ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ยูลีอาเนอ มารีอา แห่งเบราน์ชไวค์-ว็อลเฟินบึทเทิล"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 16: | บรรทัด 16: | ||
| พระราชโอรส/ธิดา = [[เจ้าชายเฟรเดอริก รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์]] |
| พระราชโอรส/ธิดา = [[เจ้าชายเฟรเดอริก รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์]] |
||
}} |
}} |
||
''' |
'''ยูเลียนา มารีอาแห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ล''' ([[4 กันยายน]] [[พ.ศ. 2272]] - [[10 ตุลาคม]] [[พ.ศ. 2339]]) ทรงเป็น[[รายพระนามคู่อภิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก|สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์]] ระหว่างพ.ศ. 2295 ถึง พ.ศ. 2309 เป็นพระมเหสีพระองค์ที่ 2 ใน [[สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 แห่งเดนมาร์ก]] เป็นพระมารดาใน[[เจ้าชายเฟรเดอริค รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์]] และพระนางทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่ง[[เดนมาร์ก]]และ[[นอร์เวย์]] ในรัชสมัยของ[[สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์ก]] ซึ่งเป็นพระโอรสเลี้ยง พระนางทรงปกครองเดนมาร์กและนอร์เวย์[[โดยพฤตินัย]]ระหว่างพ.ศ. 2315 ถึงพ.ศ. 2327 จากการที่ทรงปกครองประเทศอย่างเผด็จการและทรงพยายามนำประเทศกลับไปสู่ระบอบขุนนางในอดีต ทำให้พระนางทรงเป็นสมเด็จพระราชินีที่ประชาชนชาวเดนมาร์กและนอร์เวย์เกลียดชังมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน[[ประวัติศาสตร์เดนมาร์ก]]<ref>Eleanor Herman.เร้นรักราชินี(Sex with the Queen).2553 หน้า 349</ref>. |
||
==ช่วงต้นพระชนม์ชีพ== |
==ช่วงต้นพระชนม์ชีพ== |
||
[[ไฟล์:Juliane v Braunschweig-Wolfenbüttel Residenzmuseum Celle.JPG|left|thumb|ดัสเชสยูเลียนา มารีอาแห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ล ในบทบาทพระราชินีอย่างเป็นทางการ]] |
[[ไฟล์:Juliane v Braunschweig-Wolfenbüttel Residenzmuseum Celle.JPG|left|thumb|ดัสเชสยูเลียนา มารีอาแห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ล ในบทบาทพระราชินีอย่างเป็นทางการ]] |
||
บรรทัด 123: | บรรทัด 123: | ||
|30= 30. [[ดยุคเอเบอฮาร์ดที่ 3 แห่งเวือร์เทมเบอร์ก]] |
|30= 30. [[ดยุคเอเบอฮาร์ดที่ 3 แห่งเวือร์เทมเบอร์ก]] |
||
|31= 31. [[เคานท์เตสแอนนา แคทเทอรีนาแห่งซาล์ม-คีร์เบิร์ก]] |
|31= 31. [[เคานท์เตสแอนนา แคทเทอรีนาแห่งซาล์ม-คีร์เบิร์ก]] |
||
}} |
|||
}}</center> |
|||
==พระอิศริยยศ== |
==พระอิศริยยศ== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:42, 21 ตุลาคม 2562
ยูลีอาเนอ มารีอา แห่งเบราน์ชไวค์-ว็อลเฟินบึทเทิล | |
---|---|
ยูเลียนา มารีอา สมเด็จพระราชินียูเลียนา มารีอาแห่งเดนมาร์ก | |
ดัสเชสแห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ล สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก | |
ประสูติ | 4 กันยายน พ.ศ. 2272 ณ วอฟเฟนบุตเทล |
สวรรคต | 10 ตุลาคม พ.ศ. 2339 ณ พระราชวังฟรานเดนสเบิร์ก, ประเทศเดนมาร์ก (พระชนมายุ 67 พรรษา) |
พระราชสวามี | สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 แห่งเดนมาร์ก |
พระราชบุตร | เจ้าชายเฟรเดอริก รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ |
สมเด็จพระราชินียูเลียนา มารีอาแห่งเดนมาร์ก | |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์เวลฟ์ โอลเดนบวร์ก (โดยการสมรส) |
พระราชบิดา | ดยุกแฟร์ดินันด์ อัลเบรตช์ที่ 2 แห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ล |
พระราชมารดา | ดัสเชสอังตัวเน็ตแห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ล |
ยูเลียนา มารีอาแห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ล (4 กันยายน พ.ศ. 2272 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2339) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ ระหว่างพ.ศ. 2295 ถึง พ.ศ. 2309 เป็นพระมเหสีพระองค์ที่ 2 ใน สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 แห่งเดนมาร์ก เป็นพระมารดาในเจ้าชายเฟรเดอริค รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ และพระนางทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์ก ซึ่งเป็นพระโอรสเลี้ยง พระนางทรงปกครองเดนมาร์กและนอร์เวย์โดยพฤตินัยระหว่างพ.ศ. 2315 ถึงพ.ศ. 2327 จากการที่ทรงปกครองประเทศอย่างเผด็จการและทรงพยายามนำประเทศกลับไปสู่ระบอบขุนนางในอดีต ทำให้พระนางทรงเป็นสมเด็จพระราชินีที่ประชาชนชาวเดนมาร์กและนอร์เวย์เกลียดชังมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์เดนมาร์ก[1].
