ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ดนตรีสมัยบารอก"
ป้ายระบุ: ทำกลับ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
'''ดนตรี |
'''ดนตรีสมัยบาโรก''' หรือบางแห่งเรียกว่า '''ดนตรีบาโรก''' ({{lang-en|Baroque music}}) เป็นลักษณะดนตรียุโรปคลาสสิก ราว ค.ศ. 1600-1750<ref>Palisca, Grove online</ref> เกิดขึ้นหลัง[[ดนตรีสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา]] และเกิดก่อน[[ดนตรีสมัยคลาสสิก]] มีคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคคือ [[โยฮัน เซบัสทีอัน บัค]], [[อันโตนีโอ วีวัลดี]], [[ฌ็อง-บาติสต์ ลูว์ลี]], [[จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล]], [[อาร์คันเจโล คอเรลลี]], [[คลอดิโอ มอนเทแวร์ดี]], [[ฌ็อง-ฟีลิป ราโม]], [[เฮนรี เพอร์เซล]] ในยุคนี้ผู้ประพันธ์เพลงและผู้แสดงจะใช้องค์ประกอบทางด้านดนตรีที่ซับซ้อนมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องระบบเสียงและได้พัฒนาการเล่นเครื่องดนตรีแบบใหม่ ดนตรีสมัยบาโรกได้ขยับขยายขนาด ความกว้าง ความซับซ้อนของการแสดง[[เครื่องดนตรี]] |
||
== ที่มาของคำ == |
== ที่มาของคำ == |
||
ทางด้านดนตรี คำว่า "บาโรก" มีความหมายแนวทางที่กว้างจากภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง โดยมากในยุโรป เป็นงานดนตรีที่ประพันธ์ในช่วง 160 ปีก่อน การใช้คำว่า "บาโรก" อย่างมีระบบทางด้านดนตรี เพิ่งมีการพัฒนาไม่นานนี้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1919 เมื่อ |
ทางด้านดนตรี คำว่า "บาโรก" มีความหมายแนวทางที่กว้างจากภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง โดยมากในยุโรป เป็นงานดนตรีที่ประพันธ์ในช่วง 160 ปีก่อน การใช้คำว่า "บาโรก" อย่างมีระบบทางด้านดนตรี เพิ่งมีการพัฒนาไม่นานนี้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1919 เมื่อ[[ควร์ท ซัคส์]] พยายามที่จะประยุกต์ลักษณะ 5 ประการของทฤษฎีดนตรีที่มีระบบของ[[ไฮน์ริช เวิล์ฟลิน]]<ref>Sachs 1919.</ref> ในภาษาอังกฤษ คำนี้เกิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1940 ในงานเขียนของแลงและบูคอฟเซอร์<ref>Palisca, ''Grove Online''</ref> ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ยังคงถือว่ายังมีการโต้เถียงกันในวงการศึกษาอยู่ โดยเฉพาะในฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ถึงแม้กระนั้นก็ได้รวมเพลงที่มีความหลากหลายในลักษณะดนตรีของจาโกโป เปรี, โดเมนีโก สการ์ลัตตี และโยฮัน คริสทีอัน บัค รวมเข้าใช้เป็นคำเดียว คือ "ดนตรีสมัยบาโรก" (Baroque music) ขณะนี้คำนี้กลายเป็นคำที่ใช้แพร่หลายและยอมรับในแนวเพลงที่กว้างเช่นนี้<ref>Palisca, ''Grove online''</ref>และยังมีประโยชน์ในการจำแนกแนวเพลงก่อนหน้านี้ (สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา) และหลังจากนี้ (คลาสสิก) ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ดนตรี |
||
== ลักษณะ |
