ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เหี้ย"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Peeravich23 (คุย | ส่วนร่วม)
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
Torpido (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 62: บรรทัด 62:


[[รัชกาลที่ 1]] ทรงโปรดการเสวยไข่เหี้ยมาก ครั้งหนึ่งมีโปรดจะเสวยไข่เหี้ยกับมังคุด แต่หาไม่ได้ เนื่องจากขณะนั้นไม่ใช่ฤดูกาลเหี้ยวางไข่ [[เจ้าจอมแว่น ในรัชกาลที่ 1|เจ้าจอมแว่น]]จึงได้ประดิษฐ์ขนมชนิดหนึ่งขึ้นมา โดยให้มีความใกล้เคียงกับไข่เหี้ยมากที่สุด คือ "ขนมไข่เหี้ย" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "[[ขนมไข่หงส์]]" ในช่วง[[รัชกาลที่ 4]]<ref>{{cite web|title=ตัวเงินตัวทองกับคำพังเพย “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”|first=โกวิท|last=วงศ์สุรวัฒน์|date=2016-05-11|accessdate=2016-09-25|url=http://www.matichon.co.th/news/132070|work=มติชน}}</ref>
[[รัชกาลที่ 1]] ทรงโปรดการเสวยไข่เหี้ยมาก ครั้งหนึ่งมีโปรดจะเสวยไข่เหี้ยกับมังคุด แต่หาไม่ได้ เนื่องจากขณะนั้นไม่ใช่ฤดูกาลเหี้ยวางไข่ [[เจ้าจอมแว่น ในรัชกาลที่ 1|เจ้าจอมแว่น]]จึงได้ประดิษฐ์ขนมชนิดหนึ่งขึ้นมา โดยให้มีความใกล้เคียงกับไข่เหี้ยมากที่สุด คือ "ขนมไข่เหี้ย" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "[[ขนมไข่หงส์]]" ในช่วง[[รัชกาลที่ 4]]<ref>{{cite web|title=ตัวเงินตัวทองกับคำพังเพย “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”|first=โกวิท|last=วงศ์สุรวัฒน์|date=2016-05-11|accessdate=2016-09-25|url=http://www.matichon.co.th/news/132070|work=มติชน}}</ref>

เชื่อว่าคำว่าเหี้ยเริ่มกลายมาเป็นคำหยาบและคำด่าทอในสมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องจากก่อนหน้านั้น เหี้ย ก็ยังถูกบันทึกไว้ในวรรณกรรมของ[[เจ้าฟ้ากุ้ง]]ในสมัย[[กรุงศรีอยุธยา]]ในฐานะเป็นแค่ชื่อเรียกสัตว์เลื้อยคลานชนิดนี้เท่านั้น โดยเป็นการเรียกเพี้ยนมาจาก[[ภาษาจีนแต้จิ๋ว]]คำว่า "ตั่วเฮีย" ({{lang-zh|大哥}}) ซึ่งหมายถึง พี่ชายคนโต หรือพี่ใหญ่ เนื่องจากในสมัยนั้นมีการปราบปราม[[ฝิ่น]] และชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศสยามขณะนั้นถือได้ว่าเป็นผู้เสียผลประโยชน์จากการปราบปรามฝิ่น จึงออกล้างแค้นโดยฆ่าฟันชาวสยามล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นชาวสยามในเวลานั้นจึงได้ใช้คำว่า ตั่วเฮีย เป็นคำด่าทอและเพี้ยนมาเป็น "ตัวเหี้ย" หรือ "เหี้ย" ในที่สุด<ref>{{cite web|url=https://program.thaipbs.or.th/UrbanWild/episodes/63251|work=[[ไทยพีบีเอส]]|date=2019-09-08|accessdate=2019-09-13|title=
เหี้ย นักกำจัดซาก "ตัวซวย"}}</ref>