ช่วงต้นพระชนม์ชีพ
พระนางประสูติในฐานะราชธิดา ในจำนวนบุตรทั้งหมด 12 พระองค์ของดยุกแฟร์ดินันด์ อัลเบรตช์ที่ 2 แห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ลกับดัสเชสอังตัวเน็ตแห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ล พระองค์ประสูติในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2272 ที่เมืองวอฟเฟนบุตเทล ในแซกโซนี พระนางเป็นพระขนิษฐาในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ คริสทีเนอแห่งปรัสเซียซึ่งเป็นพระมเหสีในพระเจ้าฟรีดริชมหาราชแห่งปรัสเซียและพระนางเป็นพระมาตุจฉาในสมเด็จพระเจ้าซาร์อีวานที่ 6 แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นพระโอรสในดยุคแอนโทนี อุลริชแห่งบรันสวิคพระเชษฐา
สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก
หลังจากสมเด็จพระราชินีหลุยส์แห่งเดนมาร์ก พระมเหสีพระองค์แรกในสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 แห่งเดนมาร์ก สิ้นพระชนม์ในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2294 ดัสเชสยูเลียนา มารีอาแห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ลทรงได้รับเลือกให้เป็นพระมเหสีพระองค์ที่ 2 ในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2295 ณ พระราชวังเฟรเดอริคเบอร์ก การอภิเษกสมรสได้จัดขึ้นเพื่อให้ดัสเชสมีเสกียรภาพในการดำรงพระอิศริยยศ ในวันอภิเษกสมรส พระองค์ทรงมีบุคลิกเหมือนเด็ก ทรงตื่นเต้นมากจนตรัสตะกุกตะกัก การอภิเษกสมรสได้จัดขึ้นโดย เคานท์อดัม ก็อตธ็อบ โมลท์เก พระสหายของพระเจ้าเฟรเดอริค ซึ่งเป็นผู้คิดว่าการที่พระมหากษัตริย์อภิเษกสมรสอีกครั้งเป็นสิ่งที่จำเป็น พระเจ้าเฟรเดอริคทรงมิได้ตั้งพระทัยในการอภิเษกสมรสครั้งใหม่แต่พระองค์ก็ตกลงอภิเษกสมรสหลังจากทอดพระเนตรพระฉายาลักษณ์ของดัสเชส ดัสเชสยูเลียนา มารีอาทรงอภิเษกสมรสในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2295 และทรงสวมมงกุฎเป็นสมเด็จพระราชินีในวันเดียวกัน การอภิเษกสมรสครั้งนี้ไม่เป็นที่พอใจแก่ประชาชนเพราะประชาชนเห็นว่าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์แก่อดีตพระราชินีหลุยส์ซึ่งทรงเป็นที่รักยิ่งของชาวเดนมาร์ก จากเหตุการณ์ครั้งนี้พระนางทรงพยายามประพฤติตนให้เป็นที่รักของชาวเดนมาร์ก โดยทรงแต่งตั้ง เจ.สไชด์เดอรับ สนีดอร์ฟ และกัลด์เบิร์กเพื่อให้การอบรมพระโอรสของพระนาง ทำให้พระโอรสของพระนางเป็นเจ้าชายเดนมาร์กรุ่นแรกที่ภาษาแรกคือ ภาษาเดนมาร์ก พระนางยูเลียนาทรงพยายามหัดตรัสและเขียนเป็นภาษาเดนมาร์กแต่ก็เป็นไปได้ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่เคยทำให้พระนางเป็นราชินีที่เป็นที่นิยม พระนางทรงระมัดระวังในการแสดงความจงรักภักดีที่มีต่อพระสวามี ซึ่งพระสวามีของพระนางทรงมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับสตรีอื่นบ่อยๆ ซึ่งทำให้พระนางทรงได้รับการเห็นใจบ้าง ในฐานะของสมเด็จพระราชินี พระนางทรงไม่ได้มีส่วนร่วมทางการเมือง พระเจ้าฟรีดริชมหาราชแห่งปรัสเซียทรงคาดว่าในฐานะที่พระนางเป็นเจ้าหญิงเยอรมันและเป็นพระขนิษฐาในพระมเหสีของพระองค์ พระนางจะเป็นตัวแทนพระองค์ในราชสำนักเดนมาร์กในการปลดเคานท์โยฮันน์ ฮาร์ตวิก เอิร์นส์ ฟาน เบิร์นสตอฟ ศัตรูของพระองค์ออกจากตำแหน่ง แต่พระนางไม่เคยทำเช่นนั้น