== ลักษณะ == |
||
ใน |
ในสมัยบาโรก เริ่มมีการใช้เครื่องดนตรีหรือเสียงร้องเล่นประชันกัน เช่น เสียงร้องประชันกับเครื่องดนตรี หรือการเดี่ยวประชันเครื่องดนตรีบ้าง ซึ่งเรียกกันว่า Stile Concertante มีการใช้ ''บัสโซกอนตีนูโว'' (Basso Continuo) คือการที่เสียงเบส (เสียงต่ำ) เคลื่อนที่ตลอดเวลา โดยใช้สัญลักษณ์เป็นตัวเลขบอกถึงการเคลื่อนที่ไปของเบส รวมถึงเสียงแนวอื่น ๆ ด้วย ทำให้เกิดคอร์ดขึ้นมา เครื่องดนตรีที่ใช้เล่นบาสโซคอนตินิวโออาจเป็นคีย์บอร์ด เช่น [[ออร์แกน]] [[ฮาร์ปซิคอร์ด]] หรือเป็นกลุ่มของเครื่องดนตรี เช่น [[วิโอลา]] [[เชลโล]] [[บาสซูน]] |
||
มีการใช้บันไดเสียงเมเจอร์ และบันไดเสียงไมเนอร์แทนโหมด (Mode) รูปพรรณของเพลงเป็นแบบสอดประสานทำนอง ที่เรียกว่า Contrapuntal เริ่มมีการใช้การประสานสียงแบบโฮโมโฟนี (Homophony) คือ การเน้นความสำคัญของทำนองหลักโดยมีเสียงอื่นเล่นเสียงประสานคลอประกอบ มีการด้นสด (Improvisation) ของนักดนตรี โดยนักดนตรีจะแต่งเติมบทเพลง เริ่มมีการกำหนดความเร็วจังหวะของเพลง และความหนักเบาของเพลงลงในผลงานการประพันธ์ เช่น Adagio Andante และAllegro |
มีการใช้บันไดเสียงเมเจอร์ และบันไดเสียงไมเนอร์แทนโหมด (Mode) รูปพรรณของเพลงเป็นแบบสอดประสานทำนอง ที่เรียกว่า Contrapuntal เริ่มมีการใช้การประสานสียงแบบโฮโมโฟนี (Homophony) คือ การเน้นความสำคัญของทำนองหลักโดยมีเสียงอื่นเล่นเสียงประสานคลอประกอบ มีการด้นสด (Improvisation) ของนักดนตรี โดยนักดนตรีจะแต่งเติมบทเพลง เริ่มมีการกำหนดความเร็วจังหวะของเพลง และความหนักเบาของเพลงลงในผลงานการประพันธ์ เช่น Adagio Andante และAllegro |
||
รูปแบบของเพลงบางประเภทมีการพัฒนาจนมีแบบแผนแน่นอน ได้แก่ [[ฟิวก์]] ลักษณะของเพลงร้องของดนตรี |
รูปแบบของเพลงบางประเภทมีการพัฒนาจนมีแบบแผนแน่นอน ได้แก่ [[ฟิวก์]] ลักษณะของเพลงร้องของดนตรีสมัยบาโรก ได้แก่ [[โอเปร่า]] [[คันตาตา]] และ[[ออราทอริโอ]] ส่วนลักษณะรูปแบบ (Form) ของเพลงบรรเลง ได้แก่ [[โซนาตา]] [[ดนตรีประชัน|คอนแชร์โต]] และ[[สวีต (ดนตรี)|เพลงชุด]] (Suite) ซึ่งเพลงชุดเป็นการนำเพลงจังหวะเต้นรำที่มีหลายลักษณะมาบรรเลงต่อกันเป็นท่อน ๆ เพลงจังหวะเต้นรำแบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเพลงชุด ได้แก่ Allemande, Courante, Sarabande, Gavotte, Bourree, Minuet และGigue เป็นต้น |
||
เพลงโบสถ์ยังเป็นที่นิยมในการประพันธ์ เพลงที่ประพันธ์กันในยุคนี้ คือ [[เพลงแมส]] [[โมเท็ต]] [[คันตาตา]] [[ออราทอริโอ]] และ[[แพสชั่น]] (Passion) คือเพลงที่บรรยายเกี่ยวกับพระเยซูถูกตรึงกางเขน เป็นต้น |
เพลงโบสถ์ยังเป็นที่นิยมในการประพันธ์ เพลงที่ประพันธ์กันในยุคนี้ คือ [[เพลงแมส]] [[โมเท็ต]] [[คันตาตา]] [[ออราทอริโอ]] และ[[แพสชั่น]] (Passion) คือเพลงที่บรรยายเกี่ยวกับพระเยซูถูกตรึงกางเขน เป็นต้น |
||
