ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร"
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 30: | บรรทัด 30: | ||
| หมายเหตุ = |
| หมายเหตุ = |
||
}} |
}} |
||
'''พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร''' เป็นพระที่นั่งองค์ใหม่ใน[[พระบรมมหาราชวัง]] ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ[[พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท]] ใน[[เขตพระราชฐานชั้นใน]] สร้างขึ้นในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช]] มีลักษณะเป็นพระที่นั่ง ๒ องค์สร้างซ้อนกัน คือ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร และ[[พระที่นั่งเทวารัณยสถาน]] |
|||
== ประวัติ == |
== ประวัติ == |
||
พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระที่นั่งองค์ใหม่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในเขตพระราชฐานชั้นใน สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีลักษณะเป็นพระที่นั่ง ๒ องค์สร้างซ้อนกัน คือ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร และพระที่นั่งเทวารัณยสถาน อันเป็นรูปแบบหนึ่งของพระที่นั่งหรือที่เสด็จออกมหาสมาคม ซึ่งตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา นิยมสร้างพระที่นั่งเป็นหมู่แบ่งตามห้องที่ใช้ประโยชน์ และพระราชทานนามแต่ละห้องว่าพระที่นั่งเหมือนกัน โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานกระแสพระราชดำริประกอบการออกแบบก่อสร้างสรุปได้ว่า ควรจัดให้มีห้องสำหรับพระราชทานเลี้ยง เพื่อเป็นเกียรติแก่ประมุขของนานาประเทศที่เขามาเยี่ยมประเทศไทย บางครั้งจำเป็นต้องเชิญพระราชวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐบาล ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน คณะทูตานุทูต และบรรดาผู้เกี่ยวข้องโดยทั่วถึง ซึ่งจะต้องให้สามารถจัดเลี้ยงได้ระหว่าง ๒๐๐ – ๒๕๐ คน |
พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระที่นั่งองค์ใหม่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในเขตพระราชฐานชั้นใน สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีลักษณะเป็นพระที่นั่ง ๒ องค์สร้างซ้อนกัน คือ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร และพระที่นั่งเทวารัณยสถาน อันเป็นรูปแบบหนึ่งของพระที่นั่งหรือที่เสด็จออกมหาสมาคม ซึ่งตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา นิยมสร้างพระที่นั่งเป็นหมู่แบ่งตามห้องที่ใช้ประโยชน์ และพระราชทานนามแต่ละห้องว่าพระที่นั่งเหมือนกัน โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานกระแสพระราชดำริประกอบการออกแบบก่อสร้างสรุปได้ว่า ควรจัดให้มีห้องสำหรับพระราชทานเลี้ยง เพื่อเป็นเกียรติแก่ประมุขของนานาประเทศที่เขามาเยี่ยมประเทศไทย บางครั้งจำเป็นต้องเชิญพระราชวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐบาล ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน คณะทูตานุทูต และบรรดาผู้เกี่ยวข้องโดยทั่วถึง ซึ่งจะต้องให้สามารถจัดเลี้ยงได้ระหว่าง ๒๐๐ – ๒๕๐ คน |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:42, 14 กุมภาพันธ์ 2563
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร | |
---|---|
Borom Ratchasathit Mahoran Banquet Hall | |
ข้อมูลทั่วไป | |
ประเภท | พระที่นั่ง |
สถาปัตยกรรม | เป็นตึกแบบตะวันตก |
เมือง | กรุงเทพมหานคร |
ประเทศ | ประเทศไทย |
ปรับปรุง | พ.ศ. 2537 |
ผู้สร้าง | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ข้อมูลทางเทคนิค | |
โครงสร้าง | เป็นตึกแบบตะวันตก มีเครื่องหลังคาและหน้าต่างเป็นแบบไทย ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ |
พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร เป็นพระที่นั่งองค์ใหม่ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในเขตพระราชฐานชั้นใน สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีลักษณะเป็นพระที่นั่ง ๒ องค์สร้างซ้อนกัน คือ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร และพระที่นั่งเทวารัณยสถาน
ประวัติ
พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระที่นั่งองค์ใหม่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในเขตพระราชฐานชั้นใน สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีลักษณะเป็นพระที่นั่ง ๒ องค์สร้างซ้อนกัน คือ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร และพระที่นั่งเทวารัณยสถาน อันเป็นรูปแบบหนึ่งของพระที่นั่งหรือที่เสด็จออกมหาสมาคม ซึ่งตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา นิยมสร้างพระที่นั่งเป็นหมู่แบ่งตามห้องที่ใช้ประโยชน์ และพระราชทานนามแต่ละห้องว่าพระที่นั่งเหมือนกัน โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานกระแสพระราชดำริประกอบการออกแบบก่อสร้างสรุปได้ว่า ควรจัดให้มีห้องสำหรับพระราชทานเลี้ยง เพื่อเป็นเกียรติแก่ประมุขของนานาประเทศที่เขามาเยี่ยมประเทศไทย บางครั้งจำเป็นต้องเชิญพระราชวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐบาล ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน คณะทูตานุทูต และบรรดาผู้เกี่ยวข้องโดยทั่วถึง ซึ่งจะต้องให้สามารถจัดเลี้ยงได้ระหว่าง ๒๐๐ – ๒๕๐ คน
เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น ประมาณ ๒,๖๐๐ ล้านบาท โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ในขณะนั้น) เสด็จแทนพระองค์ใน พระราชพิธีสมโภชพระที่นั่ง เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ และงานแรกที่จัดขึ้นในพระที่นั่งองค์นี้ คือ งานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ แด่สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีต่างประเทศ พร้อมทั้งบุคคลสำคัญ เนื่องในงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙
สถาปัตยกรรม
เป็นอาคารแบบยุโรปทั้งภายนอกและภายใน เป็นพระที่นั่ง ๒ ชั้น ชั้นล่างเป็นที่พำนักของข้าราชบริพาร ชั้นบนมี ๓ ห้อง ได้แก่ ห้องกลาง เรียกว่า "ห้องเหลือง" เคยใช้เป็นที่เสด็จออกรับแขกเมือง เช่น ดยุคออฟเยนัว พระอนุชาของสมเด็จพระบรมราชินีในสมเด็จพระราชาธิบดีคาละคัว แห่งฮาวาย เมื่อครั้งยังไม่ได้ขึ้นอยู่กับสหรัฐอเมริกา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๓
ห้องต่าง ๆ ภายในพระที่นั่ง
- ห้องกลาง เป็นห้องใหญ่ เรียกกันว่า "ห้องเหลือง" เคยใช้เป็นที่รับรองแขกผู้มีเกียรติ และยังใช้ประกอบพระราชพิธีหรืองานพระราชกุศลภายในด้วย เช่น งานพระราชกุศลคล้ายวันสิ้นพระชนม์ใน สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และ สมเด็จเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ จะจัดที่ห้องเหลืองนี้เป็นประจำ
- ห้องด้านตะวันออก เรียกว่า "ห้องน้ำเงิน" เป็นห้องทรงพระสำราญ พระอัครมเหสีและเจ้านายและพระบรมวงศ์ที่ใกล้ชิดเข้าเฝ้าฯ ณ ห้องนี้ อีกทั้งเป็นที่ที่เคยโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระอัครมเหสีเสด็จออกรับแขกในบางโอกาส ภายในห้องเป็นที่ประดิษฐานเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชศิราภรณ์ พระมาลา เครื่องราชูปโภค พระแสง และสิ่งมีค่าอื่น ๆ และยังมีรูปเขียน เรื่อง "อิเหนา" ประดับที่ฝาผนังด้วย
- ห้องด้านตะวันตก เรียกว่า "ห้องเขียว" เป็นห้องทรงพระสำราญเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย และเป็นห้องเสวยฝ่ายใน
สถาปัตยกรรมของพระที่นั่งองค์ใหม่
องค์พระที่นั่งเป็นตึกแบบตะวันตก มีเครื่องหลังคาและหน้าต่างเป็นแบบไทย ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ ทำหลังคาเป็นจั่วยื่นออกมาเป็นมุขต่อกัน ด้านใต้ ๓ มุข ด้านตะวันออกและด้านตะวันตกด้านละ ๒ มุข หลังคาแต่ละมุขซ้อนเป็นหลังคาลดมุขละ ๓ ชั้นประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ที่หน้าบันประดับพระบรมราชสัญลักษณ์จักรีล้อมด้วยสังวาลนพรัตน์ และพระราชลัญจกรประจำรัชกาลปัจจุบัน มีคชสีห์และราชสีห์ประคองฉัตร ๗ ชั้นประดับอยู่ทั้ง ๒ ข้าง พร้อมสาหร่ายรวงผึ้งอยู่ตอนล่างของหน้าบัน
ภายในพระที่นั่ง
ภายในชั้นใต้ดินทั้ง ๒ ชั้นเป็นห้องควบคุมระบบต่าง ๆ อย่างทันสมัย เช่น ห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ห้องระบบไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ ห้องเก็บและเตรียมอาหาร ตลอดจนห้องเก็บพัสดุต่าง ๆ ชั้นบนดินชั้นล่างเป็นโถงเทียบรถยนต์ บนยอดกรอบพระทวารเข้าสู่ภายในประดับอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร.