ในฐานะของสมเด็จพระราชินี พระนางทรงใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบและทรงมีอิทธิพลไม่มาก จุดประสงค์หลักของพระนางคือ การหาทางให้พระโอรสของพระนางที่เป็นสายพระโลหิตของพระนางได้เป็นผู้สำเร็จราชการ พระนางทรงเลี้ยงดูพระโอรสเพียงพระองค์เดียวอย่างเข้มงวดมาก และมันเป็นการยากที่พระนางจะมาแทนที่อดีตสมเด็จพระราชินีหลุยส์ที่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวเดนมาร์ก และพระนางทรงไม่ใส่พระทัยในพระโอรสและพระธิดาเลี้ยงอันประสูติแต่สมเด็จพระราชินีหลุยส์เลย พระนางทรงชิงชังพระโอรสและพระธิดาเลี้ยงมากถึงขนาดเคยทรงใส่ยาพิษลงในพระกระยาหารเช้าของเจ้าชายคริสเตียนซึ่งยังทรงพระเยาว์ แต่มีนางข้าหลวงที่จงรักภักดีเห็นพระนางใส่บางอย่างลงในพระกระยาหารจึงแอบเททิ้งแล้วไปกราบทูลพระเจ้าเฟรเดอริค พระเจ้าเฟรเดอริคทรงกริ้วมาก พระนางยูเลียนาทรงปฏิเสธว่าเป็นข้อกล่าวหาแต่ก็มีการเฝ้าระวังพระกระยาหารของเจ้าชายคริสเตียนจะเสวยตั้งแต่นั้นมา
สมเด็จพระพันปีหลวงและบทบาทด้านการเมือง
หลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 แห่งเดนมาร์ก ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2309 ทำให้พระนางกลายเป็นสมเด็จพระพันปีหลวงและทรงเริ่มก้าวก่ายในราชกิจทางการเมืองในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์ก พระโอรสเลี้ยง ในระหว่างทรงปกครองประเทศทางพฤตินัยแบบเผด็จการนี้ทำให้ทรงถูกเกลียดชังอย่างมาก
รัฐประหาร พ.ศ. 2315 การขจัดอำนาจของสตรูเอนซีและราชินีแคโรไลน์ มาทิลดา
ในปีพ.ศ. 2311 สมเด็จพระพันปียูเลียนามีพระบัญชาให้จับกุม สตอฟเล็ท-แคทลีน พระสนมในพระเจ้าคริสเตียน และเนรเทศออกจากเดนมาร์ก เนื่องจากทรงเชื่อว่านางแคทลีนมีอิทธิพลเหนือกษัตริย์และพยายามท้าทายพระราชอำนาจของพระนาง ในปีพ.ศ. 2313 พระเจ้าคริสเตียนทรงเริ่มมีพระสติวิปลาส แต่พระองค์ก็ทรงมอบอำนาจการปกครองให้แก่ เจ้าหญิงแคโรไลน์ มาทิลดาแห่งเวลส์ พระมเหสีผู้ครองพระยศสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์กในขณะนั้นกับ โจฮันน์ ฟรีดิช สตรูเอนซีชู้รักของพระนางแคโรไลน์ มาทิลดา ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการในขณะนั้น พระนางมาทิลดาและสตรูเอนซีได้ดำเนินนโยบายที่พยายามปรับปรุงประเทศเดนมาร์กให้หลุดพ้นจากแนวคิดการปกครองและวัฒนธรรมประเพณีรูปแบบเก่าตั้งแต่สมัยยุคกลาง ซึ่งพยายามทำให้เดนมาร์กที่ยังล้าหลังกว่าประเทศอื่นในยุโรปก้าวขึ้นสู่สมัยใหม่ สตรูเอนซีเน้นแนวทางเสรีนิยมซึ่งเป็นประโยชน์แก่ชนชั้นล่าง เช่น ได้ประกาศลดภาษีเกลือซึ่งเป็นภาระหนักแก่ประชาชนและลดราคาข้าวสาลีลงครึ่งหนึ่ง และนำเงินทุนมาสร้างโรงพยาบาล โรงเรียนแก่ชนชั้นล่าง และได้ประกาศเปิดสวนในพระราชวังให้ประชาชนสามารถเข้าไปได้ อีกทั้งเขายังริเริ่มกฎหมายกำหนดหมายเลขบ้านและทำความสะอาดถนน ซึ่งทำให้คนชนชั้นล่างสำนึกในคุณของเขาและพระนางมาทิลดา แต่นโยบายเขากลับสร้างความไม่พอใจแก่คนชนชั้นสูงซึ่งสูญเสียประโยชน์รวมทั้งพระพันปียูเลียนาด้วยและพยามยามปฏิวัติยึดอำนาจกลับมา [2]