ชาวบูกิต ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองบน[[เกาะซูลาเวซี]] ในอินโดนีเซีย ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม เชื่อว่าเหี้ยเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่กลับมาเกิดใหม่ในร่างของสัตว์เลื้อยคลาน มีตำนานเล่าว่ากษัตริย์โกอา ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวบูกิตมีโอรสฝาแฝดสององค์ที่เพิ่งกำเนิดมา โอรสผู้ที่เป็นมนุษย์ได้ตายไป แต่อีกองค์หนึ่งเป็นเหี้ย พระองค์จึงรักเหี้ยมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานเหี้ยก็ไม่ยอมกินอะไรจนเป็นที่กลัวว่าอาจจะตาย พระองค์จึงนำไปปล่อยที่ปากแม่น้ำ จึงทำให้ชาวบูกิตจะรักและเลี้ยงดูเหี้ยเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหลานของตนเอง มีการเลี้ยงดูและอาบน้ำให้เป็นอย่างดี และเมื่อถึงเวลาจะมีพิธีแห่นำเหี้ยไปปล่อยที่แม่น้ำ ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งเหี้ยจะกลับหามาตนและครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งน้ำที่เหี้ยลงไปว่ายถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถนำไปดื่มกินหรืออาบได้ ซึ่งความเชื่อนี้แม้ถูกมองว่าแปลกสำหรับสายตาคนนอก เพราะไม่มีอยู่ในหลักศาสนาอิสลาม แต่นี่เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามาเผยแผ่ และชาวบูกิตก็นำเอาความเชื่อนี้มาผนวกเข้ากับศาสนา โดยเชื่อว่าผู้ที่เข้าร่วมพิธีปล่อยเหี้ยลงแม่น้ำ จะได้บุญเสมอเหมือนกับการได้ไป[[จาริกแสวงบุญ]]ที่[[นครเมกกะ]]<ref>{{cite web|url=http://www.zed.fr/en/tv/distribution/catalogue/programme/messengers-of-sulawesi-52|title=MESSENGERS OF SULAWESI 52'|first=Jean-Michel|last= Corillion|work=zed|language=France}}</ref>
ชาวบูกิต ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองบน[[เกาะซูลาเวซี]] ในอินโดนีเซีย ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม เชื่อว่าเหี้ยเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่กลับมาเกิดใหม่ในร่างของสัตว์เลื้อยคลาน มีตำนานเล่าว่ากษัตริย์โกอา ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวบูกิตมีโอรสฝาแฝดสององค์ที่เพิ่งกำเนิดมา โอรสผู้ที่เป็นมนุษย์ได้ตายไป แต่อีกองค์หนึ่งเป็นเหี้ย พระองค์จึงรักเหี้ยมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานเหี้ยก็ไม่ยอมกินอะไรจนเป็นที่กลัวว่าอาจจะตาย พระองค์จึงนำไปปล่อยที่ปากแม่น้ำ จึงทำให้ชาวบูกิตจะรักและเลี้ยงดูเหี้ยเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหลานของตนเอง มีการเลี้ยงดูและอาบน้ำให้เป็นอย่างดี และเมื่อถึงเวลาจะมีพิธีแห่นำเหี้ยไปปล่อยที่แม่น้ำ ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งเหี้ยจะกลับหามาตนและครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งน้ำที่เหี้ยลงไปว่ายถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถนำไปดื่มกินหรืออาบได้ ซึ่งความเชื่อนี้แม้ถูกมองว่าแปลกสำหรับสายตาคนนอก เพราะไม่มีอยู่ในหลักศาสนาอิสลาม แต่นี่เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามาเผยแผ่ และชาวบูกิตก็นำเอาความเชื่อนี้มาผนวกเข้ากับศาสนา โดยเชื่อว่าผู้ที่เข้าร่วมพิธีปล่อยเหี้ยลงแม่น้ำ จะได้บุญเสมอเหมือนกับการได้ไป[[จาริกแสวงบุญ]]ที่[[นครเมกกะ]]<ref>{{cite web|url=http://www.zed.fr/en/tv/distribution/catalogue/programme/messengers-of-sulawesi-52|title=MESSENGERS OF SULAWESI 52'|first=Jean-Michel|last= Corillion|work=zed|language=France}}</ref>