ชั้นล่างมีโถงอัฒจันทร์ขึ้นสู่พระที่นั่งชั้น ๒ ทั้ง ๒ ฝั่ง ตามผนังมีตู้เครื่องลายครามประดับอยู่เป็นระยะ ทั้งยังมีส่วนเชื่อมสามารถเดินไปยังชั้นใต้ต่ำของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทองค์กลางได้ เมื่อขึ้นสู่พระที่นั่งชั้น ๒ จะพบกับโถงกลาง เป็นโถงอัฒจันทร์ใหญ่ เบื้องกลางเป็นที่ตั้งของงานประณีตศิลป์ชิ้นเอก คือบุษบกทองคำลงยาประกอบท้ายเกริน บนฐานไม้แกะสลักประดับปีกแมลงทับ พร้อมทั้งสัปคับทองคำ ๒ กูบ ฝีมือสมาชิกมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ด้านทิศเหนือมีช่องพระทวารรูปโค้ง ๓ ช่อง ไปสู่อัฒจันทร์จำนวน ๙ ขั้นอยู่เบื้องกลาง พร้อมบันไดเลื่อนขนาบสองข้าง ลงไปยังท้องพระโรงหลังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
ในท้องพระโรงหลังนั้นผนังทาสีเขียวเข้ม ผนังด้านเหนือ มีพระทวารไปสู่ท้องพระโรงกลาง ตรงกลางผนังมีกระจกบานใหญ่อยู่ในกรอบประดับตราแผ่นดินในรัชกาลที่ ๕ พร้อมโคมไฟประดับขนาบสองข้าง ผนังด้านตะวันตกและตะวันออกเป็นพระบัญชรบานกระจกด้านบนประดับกระจกสี สุดผนังทั้ง ๒ ด้านมีพระทวารไปสู่พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ และสมมติเทวราชอุปบัติ บนเพดานทาสีครีม ชมพู ฟ้า และแดง ประดับปูนปั้นเป็นลายพรรณพฤกษาอย่างฝรั่ง พร้อมอักษรพระปรมาภิไธย ส.พ.ป.ม.จ. (สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์) ในรัชกาลที่ ๕ ตรงกึ่งกลางเพดานแขวนช่อไฟโคมระย้า
โถงอัฒจันทร์พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬารที่โถงอัฒจันทร์ขึ้นไปสู่ชั้น ๓ เป็นอัฒจันทร์ที่ทอดแนวแยกสองทางไปตามทางเหนือและใต้ บนผนังด้านตะวันตก ประดับบานประตูไม้แกะสลักขนาดใหญ่ฝีมือสมาชิกมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เช่นกัน ในโถงนี้มีเสาหินอ่อนแกะสลักขนาดใหญ่อยู่หลายต้น
ทางด้านใต้ มีเฉลียงทางเดิน ตกแต่งด้วยตู้จัดเครื่องลายครามและเครื่องกระเบื้อง พร้อมทั้งสัปคับทำด้วยไม้แกะสลักฝีมือสมาชิกมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ถัดเข้าไปเป็นห้องจัดงานพระราชทานเลี้ยง พระทวารเข้าสู่ห้องเสวยมี ๓ ช่อง ทำเป็นรูปโค้งห้อยม่านสองไขอย่างยุโรป ภายในห้องเป็นท้องพระโรงขนาดใหญ่ผนังทาสีขาวนวล เพดานโค้งบรรจบเข้าเป็นโดมรูปรี สูงกินพื้นที่ไปยังชั้นบนสุด ประดับลวดลายปูนปั้นปิดทองบ้าง ปูนปั้นทาสีบ้าง พร้อมทั้งเสาหินอ่อน และหินอ่อนสลักลายบ้าง
ครั้นมองขึ้นไปยังเฉลียงชั้นบนสุด ด้านตะวันตกและตะวันออก จะแลเห็นเหล็กดัดเป็นลวดลายอย่างฝรั่ง ผนึกหินอ่อนสีเหลืองอ่อน จารึกอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ในวงจักรของพระบรมราชสัญลักษณ์จักรี ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ อีกฝั่งหนึ่งเป็นอักษรพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. ในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ บนเพดานของท้องพระโรงใหญ่ เบื้องกลางแขวนโคมระย้าแก้วขนาดมหึมาจำนวน ๑ โคม มีโคมระย้าแก้วขนาดใหญ่เป็นบริวารอีก ๔ โคม ส่วนที่เป็นโลหะขอบโคมฉลุอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ส่วนพื้นที่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกของท้องพระโรง มีเพดานต่ำ แขวนโคมระย้าแก้วขนาดย่อม
บนชั้น ๓ มีเฉลียงทางเดินโดยรอบ ทางด้านใต้มีมุขเด็จยื่นออกมาจากเฉลียงทางเดินเป็นส่วนสำหรับเสด็จออกมหาสมาคม ห้องต่างๆ บนชั้นนี้ก็มีหน้าที่ใช้สอยต่างๆ กันไป มีห้องทรงสำราญพระราชอิริยาบถ เป็นอาทิเครื่องตกแต่งพระที่นั่งองค์นี้ส่วนใหญ่เป็นงานประณีตศิลป์ชิ้นเอกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ นอกจากนั้นก็เป็นเครื่องลายครามและต้นไม้ในกระถางประดับอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. บ้าง พระบรมราชสัญลักษณ์จักรีบ้าง สลับกันไป
อ้างอิง
- ชัชพล ไชยพร, พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร, ศิลปวัฒนธรรม, สิงหาคม พ.ศ. 2549, ปีที่ 27, ฉบับที่ 10
แหล่งข้อมูลอื่น
- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากลองดูแมป หรือเฮียวีโก
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์
พิกัดภูมิศาสตร์: 13°44′58″N 100°29′29″E / 13.749359°N 100.4913°E