พระนางยูเลียนาทรงพยายามอย่างหนักเพื่อหาหลักฐานทุกอย่างในการคบชู้ของพระราชินีมาทิลดา ผุ้เป็นพระสุนิสา ทรงจ้างนางพระกำนัลสี่คนของพระนางมทิลดาเพื่อทำหน้าที่สายลับ เมื่อหลักฐานครบถ้วน พระนางทรงวางแผนเชิญชวนคนชั้นสูงมาร่วมก่อการ หนึ่งในนั้นคือ เคานท์ซัค คาร์ล แรนต์เซา สหายของสตรูเอนซี ซึ่งโกรธแค้นเขาเนื่องจากถูกมองข้ามความสำคัญ โดยกำหนดเอาเช้าตรู่วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2315 เป็นวันก่อการ [3]
ในคืนวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2315 เป็นวันจัดงานเต้นรำสวมหน้ากากในราชสำนัก เมื่อพระเจ้าคริสเตียนกลับเข้าสู่ห้องบรรทมแล้ว ส่วนพระนางมาทิลดาและสตรูเอนซีเต้นรำจนถึงตีสาม พระนางมาทิลดาก็เสด็จกลับห้องพระนาง ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 17 มกราคม พระนางยูเลียนาทรงรีบสาวพระบาทไปยังห้องบรรทมของพระเจ้าคริสเตียน พระนางแจ้งว่าจะเกิดการปฏิวัติและให้พระองค์ลงพระปรมาภิไธยในคำสั่งจับกุมพระราชินีมาทิลดาและสตรูเอนซี แม้พระเจ้าคริสเตียนทรงไม่ยินยอมแต่พระนางยูเลียนาได้บีบบังคับให้ทรงลงพระปรมาภิไธยได้ พระนางได้กุมตัวกษัตริย์ซึ่งถือว่าทรงได้อำนาจมาไว้ในพระหัตถ์แล้ว ทหารได้บุกเข้าไปจับกุมตัวสตรูเอนซีในห้องและล่ามโซ่เขาในคุก[4]. และในเวลา 04.30 นาฬิกา เคานต์แรนต์เซาได้นำทหารไปเชิญพระราชินีมาทิลดาเพื่อไปจองจำ พระนางมาทิลดาทรงต่อต้านอย่างหนัก ทำให้ทรงถูกพาตัวไป พระนางยูเลียนาทรงอนุญาตให้นำ เจ้าหญิงหลุยส์ ออกุสตาตามพระมารดาไปในคุกด้วยเนื่องจากทรงยังไม่หย่านม พระนางมาทิลดาทรงถูกนำไปคุมขังที่ปราสาทโครนเบอร์ก พระนางยูเลียนาทรงจัดให้พระนางมาทิลดาประทับในห้องบนสุดที่ไม่มีเตาผิงและสกปรก ต่อมาด้วยความกลัวจักรวรรดิอังกฤษ ยกทัพมาเดนมาร์ก จึงจัดให้ประทับที่ห้องชุดที่ดีกว่าเดิม
พระเจ้าคริสเตียนทรงขัดเคืองพระทัยกับการอบรมชี้แนะของพระมารดาเลี้ยง ทรงแข็งข้อต่อพระนางขึ้นเรื่อยๆ มีรับสั่งถามพระนางยูเลียนาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของพระนางมาทิลดา ทำให้ยูเลียนาทรงรำคาญพระทัยมากแต่พระนางก็ทรงไม่บอก ครั้งหนึ่งพระเจ้าคริสเตียนทรงลงพระปรมาภิไธยในเอกสารทรงเขียนว่า "คริสเตียนที่ 7 กษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ข้ารับใช้ของพระเป็นเจ้า ร่วมกับ ยูเลียนา มารีอา ข้ารับใช้ของปีศาจ"[5]