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:17, 13 กันยายน 2562

เหี้ย
สถานะการอนุรักษ์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordate
ชั้น: Reptilia
อันดับ: Squamata
อันดับย่อย: Sauria
วงศ์: Varanidae
สกุล: Varanus
สกุลย่อย: Soterosaurus
สปีชีส์: V.  salvator
ชื่อทวินาม
Varanus salvator
(Laurenti, 1768)
ชนิดย่อย
ชนิดย่อย
แผนที่แสดงการกระจายพันธุ์ของเหี้ย
ชื่อพ้อง[1]
ชื่อพ้อง
  • Hydrosaurus salvator (Laurenti, 1768)
  • Monitor nigricans Cuvier, 1829
  • Monitor salvator (Laurenti, 1768)
  • Stellio salvator Laurenti, 1768

เหี้ย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Varanus salvator) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ประเทศบังกลาเทศ ศรีลังกา และอินเดีย จนถึงอินโดจีน และเกาะต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย (แบ่งออกเป็นชนิดย่อยต่าง ๆ ได้ 5 ชนิด ดูในตาราง[2]) โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ

ลักษณะ

เป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ ความยาว 2.5–3 เมตร เป็นสัตว์ในตระกูลนี้ที่มีความใหญ่เป็นอันดับสองรองจากมังกรโกโมโด (V. komodoensis) ที่พบบนเกาะโกโมโด ในอินโดนีเซีย[4] โครงสร้างลำตัวประกอบไปด้วยกระดูกเล็กภายใต้ผิวหนังที่เต็มไปด้วยเกล็ดที่เป็นปุ่มนูนขึ้นมา เกล็ดมีการเชื่อมต่อกันตลอดทั้งตัว ไม่มีต่อมเหงื่อแต่มีต่อมน้ำมันใช้สำหรับการป้องกันการสูญเสียน้ำ ช่วยให้อยู่บนบกได้ยาวนานมากขึ้น มีลิ้นแยกเป็นสองแฉกคล้ายงู ใช้สำหรับรับกลิ่นซึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงอาหารเป็นระยะทางไกลหลายเมตร โดยสัมผัสกับโมเลกุลของกลิ่น ปลายลิ้นจะสัมผัสกับประสาทที่ปลายปากเพื่อส่งต่อข้อมูลไปยังสมอง หางยาวมีขนาดพอ ๆ กับความยาวลำตัว เป็นอวัยวะสำคัญสำหรับการทรงตัวและคลื่อนที่ มีฟันที่มีลักษณะที่คล้ายใบเลื่อยเหมาะสำหรับการบดกินอาหารที่มีความอ่อนนุ่มโดยเฉพาะ มีลายดอกสีเหลืองพาดขวางทางยาว ชอบอาศัยอยู่บริเวณใกล้แหล่งน้ำ ว่ายน้ำเก่งและ ดำน้ำนาน อุปนิสัยเป็นสัตว์ที่หากินอย่างสงบตามลำพัง จะมารวมตัวกันก็ต่อเมื่อพบกับอาหาร และมีนิสัยตื่นคน เมื่อพบเจอมักจะวิ่งหนี ในช่วงที่ยังเป็นวัยอ่อน จะมีจุดสีเหลืองตลอดทั้งลำตัวและจะจางหายเมื่อโตขึ้น มีมุมมองการมองเห็นแคบกว่ามนุษย์ มีเล็บที่แหลมคมสำหรับการปีนป่าย โดยปีนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว[5]

การหากิน

ชอบหากินของเน่าเปื่อย เศษซากอาหาร บางครั้งก็จะกินสัตว์เป็น ๆ เช่น ไก่, เป็ด, ปู, หอย, งู, หนู, นกอื่นๆขนาดเล็กถึงกลาง และไข่ของสัตว์ต่าง ๆ รวมทั้งปลา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหี้ยมิใช่สัตว์นักล่า แต่เป็นสัตว์กินซากโดยธรรมชาติ บางครั้งอาจกินเหี้ยขนาดเล็กกว่าเป็นอาหารได้ ในตัวที่ยังเล็กอาจขุดดินหาแมลงหรือไส้เดือนดินกินเป็นอาหารได้ มีระบบการย่อยอาหารที่ดีเยี่ยม ในกระเพาะมีน้ำย่อยที่มีความเป็นกรดรุนแรงและแบคทีเรียสำหรับย่อยสลายซากเน่าโดยเฉพาะ [5]