เครื่องดนตรีของดนตรีแนวนี้ คือการใช้เครื่องสายตระกูลวิโอลค่อย ๆ ลดความนิยมในการใช้ลง คงหลงเหลืออยู่เพียงการพัฒนาที่กลายมาเป็น[[ดับเบิลเบส]]ในปัจจุบัน [[เครื่องสาย]]ที่เข้ามาแทนที่คือ ตระกูลไวโอลิน ซึ่งประกอบด้วย [[ไวโอลิน]] [[วิโอลา|วิโอล่า]] และ[[เชลโล| |
เครื่องดนตรีของดนตรีแนวนี้ คือการใช้เครื่องสายตระกูลวิโอลค่อย ๆ ลดความนิยมในการใช้ลง คงหลงเหลืออยู่เพียงการพัฒนาที่กลายมาเป็น[[ดับเบิลเบส]]ในปัจจุบัน [[เครื่องสาย]]ที่เข้ามาแทนที่คือ ตระกูลไวโอลิน ซึ่งประกอบด้วย [[ไวโอลิน]] [[วิโอลา|วิโอล่า]] และ[[เชลโล|เชลโล]] ออร์แกนได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น และเริ่มมีการพัฒนาเปียโน เครื่องดนตรีเครื่องเป่าที่ใช้ในยุคนี้ คือ [[โอโบ]] [[บาสซูน]] และ[[ฟลูต]] เครื่องดนตรีที่ใช้ในการผสมวงของ[[วงออร์เคสตรา]]ยังไม่มีการกำหนดเป็นที่แน่นอน |
||
การบันทึกตัวโน้ตได้รับการพัฒนาจนเป็นลักษณะการบันทึกโน้ตที่ใช้กันในปัจจุบัน คือ การใช้[[บรรทัดห้าเส้น]] การใช้[[กุญแจประจำหลัก|กุญแจโซ]] (G Clef) [[กุญแจประจำหลัก|กุญแจฟา]] (F Clef) [[กุญแจประจำหลัก|กุญแจอัลโต]] และ[[กุญแจประจำหลัก|กุญแจเทเนอร์]] (C Clef) มีการใช้ตัวโน้ตและตัวหยุดแทนค่าความยาวโน้ต และตำแหน่งของตัวโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นแทนระดับเสียง และยังมีตัวเลขบอก[[อัตราจังหวะ]] มี[[เส้นกั้นห้อง]] และสัญลักษณ์อื่น ๆ เพื่อใช้บันทึกลักษณะของเสียงดนตรี |
การบันทึกตัวโน้ตได้รับการพัฒนาจนเป็นลักษณะการบันทึกโน้ตที่ใช้กันในปัจจุบัน คือ การใช้[[บรรทัดห้าเส้น]] การใช้[[กุญแจประจำหลัก|กุญแจโซ]] (G Clef) [[กุญแจประจำหลัก|กุญแจฟา]] (F Clef) [[กุญแจประจำหลัก|กุญแจอัลโต]] และ[[กุญแจประจำหลัก|กุญแจเทเนอร์]] (C Clef) มีการใช้ตัวโน้ตและตัวหยุดแทนค่าความยาวโน้ต และตำแหน่งของตัวโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นแทนระดับเสียง และยังมีตัวเลขบอก[[อัตราจังหวะ]] มี[[เส้นกั้นห้อง]] และสัญลักษณ์อื่น ๆ เพื่อใช้บันทึกลักษณะของเสียงดนตรี |
||
== คีตกวี |
== คีตกวี == |
||
* [[ดีเทอริช บุคส์เทอฮูเดอ]] (Dieterich Buxtehude) |
|||
* [[บุกสเตฮูเด]] (Dietrigh Buxtehude, ประมาณ 1637-1707) |
|||
* [[โย |
* [[โยฮัน พัคเค็ลเบิล]] (Johann Pachelbel) |
||
* [[ |
* [[อาเลสซันโดร สการ์ลัตตี]] (Alessando Scarlatti) |
||
* [[อันโตนีโอ วีวัลดี]] (Antonio Vivaldi |
* [[อันโตนีโอ วีวัลดี]] (Antonio Vivaldi) |
||
* [[โย |
* [[โยฮัน เซบัสทีอัน บัค]] (Johann Sebastian Bach) |
||
* [[จอร์จ |
* [[จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล]] (Georg Friedrich Händel) |
||
* [[ |
* [[ฌ็อง-บาติสต์ ลูว์ลี]] (Jean Baptist Lully) |
||
* [[ |
* [[ฌ็อง-ฟีลิป ราโม]] (Jean-Philippe Rameau) |
||
* [[เก |
* [[เกออร์ค ฟิลลิพ เทเลอมัน]] (Georg Phillip Telemann) |
||
* [[ |
* [[เฮนรี เพอร์เซลล์]] (Henry Purcell) |
||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:21, 8 มกราคม 2563