สตรูเอนซีถูกตัดสินประหารชีวิตพร้อมกับเคานท์เอเนอโวลด์ แบรนดท์ ผู้ให้การสนับสนุนสตรูเอนซี ด้วยความผิดฐานกบฏ การประหารชีวิตกำหนดขึ้นในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2315 ในวันนั้นพระนางยูเลียนาบังคับให้พระเจ้าคริสเตียนและพระบรมวงศานุวงศ์ไปชมละครโอเปราและงานเลี้ยง แท่นประหารถูกสร้างให้สูงจากพื้น 27 ฟุต เพื่อให้พระนางยูเลียนาทอดพระเนตรด้วยกล้องส่องทางไกลได้สะดวกจากหอสูงของพระราชวังคริสเตียนเบอร์ก พระนางทรงมีรับสั่งกับนางกำนัลว่า "ข้าชอบห้องพวกนี้มาก ชอบยิ่งกว่าห้องชุดหรูหราของข้าเสียอีก เพราะจากหน้าต่างแห่งนี้ ข้าเคยได้เห็นซากที่เหลือของศัตรูที่ข้าเกลียดชังที่สุดอย่างถนัดตา"[6]
สตรูเอนซีเดินขึ้นลานประหาร หลังจากการประหารแบรนดท์แล้ว "ทีนี้ถึงศัตรูรายสำคัญแล้ว" พระนางตรัสกับนางกำนัลอย่างปิติ[7] สตรูเอนซีคุกเข่าลงบนกองเลือดแล้ววางมือด้านขวาที่นำความแปดเปื้อนมาสู่ราชินี เพชรฆาตสับมือข้างนั้นขาดกระเด็น สตรูเอนซีลุกขึ้นบิดตัวเร่า เลือดพุ่งกระฉูดออกจากข้อมือที่กุด ผู้ช่วนเพชรฆาตจำเป็นต้องกดศีรษะเขาแนบกับขอนไม้และในที่สึดดาบฟันลงมา ศีรษะสตรูเอนซีขาดกระเด็น พระนางยูเลียนาร้องอย่างปิติ จากนั้นทรงบอกกับพระสหายว่า เรื่องเดียวที่ทรงเสียพระทัยที่สุดคือเรื่องที่ทรงไม่ได้เห็นพระนางมาทิลดา ผู้เป็นพระสุนิสาไม่ได้ขึ้นแท่นประหารแบบคนอื่น และพระนางไม่ได้เห็นพระหัตถ์และพระเศียรมาทิลดาหลุดออกจากร่าง ไม่ได้เห็นซากศพราชินีแห่งเดนมาร์กถูกกรีดจากพระศอจนถึงพระอุรุ ไม่ได้เห็นอวัยวะภายในถูกล้วงออกมาตอกติดกับล้อรถ ไม่ได้เห็นแขนขาถูกตัดออกมาตอกกับอวัยวะภายใน ไม่ได้เห็นพระเศียรถูกเสียบปลายไม้ทิ้งให้เน่าเปื่อยกลางทุ่งท้ายเมือง ตรัสต่อไปว่า ภาพเหล่านั้นจะทำให้พระนางมีความสุขที่สุดในพระชนม์ชีพ"[8]
เมื่อศีรษะสตรูเอนซีหลุดออกจากบ่า เขาได้กลายเป็นนักบุญผู้พลีชีพในสายตาชาวเดนมาร์ก ส่วนสมเด็จพระพันปีหลวงกลับกลายเป็นจอมเผด็จการที่ชาวเดนมาร์กเกลียดชัง พระนางได้ยกเลิกกฎหมายที่สตรูเอนซีบัญญัติขึ้น ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในถนนหลายสายของโคเปนเฮเกน พระนางยูเลียนาจำต้องนำกฎหมายบางอย่างของสตรูเอนซีกลับมาใช้อีกครั้ง เมื่อพระเจ้าคริสเตียนทรงทราบการประหารพระองค์ทรงเศร้าโศกมากและตรัสขอพบพระนางมาทิลดา เนื่องจากยังเป็นพระมเหสีอยู่ เมื่อพระนางมาทิลดาทราบข่าวการประหารพระองค์ทรงเป็นลมล้มฟุบทันที มีเสียงเรียกร้องจากประชาชนตามถนนต้องการให้ พระนางมาทิลดาขึ้นสำเร็จราชการแทนพระนางยูเลียนาจนเป็นการจลาจลอีกครั้ง พระนางยูเลียนาจึงเนรเทศพระสุนิสาออกจากแผ่นดินเดนมาร์กเสีย
การก้าวขึ้นสู่พระราชอำนาจ
หลังจากสมเด็จพระพันปีหลวงยูเลียนาทรงขจัดพระราชอำนาจของพระราชินีมาทิลดา พระสุณิสาและสตรูเอนซีได้แล้ว พระนางได้แต่งตั้ง เจ้าชายเฟรเดอริค รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ พระราชโอรสของพระนางขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งเดนมาร์ก แต่ตามทางความเป็นจริงแล้ว พระนางทรงตั้งพระโอรสเพื่อเป็นเพียงหุ่นเชิดและพระนางก็จะปกครองโดยพฤตินัย โดยมี โอฟว์ ฮอกห์-กูลด์เบิร์ก พระอาจารย์ของเจ้าชายเฟรเดอริค