ่มว่างเปล่า ขอบเขตที่ดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อที่ทั้งหมด 8-2-54 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ดังต่อไปนี้

พระอุโบสถ : ปฐมเหตุแห่งความประหยัด

พระอุโบสถ

แรกเริ่ม การออกแบบพระอุโบสถ นาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสถาปัตยกรรม สถาปนิก 10 กรมศิลปากร (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร) ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมในวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ได้นำแบบพระอุโบสถขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หลังจากทอดพระเนตรแล้ว มีพระราชกระแสรับสั่งให้ย่อลง ให้กะทัดรัด สอดคล้องกับลักษณะของชุมชน ด้วยไม่โปรดให้ใหญ่โตเกินความจำเป็น

มีพระราชประสงค์ให้วัดนี้เป็นวัดของชุมชนบึงพระราม 9 เพื่อประกอบศาสนกิจ จากเดิมที่ออกแบบให้ภายในพระอุโบสถจุคนได้ 100 คนเศษ ทรงให้ลดเหลือเพียง 30-40 คน ลดงบประมาณจากที่ตั้งไว้ เดิม 57 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 3 ล้านบาท ชี้ให้เห็นพระราชนิยมที่ประหยัด เรียบง่าย เน้นเพียงการใช้ประโยชน์สูงสุดที่สำคัญ และมีพระราชประสงค์ให้เป็นตัวอย่างของการสร้างวัดสำหรับชุมชนอีกด้วย

นาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น จึงน้อมรับพระราชกระแสรับสั่งดังกล่าว มาออกแบบเป็นพระอุโบสถใหม่ โดยเน้นประโยชน์ในอาคารอย่างคุ้มค่า วัสดุก่อสร้างทั้งหมดผลิตในประเทศ ส่วนรูปแบบทางศิลปกรรมเป็นการผสมผสานรูปแบบอย่างสถาปัตยกรรมปัจจุบัน โดยได้ต้นเค้าจากพระอุโบสถวัดต่างๆ ดังนี้

- พระอุโบสถ วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เช่น รูปทรงเสาอุโบสถ

- พระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม เช่น ความเรียบง่าย มุขประเจิด

- พระอุโบสถ วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นต้นแบบในการผูกลายปูนปั้นประดับหน้าบัน

โครงสร้างอุโบสถ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคามุงกระเบื้องทำด้วยแผ่นเหล็กสีขาว องค์ประกอบเครื่องบนหลังคาเป็นปูนปั้นลายดอกพุดตาน ประดับหน้าบันด้วยลายปูนปั้นปิดทองเฉพาะที่ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 9 ช่อฟ้า ใบระกา เป็นลวดลายปูนปั้น ไม่ปิดทองประดับกระจก ผนังและเสาก่ออิฐฉาบปูนเรียบทาสีขาว บานประตูหน้าต่างใช้กรอบอะลูมิเนียม ลูกฟักเป็นกระจก เพดานพระอุโบสถเป็นเพดานไม้เรียบ แต่ได้มีผู้มีจิตศรัทธาถวายโคมระย้าเป็นพุทธบูชาประดับไว้แทนรวม 4 ช่อ

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดให้จารึกคาถา เย ธมฺมาฯ ซึ่งในที่นี้ใช้อักษรอริยกะ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ขึ้น แบบเดียวกับที่พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์

ข้อมูลจำเพาะ

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น