ดนตรีสมัยบาโรก หรือบางแห่งเรียกว่า ดนตรีบาโรก (อังกฤษ: Baroque music) เป็นลักษณะดนตรียุโรปคลาสสิก ราว ค.ศ. 1600-1750[1] เกิดขึ้นหลังดนตรีสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และเกิดก่อนดนตรีสมัยคลาสสิก มีคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคคือ โยฮัน เซบัสทีอัน บัค, อันโตนีโอ วีวัลดี, ฌ็อง-บาติสต์ ลูว์ลี, จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล, อาร์คันเจโล คอเรลลี, คลอดิโอ มอนเทแวร์ดี, ฌ็อง-ฟีลิป ราโม, เฮนรี เพอร์เซล ในยุคนี้ผู้ประพันธ์เพลงและผู้แสดงจะใช้องค์ประกอบทางด้านดนตรีที่ซับซ้อนมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องระบบเสียงและได้พัฒนาการเล่นเครื่องดนตรีแบบใหม่ ดนตรีสมัยบาโรกได้ขยับขยายขนาด ความกว้าง ความซับซ้อนของการแสดงเครื่องดนตรี
ที่มาของคำ
ทางด้านดนตรี คำว่า "บาโรก" มีความหมายแนวทางที่กว้างจากภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง โดยมากในยุโรป เป็นงานดนตรีที่ประพันธ์ในช่วง 160 ปีก่อน การใช้คำว่า "บาโรก" อย่างมีระบบทางด้านดนตรี เพิ่งมีการพัฒนาไม่นานนี้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1919 เมื่อควร์ท ซัคส์ พยายามที่จะประยุกต์ลักษณะ 5 ประการของทฤษฎีดนตรีที่มีระบบของไฮน์ริช เวิล์ฟลิน[2] ในภาษาอังกฤษ คำนี้เกิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1940 ในงานเขียนของแลงและบูคอฟเซอร์[3] ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ยังคงถือว่ายังมีการโต้เถียงกันในวงการศึกษาอยู่ โดยเฉพาะในฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ถึงแม้กระนั้นก็ได้รวมเพลงที่มีความหลากหลายในลักษณะดนตรีของจาโกโป เปรี, โดเมนีโก สการ์ลัตตี และโยฮัน คริสทีอัน บัค รวมเข้าใช้เป็นคำเดียว คือ "ดนตรีสมัยบาโรก" (Baroque music) ขณะนี้คำนี้กลายเป็นคำที่ใช้แพร่หลายและยอมรับในแนวเพลงที่กว้างเช่นนี้[4]และยังมีประโยชน์ในการจำแนกแนวเพลงก่อนหน้านี้ (สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา) และหลังจากนี้ (คลาสสิก) ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ดนตรี
ลักษณะ
ในสมัยบาโรก เริ่มมีการใช้เครื่องดนตรีหรือเสียงร้องเล่นประชันกัน เช่น เสียงร้องประชันกับเครื่องดนตรี หรือการเดี่ยวประชันเครื่องดนตรีบ้าง ซึ่งเรียกกันว่า Stile Concertante มีการใช้ บัสโซกอนตีนูโว (Basso Continuo) คือการที่เสียงเบส (เสียงต่ำ) เคลื่อนที่ตลอดเวลา โดยใช้สัญลักษณ์เป็นตัวเลขบอกถึงการเคลื่อนที่ไปของเบส รวมถึงเสียงแนวอื่น ๆ ด้วย ทำให้เกิดคอร์ดขึ้นมา เครื่องดนตรีที่ใช้เล่นบาสโซคอนตินิวโออาจเป็นคีย์บอร์ด เช่น ออร์แกน ฮาร์ปซิคอร์ด หรือเป็นกลุ่มของเครื่องดนตรี เช่น วิโอลา เชลโล บาสซูน
มีการใช้บันไดเสียงเมเจอร์ และบันไดเสียงไมเนอร์แทนโหมด (Mode) รูปพรรณของเพลงเป็นแบบสอดประสานทำนอง ที่เรียกว่า Contrapuntal เริ่มมีการใช้การประสานสียงแบบโฮโมโฟนี (Homophony) คือ การเน้นความสำคัญของทำนองหลักโดยมีเสียงอื่นเล่นเสียงประสานคลอประกอบ มีการด้นสด (Improvisation) ของนักดนตรี โดยนักดนตรีจะแต่งเติมบทเพลง เริ่มมีการกำหนดความเร็วจังหวะของเพลง และความหนักเบาของเพลงลงในผลงานการประพันธ์ เช่น Adagio Andante และAllegro