ช่วยงานราชการแผ่นดินและดำรงเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งเดนมาร์กในทางพฤตินัยเช่นเดียวกับพระพันปีหลวง ในช่วงการปฏิวัติครั้งนี้ ทำให้พระนางทรงได้รับการสรรเสริญเยินยอจากผู้สนับสนุนว่า ทรงเทียบเท่ากับ ราชินีเอสเทอร์ ฮามาน ราชินีชาวยิวซึ่งเป็นพระมเหสีในจักรพรรดิเซอร์ซีสมหาราชแห่งเปอร์เซีย,พระนางเดบอราและจูดิธ ผู้ตัดหัวโฮโรเฟอร์เนส รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นโดยพระนางมีแนวคิดอนุรักษนิยมอย่างสุดโต่ง พระนางทรงคืนที่ดินต่างๆให้ชนชั้นสูงที่ถูกริบทรัพย์สินในสมัยของสตรูเอนซีและพระนางมาทิลดา ทำให้ทรงได้รับความจงรักภักดีและทรงกลายเป็นวีรสตรีของพวกขุนนางชั้นสูง แต่ฝ่ายต่อต้านพระนางได้กล่าวว่าทรงเป็นปีศาจร้ายซึ่งสร้างความหายนะแก่ประเทศเดนมาร์ก พระนางมีพระราชกรณียกิจที่เป็นที่ยอมรับคือ การจัดตั้งโรงงานผลิตเครื่องลายครามแห่งแรกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐในปีพ.ศ. 2322 พระนางทรงมักเขียนจดหมายถึงพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราชแห่งปรัสเซียเป็นประจำ ซึ่งพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราชได้ให้การสนับสนุนพระนางและทรงพอพระทัยที่พระนางได้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการในทางพฤตินัย
พระพันปีหลวงยูเลียนาต้องทรงรับผิดชอบในการดูแลมกุฎราชกุมารเฟรเดอริค พระโอรสของพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 กับพระนางแคโรไลน์ มาทิลดา มกุฎราชกุมารทรงชิงชังสมเด็จพระพันปีซึ่งเป็นพระอัยยิกามาก เนื่องจากพระนางทรงปฏิบัติไม่ดีต่อพระบิดาและพระมารดา และพระนางพยายามควบคุมพระองค์ให้อยู่ในความปกครองซึ่งกำหนดให้เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 14 ชันษาถึงจะมีสิทธิในการเป็นผู้สำเร็จราชการ และพระนางทรงพยายามไม่ให้พระองค์ได้พบปะกับเจ้าหญิงหลุยส์ ออกุสตา พระขนิษฐา ซึ่งพระองค์สนิทมากที่สุด ในปีพ.ศ. 2324 พระพันปีหลวงยูเลียนาทรงตอบรับข้อเสนอของพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชที่จะให้มกุฎราชกุมารสมรสกับเจ้าหญิงเยอรมันเพื่อกระชับสัมพันธ์เดนมาร์ก-ปรัสเซีย
ความสัมพันธ์กับจักรวรรดิรัสเซีย
ในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2323 พระพันปีหลวงยูเลียนาทรงให้ที่ลี้ภัยแก่พระโอรสและพระธิดาของดยุคแอนโทนี อุลริชแห่งบรันสวิคพระเชษฐา กับแกรนด์ดัสเชสแอนนา ลีโอโพลดินาแห่งรัสเซีย ผู้สำเร็จราชการแห่งรัสเซีย ผู้เป็นพระชายา พระโอรสธิดาซึ่งเป็นพระขนิษฐาและพระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าซาร์อีวานที่ 6 แห่งรัสเซีย เมื่อทรงได้รับการปล่อยจากคุกในรัสเซีย โดยพระพันปีทรงกระทำข้อตกลงกับสมเด็จพระจักรพรรดินีเยกาเจรีนาที่ 2 แห่งรัสเซีย ซึ่งพระนางสามารถรับ แกรนด์ดัสเชสแคทเทอรีน(พ.ศ. 2284 - พ.ศ. 2350),แกรนดดัสเชสเอลิซาเบธ(พ.ศ. 2286 - พ.ศ. 2325),แกรนด์ดยุคปีเตอร์(พ.ศ. 2288 - พ.ศ. 2341) และแกรนด์ดยุคอเล็กเซ(พ.