ถิ่นที่อยู่

เป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำเก่ง สามารถดำน้ำได้ และชอบที่จะลงน้ำ สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี รวมถึงพบได้ทั่วไปในชุมชนเมืองใหญ่ เช่น หลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร เช่น สวนลุมพินี, สวนสัตว์ดุสิต, ทำเนียบรัฐบาลและรอบ ๆ, รอบคลองผดุงกรุงเกษม เป็นต้น มักจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ ๆ มีแหล่งน้ำ อาศัยอยู่ได้ทั้งแหล่งน้ำดีและน้ำเน่าเสียที่มีสภาพเป็นมลพิษ[5]

การผสมพันธุ์

ออกลูกเป็นไข่คราวละ 15–20 ฟอง และใช้เวลาฟัก 45–50 วัน ทั้งนี้ตัวเหี้ยจะวางไข่ในปลายฤดูร้อนต่อเนื่องฤดูฝน และอาจยาวไปถึงฤดูหนาว จะจับคู่กันโดยไม่เลือกว่าคู่จะต้องเป็นตัวเดิม บางครั้งอาจมีการต่อสู้รุนแรงระหว่างตัวผู้เพื่อแย่งชิงตัวเมีย สามารถผสมพันธุ์ได้ทั้งบนบกและในน้ำ อาจผสมพันธุ์ได้มากกว่าปีละหนึ่งครั้ง ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของอาหารและความสมบูรณ์เพศของตัวเมีย การผสมพันธุ์ครั้งหนึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที

สีสันและลวดลายของตัวที่เล็ก
เหี้ยดอก ที่สวนสัตว์พาต้า

ไข่จะมีลักษณะรียาว บางครั้งจะสีขาวขุ่น วางไข่ประมาณ 6–50 ฟอง ในแต่ละปีจะสามารถวางไข่ได้ 2–3 ครั้ง หรืออาจมากกว่านั้นในพื้นที่ซึ่งสภาพในฤดูแล้งและฤดูฝนไม่แตกต่างกัน ไข่จะถูกกลบเป็นเนินดินหรือรังปลวก เวลาในการฟักขึ้นกับชนิดและสภาพแวดล้อม

สัตว์เศรษฐกิจ

ปัจจุบัน เหี้ยถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจอย่างหนึ่ง ที่มีการส่งเสริมให้มีการเพาะเลี้ยงกัน เพื่อนำเนื้อไปใช้ในการบริโภค โดยเฉพาะเนื้อบริเวณส่วนโคนหางที่เรียกว่า "บ้องตัน" และหนังไปทำเครื่องหนัง เช่น กระเป๋า, เข็มขัด เช่นเดียวกับจระเข้[6] และในทางวิชาการยังมีการเก็บและตรวจสอบดีเอ็นเอของเหี้ย โดยภาควิชาพันธุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อศึกษาถึงความหลากหลายทางพันธุกรรม เพื่อจะพัฒนาให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจต่อไปในอนาคตอีกด้วย[7]

วัฒนธรรม

คำว่า "เหี้ย" นั้นมักใช้เป็นคำด่าและเป็นคำหยาบคายที่หรือภาษาที่ไม่สุภาพสำหรับสามัญชนทั่วไปในภาษาไทย บางครั้งจึงเลี่ยงไปใช้คำว่า ตัวเงินตัวทอง หรือ ตัวกินไก่ หรือ น้องจระเข้ แทน[8] หรือบางครั้งก็ใช้คำว่า ตะกวด (ซึ่งในเชิงอนุกรมวิธานแล้วตะกวดเป็นสัตว์คนละชนิดกับเหี้ย) คำว่า เหี้ย ในเชิงการใช้คำศัพท์แบบที่ใช้กับคน มักจะใช้กับเพื่อนสนิทมาก ๆ พูดเป็นคำสร้อยนำหน้าชื่อก็มี สันนิษฐานว่าคำว่า "เหี้ย" มาจากภาษาบาลี "หีน" ที่แปลว่าต่ำช้า กร่อนเหลือ "หี" แล้วแผลงเป็นเหี้ย [9] ภาคอีสานของไทยเรียก แลน

