ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เอลฟ์เฟลด (พระมเหสีของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโส)"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
ชาวไทย (คุย | ส่วนร่วม)
(ไม่แตกต่าง)

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:11, 5 ธันวาคม 2562

เอลฟ์เฟลด
พระราชสวามีพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโส
พระราชบุตร
รายลเอียดเพิ่มเติม
เอลฟ์เวียร์ด
เอ็ดวิน
อีดจิฟู สมเด็จพระราชินีแห่งแฟรงก์ตะวันตก
อีดฮิล์ด
อีดจิธ

เอลฟ์เฟลด (อังกฤษเก่า: Ælfflæd) เป็นพระมเหสีคนที่สองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโส กษัตริย์ของชาวแองโกลแซ็กซัน

ประวัติ

เอลฟ์เฟลดเป็นบุตรสาวของอีลดอร์มันเอเธลเฮล์ม ซึ่งอาจหมายถึงอีลดอร์มันเอเธลเฮล์มแห่งวิลต์เชียร์ที่เสียชีวิตในปี ค.ศ. 897

เอลฟ์เฟลดแต่งงานกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดราวปี ค.ศ. 899 พระองค์มีส่วนร่วมในกฎบัตรเพียงฉบับเดียว คือฉบับที่ลงวันที่เป็นปี ค.ศ. 901 ที่บรรยายถึงพระองค์ว่าเป็น คอนยุกซ์ เรจิส (พระมเหสีของกษัตริย์) พระองค์ไม่เคยได้เป็นพระราชินี และแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยคิดกันว่าพระองค์ได้รับการทำพิธีเป็นพระราชินีในตอนที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดได้รับการสวมมงกุฎในปี ค.ศ. 900 แต่ปัจจุบันคิดกันว่าไม่เป็นเช่นนั้น[1]

เอลฟ์เฟลดมีพระโอรสสองคน คือ (1) เอลฟ์เวิร์ดที่ต่อมากลายเป็นกษัตริย์แห่งเวสเซ็กซ์หลังการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาในปี ค.ศ. 924 แต่พระองค์เองก็สิ้นพระชนม์ในหนึ่งเดือน กับ (2) เอ็ดวินที่จมน้ำสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 933 เอลฟ์เฟลดยังมีพระธิดาอีกห้าหรือหกคน หนึ่งในนั้นคือ อีดจิฟู พระมเหสีของชาร์ลส์ผู้เรียบง่าย กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก, อีดฮิล์ดที่แต่งงานกับอูกมหาราช ดยุคของชาวแฟรงก์ และอีดจิธ พระมเหสีของจักรพรรดิออตโทที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์[2]

พระเจ้าเอ็ดมุนด์ที่ 1 กษัตริย์ในอนาคต พระโอรสของพระมเหสีคนที่สามของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด อีดจิฟู ประสูติในปี ค.ศ. 920/921 ดังนั้นการแต่งงานของเอลฟ์เฟลดน่าจะจบลงในช่วงปลายคริสตทศวรรษ 910 อ้างอิงตามวิลเลียมแห่งมัลม์สบรี พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทิ้งเอลฟ์เฟลดไปแต่งงานกับอีดจิฟู มีบันทึกว่าพระองค์เกษียณตัวเข้าวิหารวิลตันร่วมกับพระธิดาสองคนคืออีดเฟลดกับเอเธลฮิล์ด และทั้งสามถูกฝังอยู่ที่นั่น[3]

พระโอรสธิดา

พระโอรส

  • เอลฟ์เวิร์ด เป็นกษัตริย์แห่งเวสเซ็กซ์ช่วงสั้นๆ ในปี ค.ศ. 924
  • เอ็ดวิน สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 933

พระธิดา

อ้างอิง

  1. Foot, 2011, pp. 11, 37 n. 26
  2. Foot, 2011 pp. xv, 38, 41, 44
  3. Sharp, p. 82; Foot, 2011, p. 45