ศ. 2289 - พ.ศ. 2330) ซึ่งทั้งหมดประสูติในระหว่างที่แกรนด์ดัสเชสแอนนาถูกคุมขัง พระนัดดาของพระพันปียูเลียนาทั้งหมดได้พำนักอย่างสะดวกสบายขึ้นที่ที่กักกันในเมืองฮอร์เซน ทรงภาคตะวันออกของคาบสมุทรจัตแลนด์ พระนัดดาทั้งหมดทรงไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าสู่สังคม และทรงได้พำนักในพระตำหนักเล็กซึ่งมีคนเพียง 40/50 คน ซึ่งเป็นชาวเดนมาร์กทั้งหมดยกเว้นพวกพระ พระนัดดาทุกพระองค์อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของพระพันปียูเลียนาและทั้งหมดจะได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากพระจักรพรรดินีนาถแคทเธอรีน
สิ้นสุดพระราชอำนาจ
ในปีพ.ศ. 2327 มกุฎราชกุมารเฟรเดอริคทรงได้รับสิทธิตามกฎหมายโดยพระองค์มีพระชนมายุครบ 16 พรรษา ซึ่งเลยกำหนดที่พระพันปีหลวงยูเลียนาจะมอบพระราชอำนาจคืนถึง 2 ปี พระนางทรงพยายามชักจูงให้พระนัดดาทรงมอบพระราชอำนาจให้พระนางไปก่อน หรือไม่ก็อาศัยคำแนะนำของพระนางในด้านต่างๆ และพระนางทรงบังคับให้พระเจ้าคริสเตียนทรงลงนามในพระราชกฤษฎีกาดยกำหนดให้ มกุฎราชกุมารต้องยินยอมในคำแนะนำปรึกษาตั้งแต่ทรงเริ่มดำรงพระยศจนถึงปัจจุบัน โดยทรงต้องรับฟังบุคคล 3 คน ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดี,เจ้าชาย เฟรเดอริค ผู้สำเร็จราชการและสมเด็จพระพันปีหลวงยูเลียนา[9]. อย่างไรก็ตามมกุฎราชกุมารทรงพยายามขจัดอำนาจของพระนางยูเลียนา พระอัยยิกาและพระโอรสของพระนาง และในการร่วมสภาครั้งแรกของพระองค์ พระองค์ทรงไล่คณะรัฐบาลหลวงโดยที่ไม่ได้แจ้งแก่พระนางยูเลียนา และทรงแต่งตั้งคนของพระองค์เข้ารับตำแหน่ง อีกทั้งมกุฎราชกุมารทรงบังคับให้พระบิดาซึ่งมีพระจริตฟั่นเฟือนลงนามในเอกสารแต่งตั้งพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างผู้สนับสนุนมกุฎราชกุมารปับผู้สนับสนุนพระพันปีหลวงยูเลียนา พระนางทรงพยายามแย่งชิงกษัตริย์จากพระหัตถ์ของพระนัดดา แต่ฝ่ายที่ไก้รับชัยชนะคือ มกุฎราชกุมารเฟรเดอริค ซึ่งนับเป็นจุดจบในระบอบเก่าสมัยยุคกลางของเดนมาร์ก รัชกาลที่ปกครองโดยพระพันปียูเลียนาและพระโอรสของพระนางสิ้นสุดลง ซึ่งถือเป็นการรัฐประหารในพ.ศ. 2327 โดยชาวเดนมาร์กต่างยินดีกันทั่งหน้าซึ่งจบสิ้นยุคสมัยของพระพันปีหลวง แต่สมเด็จพระเจ้ากุสตาฟที่ 3 แห่งสวีเดนทรงสนับสนุนให้พระนางก่อรัฐประหารอีกครั้งโดยสวีเดนจะให้การสนับสนุน แต่พระนางทรงประกาศวางมือจากราชสำนักและการเมือง และทรงดำรงพระชนม์ชีพอย่างปกติ
สิ้นพระชนม์
พระนางสิ้นพระชนม์ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2339 ณ พระราชวังฟรีเดนเบอร์ก พระบรมศพถูกฝังที่มหาวิหารร็อคสไลด์ สิริพระชนมายุ 67 พรรษา พระบรมศพของพระนางถูกผู้มาเยือนชาวเดนมาร์กถ่มน้ำลายรดหลุมศพนานหลายปี ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดเผด็จการสตรีที่มีอำนาจที่สุดในแถบสแกนดิเนเวีย ในปีพ.ศ. 2351 พระเจ้าคริสเตียนเสด็จสวรรคต มกุฎราชกุมารได้ครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก ทรงเป็นที่รักใคร่และนับถือในปวงประชาชนชาวเดนมาร์ก