นอกจากนี้แล้ว ไข่เหี้ยยังสามารถนำมารับประทานได้ โดยนำมาต้มให้สุก แล้วใช้เข็มจิ้มให้เป็นรู แล้วแช่น้ำเกลือให้ความเค็มซึมเข้าไป แล้วจึงนำไปย่างไฟ มีรสชาติเค็ม ๆ มัน ๆ ใช้รับประทานคู่กับมังคุดจะได้รสชาติดี จึงเป็นที่มาของคำพังเพยที่ว่า "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง"

รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดการเสวยไข่เหี้ยมาก ครั้งหนึ่งมีโปรดจะเสวยไข่เหี้ยกับมังคุด แต่หาไม่ได้ เนื่องจากขณะนั้นไม่ใช่ฤดูกาลเหี้ยวางไข่ เจ้าจอมแว่นจึงได้ประดิษฐ์ขนมชนิดหนึ่งขึ้นมา โดยให้มีความใกล้เคียงกับไข่เหี้ยมากที่สุด คือ "ขนมไข่เหี้ย" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ขนมไข่หงส์" ในช่วงรัชกาลที่ 4[10]

เชื่อว่าคำว่าเหี้ยเริ่มกลายมาเป็นคำหยาบและคำด่าทอในสมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องจากก่อนหน้านั้น เหี้ย ก็ยังถูกบันทึกไว้ในวรรณกรรมของเจ้าฟ้ากุ้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาในฐานะเป็นแค่ชื่อเรียกสัตว์เลื้อยคลานชนิดนี้เท่านั้น โดยเป็นการเรียกเพี้ยนมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วคำว่า "ตั่วเฮีย" (จีน: 大哥) ซึ่งหมายถึง พี่ชายคนโต หรือพี่ใหญ่ เนื่องจากในสมัยนั้นมีการปราบปรามฝิ่น และชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศสยามขณะนั้นถือได้ว่าเป็นผู้เสียผลประโยชน์จากการปราบปรามฝิ่น จึงออกล้างแค้นโดยฆ่าฟันชาวสยามล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นชาวสยามในเวลานั้นจึงได้ใช้คำว่า ตั่วเฮีย เป็นคำด่าทอและเพี้ยนมาเป็น "ตัวเหี้ย" หรือ "เหี้ย" ในที่สุด[11]

ชาวบูกิต ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองบนเกาะซูลาเวซี ในอินโดนีเซีย ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม เชื่อว่าเหี้ยเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่กลับมาเกิดใหม่ในร่างของสัตว์เลื้อยคลาน มีตำนานเล่าว่ากษัตริย์โกอา ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวบูกิตมีโอรสฝาแฝดสององค์ที่เพิ่งกำเนิดมา โอรสผู้ที่เป็นมนุษย์ได้ตายไป แต่อีกองค์หนึ่งเป็นเหี้ย พระองค์จึงรักเหี้ยมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานเหี้ยก็ไม่ยอมกินอะไรจนเป็นที่กลัวว่าอาจจะตาย พระองค์จึงนำไปปล่อยที่ปากแม่น้ำ จึงทำให้ชาวบูกิตจะรักและเลี้ยงดูเหี้ยเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหลานของตนเอง มีการเลี้ยงดูและอาบน้ำให้เป็นอย่างดี และเมื่อถึงเวลาจะมีพิธีแห่นำเหี้ยไปปล่อยที่แม่น้ำ ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งเหี้ยจะกลับหามาตนและครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งน้ำที่เหี้ยลงไปว่ายถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถนำไปดื่มกินหรืออาบได้ ซึ่งความเชื่อนี้แม้ถูกมองว่าแปลกสำหรับสายตาคนนอก เพราะไม่มีอยู่ในหลักศาสนาอิสลาม แต่นี่เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามาเผยแผ่ และชาวบูกิตก็นำเอาความเชื่อนี้มาผนวกเข้ากับศาสนา โดยเชื่อว่าผู้ที่เข้าร่วมพิธีปล่อยเหี้ยลงแม่น้ำ จะได้บุญเสมอเหมือนกับการได้ไปจาริกแสวงบุญที่นครเมกกะ[12]