รูปแบบของเพลงบางประเภทมีการพัฒนาจนมีแบบแผนแน่นอน ได้แก่ ฟิวก์ ลักษณะของเพลงร้องของดนตรีสมัยบาโรก ได้แก่ โอเปร่า คันตาตา และออราทอริโอ ส่วนลักษณะรูปแบบ (Form) ของเพลงบรรเลง ได้แก่ โซนาตา คอนแชร์โต และเพลงชุด (Suite) ซึ่งเพลงชุดเป็นการนำเพลงจังหวะเต้นรำที่มีหลายลักษณะมาบรรเลงต่อกันเป็นท่อน ๆ เพลงจังหวะเต้นรำแบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเพลงชุด ได้แก่ Allemande, Courante, Sarabande, Gavotte, Bourree, Minuet และGigue เป็นต้น
เพลงโบสถ์ยังเป็นที่นิยมในการประพันธ์ เพลงที่ประพันธ์กันในยุคนี้ คือ เพลงแมส โมเท็ต คันตาตา ออราทอริโอ และแพสชั่น (Passion) คือเพลงที่บรรยายเกี่ยวกับพระเยซูถูกตรึงกางเขน เป็นต้น
เครื่องดนตรีของดนตรีแนวนี้ คือการใช้เครื่องสายตระกูลวิโอลค่อย ๆ ลดความนิยมในการใช้ลง คงหลงเหลืออยู่เพียงการพัฒนาที่กลายมาเป็นดับเบิลเบสในปัจจุบัน เครื่องสายที่เข้ามาแทนที่คือ ตระกูลไวโอลิน ซึ่งประกอบด้วย ไวโอลิน วิโอล่า และเชลโล ออร์แกนได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น และเริ่มมีการพัฒนาเปียโน เครื่องดนตรีเครื่องเป่าที่ใช้ในยุคนี้ คือ โอโบ บาสซูน และฟลูต เครื่องดนตรีที่ใช้ในการผสมวงของวงออร์เคสตรายังไม่มีการกำหนดเป็นที่แน่นอน
การบันทึกตัวโน้ตได้รับการพัฒนาจนเป็นลักษณะการบันทึกโน้ตที่ใช้กันในปัจจุบัน คือ การใช้บรรทัดห้าเส้น การใช้กุญแจโซ (G Clef) กุญแจฟา (F Clef) กุญแจอัลโต และกุญแจเทเนอร์ (C Clef) มีการใช้ตัวโน้ตและตัวหยุดแทนค่าความยาวโน้ต และตำแหน่งของตัวโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นแทนระดับเสียง และยังมีตัวเลขบอกอัตราจังหวะ มีเส้นกั้นห้อง และสัญลักษณ์อื่น ๆ เพื่อใช้บันทึกลักษณะของเสียงดนตรี
คีตกวี
- ดีเทอริช บุคส์เทอฮูเดอ (Dieterich Buxtehude)
- โยฮัน พัคเค็ลเบิล (Johann Pachelbel)
- อาเลสซันโดร สการ์ลัตตี (Alessando Scarlatti)
- อันโตนีโอ วีวัลดี (Antonio Vivaldi)
- โยฮัน เซบัสทีอัน บัค (Johann Sebastian Bach)
- จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล (Georg Friedrich Händel)
- ฌ็อง-บาติสต์ ลูว์ลี (Jean Baptist Lully)
- ฌ็อง-ฟีลิป ราโม (Jean-Philippe Rameau)
- เกออร์ค ฟิลลิพ เทเลอมัน (Georg Phillip Telemann)
- เฮนรี เพอร์เซลล์ (Henry Purcell)
อ้างอิง
- Palisca, Claude. "Baroque", Grove Music Online, ed. L. Macy (Accessed August 21, 2007), (subscription access)
- Sachs, Curt. 1919. "‘Barokmusik". Jahrbuch der Musikbibliothek Peters 1919, 7–15.
- คมสันต์ วงค์วรรณ์. ดนตรีตะวันตก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2551
- ณรุทธ์ สุทธจิตต์. สังคีตนิยม ความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2548