พระโอรส
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรส (ประสูติและสิ้นพระชนม์) และพระโอรส-ธิดา | |
เจ้าชายเฟรเดอริก รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ | พ.ศ. 2296 |
11 ตุลาคมพ.ศ. 2348 |
7 ธันวาคมอภิเษกสมรส 21 ตุลาคม พ.ศ. 2317 ดัสเชสโซเฟีย เฟรเดอริกาแห่งเม็คเคลนบวร์ก-ชเวรีน (พ.ศ. 2301–2337) พระราชโอรส 2 พระองค์และพระราชธิดา 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงยูเลียนา มารีอา สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์ก เจ้าหญิงจูเลียน โซฟีแห่งเฮสส์-ฟิลิปสตัล-บราชเฟลด์ เจ้าหญิงหลุยส์ ชาร์ล็อตแห่งเดนมาร์ก เจ้าชายเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทแห่งเดนมาร์ก |
เครื่องราชอิศริยาภรณ์
-
พระนางยูเลียนา มารีอาทรงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น Ordre de l'Union Parfaite
พระราชตระกูล
พระอิศริยยศ
- ดัสเชสยูเลียนา มารีอาแห่งบราวน์ชไวก์-โวลเฟ่นบึทเท่ล (4 กันยายน พ.ศ. 2272 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2295)
- สมเด็จพระราชินียูเลียนา มารีอาแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ (8 กรกฎาคม พ.ศ. 2295 - 14 มกราคม พ.ศ. 2309)
- สมเด็จพระพันปีหลวงแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ (14 มกราคม พ.ศ. 2309 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2339)
อ้างอิง
- ↑ Eleanor Herman.เร้นรักราชินี(Sex with the Queen).2553 หน้า 349
- ↑ Eleanor Herman.เร้นรักราชินี(Sex with the Queen).2553 หน้า 332 - 333
- ↑ Eleanor Herman.เร้นรักราชินี(Sex with the Queen).2553 หน้า 338
- ↑ Chapman หน้า 137
- ↑ Wilkins,A Queen of Tears,vol. II หน้า 270
- ↑ Chapman หน้า 169
- ↑ Chapman หน้า 169
- ↑ Chapman หน้า 169
- ↑ Alf Henrikson: Dansk historia (Danish history) 1989 (in Swedish)
- Danske dronninger i tusind år, Steffen Heiberg, 2000
- Gyldendal og Politikens Danmarkshistorie bind 9 (Den lange fred), 1990
- http://www.kvinfo.dk/side/597/bio/1019/origin/170/
- Marie Tetzlaff : Katarina den stora (1998)
- http://runeberg.org/dbl/8/0613.html (in Danish)
ก่อนหน้า | ยูลีอาเนอ มารีอา แห่งเบราน์ชไวค์-ว็อลเฟินบึทเทิล | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
เจ้าหญิงหลุยส์แห่งสหราชอาณาจักร | สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก (ราชวงศ์โอลเดนบวร์ก) (8 กรกฎาคม พ.ศ. 2295 – 14 มกราคม พ.ศ. 2309) |
เจ้าหญิงแคโรไลน์ มาทิลดาแห่งเวลส์ | ||
เจ้าหญิงหลุยส์แห่งสหราชอาณาจักร | สมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์ (ราชวงศ์โอลเดนบวร์ก) (8 กรกฎาคม พ.ศ. 2295 – 14 มกราคม พ.ศ. 2309) |
เจ้าหญิงแคโรไลน์ มาทิลดาแห่งเวลส์|} |