แนวคิดเปลี่ยนชื่อ

ครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพูดกันเป็นวงในว่า จะเปลี่ยนชื่อจากตัวเหี้ยเป็น "วรนัส" หรือ "วรนุส" หรือ "วรนุช"[13] (สกุล Varanus อ่านเป็นภาษาละตินว่า วารานุส ซึ่งคล้ายกับคำว่า วรนุช) จนเกิดเป็นกระแสข่าวอยู่ช่วงหนึ่งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งหลังจากที่มีกระแสข่าวนี้ออกมา คำว่าวรนุชนั้นก็ถูกนำไปใช้ในการสื่อความหมายไปในทางเสื่อมเสียบนอินเทอร์เน็ต และส่งผลกระทบต่อบุคคลที่ชื่อวรนุชไปโดยปริยาย[14]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 Bennett, D., Gaulke, M., Pianka, E. R., Somaweera, R. & Sweet, S. S. (2010). "Varanus salvator". IUCN Red List of Threatened Species. Version 2014.2. สืบค้นเมื่อ 2014-08-26.{{cite web}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  2. 2.0 2.1 Koch, A., M. Auliya, A. Schmitz, U. Kuch & W. Böhme. (2007). Morphological Studies on the Systematics of South East Asian Water Monitors (Varanus salvator Complex): Nominotypic Populations and Taxonomic Overview. pp. 109-180. In Horn, H.-G., W. Böhme & U. Krebs (eds.), Advances in Monitor Research III. Mertensiella 16, Rheinbach
  3. Varanus salvator Laurenti, 1768
  4. Wood, Gerald (1983). The Guinness Book of Animal Facts and Feats. ISBN 978-0-85112-235-9.
  5. 5.0 5.1 5.2 เหี้ย...นักกำจัดซากผู้มีชีวิต. สารคดี สัตว์ คน เมือง ทางช่องนาว: เสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2560
  6. "มุมมอง...ตัวเงินตัวทอง "ชื่อใหม่-สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่"". ครูบ้านนอก.
  7. "รายการใครคือใคร Identity Thailand". ช่อง 9. 5 November 2014. สืบค้นเมื่อ 7 November 2014.
  8. "เปิดตัวฟาร์มเลี้ยง..."เหี้ย" มก.มุ่งหวังเป็นสัตว์เศรษฐกิจ". ไทยรัฐ. 6 September 2012. สืบค้นเมื่อ 7 November 2014.
  9. สุจิตต์ วงษ์เทศ. สยามประเทศไทย: แลน-คำลาว, ตะกวด-คำเขมร ไม่ใช่เหี้ย-คำบาลี. หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน. วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11449 ออนไลน์
  10. วงศ์สุรวัฒน์, โกวิท (2016-05-11). "ตัวเงินตัวทองกับคำพังเพย "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง"". มติชน. สืบค้นเมื่อ 2016-09-25.
  11. "เหี้ย นักกำจัดซาก "ตัวซวย"". ไทยพีบีเอส. 2019-09-08. สืบค้นเมื่อ 2019-09-13.
  12. Corillion, Jean-Michel. "MESSENGERS OF SULAWESI 52'". zed (ภาษาFrance).{{cite web}}: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  13. ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าแนะเปลี่ยนชื่อ "เหี้ย" เป็น "วรนุส" จาก มติชน
  14. เปลี่ยนชื่อ เหี้ย เป็น วรนุช โดนสวดยับ!!! จาก กระปุกดอตคอม

แหล่งข้อมูลอื่น

ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Varanus salvator ที่วิกิสปีชีส์