ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สุภาพร กิตติขจร"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
V i P (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
'''สุภาพร กิตติขจร''' ([[23 กันยายน]] [[พ.ศ. 2483]] - [[17 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2548]]) ภริยา[[ณรงค์ กิตติขจร|พันเอกณรงค์ กิตติขจร]]
'''สุภาพร กิตติขจร''' ([[23 กันยายน]] [[พ.ศ. 2483]] [[17 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2548]]) ภริยา[[ณรงค์ กิตติขจร|พันเอกณรงค์ กิตติขจร]]


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==
{{ตรวจภาษา}}
คุณสุภาพร กิตติขจร เป็นบุตรคนที่ 3 ของ[[ประภาส จารุเสถียร|จอมพลประภาส จารุเสถียร]]และท่านผู้หญิงไสว จารุเสถียร เกิดเมื่อวันที่ [[23 กันยายน]] [[พ.ศ. 2483]] เมื่อเยาว์วัยเข้าเรียนชั้นอนุบาลในโรงเรียนกรมทหารสื่อสาร [[บางซื่อ|เขตบางซื่อ]] ในขณะที่จอมพลประภาส รับราชการที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ที่ตั้งเดิม ปัจจุบันเป็น ร.1 พัน 3 รอ.) ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียน เมื่อจอมพลประภาสย้ายไปเป็น ผบ.ร.1 รอ.ซึ่งตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชตุ ตรงข้ามวัดโพธิ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมรักษาดินแดน) ครอบครัวก็ย้ายตามไปหมด สุภาพรจึงย้ายไปเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนซันตาครู๊ซ แล้วย้ายมาเรียนชั้นประถมตอนปลายที่โรงเรียนราชินีบน (บางกระบือ) จนจบมัธยมบริบูรณ์ แล้วจึงไปเรียนต่อในไฮสคูล ที่ลอเร้นโต้ คอนแวนต์ เมืองซิมล่า [[ประเทศอินเดีย]] หลังจากจบลอเร็นโต้กำลังจะไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ แต่ ร.ต.ณรงค์ กิตติขจร (ยศในขณะนั้น) ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับสุภาพรมาตั้งแต่อายุได้ 5-6 ขวบ และณรงค์ ก็รักน้องคนนี้เป็นพิเศษ จนกลายมาเป็นความรักของหนุ่มสาว และได้ขอแต่งงานเมื่อสุภาพรอายุได้เพียง 18 ปีเท่านั้น โดยมีบุตร-ธิดารวม 4 คน คือ พ.อ.เกริกเกียรติ-กรกาจ-พ.อ.กิจก้อง กิตติขจร และ กรองกาญจน์ ดิศกุล ณ อยุธยา


คุณสุภาพร กิตติขจร เป็นบุตรคนที่ 3 ของ[[ประภาส จารุเสถียร|จอมพลประภาส จารุเสถียร]]และ[[ไสว จารุเสถียร|ท่านผู้หญิงไสว จารุเสถียร]] เกิดเมื่อวันที่ [[23 กันยายน]] [[พ.ศ. 2483]] เมื่อเยาว์วัยเข้าเรียนชั้นอนุบาลในโรงเรียนกรมทหารสื่อสาร [[บางซื่อ|เขตบางซื่อ]] ในขณะที่[[จอมพลประภาส]] รับราชการที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ที่ตั้งเดิม ปัจจุบันเป็น ร.1 พัน 3 รอ.) ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียน เมื่อ[[จอมพลประภาส]]ย้ายไปเป็น ผบ.ร.1 รอ.ซึ่งตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชตุ ตรงข้ามวัดโพธิ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมรักษาดินแดน) ครอบครัวก็ย้ายตามไปหมด คุณสุภาพรจึงย้ายไปเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนซันตาครู๊ซ แล้วย้ายมาเรียนชั้นประถมตอนปลายที่โรงเรียนราชินีบน (บางกระบือ) จนจบมัธยมบริบูรณ์ แล้วจึงไปเรียนต่อในไฮสคูล ที่ลอเร้นโต้ คอนแวนต์ เมืองซิมล่า [[ประเทศอินเดีย]] หลังจากจบลอเร็นโต้กำลังจะไปศึกษาต่อใน[[ประเทศอังกฤษ]] แต่ [[ณรงค์ กิตติขจร|ร้อยตรีณรงค์ กิตติขจร]] (ยศในขณะนั้น) ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับคุณสุภาพรมาตั้งแต่อายุได้ 5-6 ขวบ ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่เยาว์วัย ได้ขอแต่งงานเมื่อคุณสุภาพรอายุได้เพียง 18 ปีเท่านั้น โดยมีบุตร - ธิดารวม 4 คน ได้แก่
พันโทณรงค์และคุณสุภาพร กิตติขจรอยู่กันมาเป็นระยะเวลาถึง 47 ปี ซึ่งในระยะเวลา 47 ปีนั้นไม่เคยอยู่ห่างกันเลย นอกจากในขณะที่ [[ณรงค์ กิตติขจร|พันโทณรงค์ กิตติขจร]] ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ราชการสงครามในต่างประเทศ นอกจากนั้นจะอยู่รวมกันตลอด แม้กระทั่งในขณะที่ [[ณรงค์ กิตติขจร|พันโทณรงค์]] ถูกมรสุมทางการเมือง ต้องไปอยู่ใน[[ประเทศเยอรมัน]] คุณสุภาพรก็ไปอยู่ด้วยคือมีสุขก็สุขด้วยกัน มีทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน อย่างไรก็ตามพันโทณรงค์และคุณสุภาพรทั้งที่มีความรักอันแน่นแฟ้นต่อกันแต่ก็ต้องแยกกันเพราะโรคภัยที่เข้ามาเยือน
* พันเอก เกริกเกียรติ กิตติขจร
* นายกรกาจ กิตติขจร
* พันเอก กิจก้อง กิตติขจร
* นางกรองกาญจน์ ดิศกุล ณ อยุธยา

== ชีวิตส่วนตัว ==

พันโทณรงค์และคุณสุภาพร กิตติขจรอยู่กันมาเป็นระยะเวลาถึง 47 ปี แม้ว่า [[ณรงค์ กิตติขจร|พันโทณรงค์ กิตติขจร]] ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ราชการสงครามในต่างประเทศหรือขณะที่ [[ณรงค์ กิตติขจร|พันโทณรงค์]] ถูกมรสุมทางการเมือง ต้องไปอยู่ใน[[ประเทศเยอรมนี]]ก็ตาม


== บั้นปลายชีวิต ==
== บั้นปลายชีวิต ==


ในการจากไปของสุภาพร กิตติขจร นับตั้งแต่เริ่มป่วยในเดือน[[กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2547]] ได้รับความกรุณาอย่างดีจากคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ในเบื้องต้น และคณะแพทย์พยาบาลโรงพยาบาลกรุงเทพ โดยเฉพาะ นพ.นิพนธ์ ลิ้มตระกูล ได้พยายามรักษาพยาบาลอย่างเต็มความสามารถจนกลับบ้านได้ในครั้งแรก ต่อมาภายหลังมีอาการไม่ค่อยดี จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพอีกครั้ง และมีอาการทรุดลงเรื่อยๆ จนสุดจะเยียวยาได้และจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ [[17 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2548]]
คุณสุภาพร กิตติขจร เริ่มป่วยในเดือน[[กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2547]] ได้รับการรักษาจากคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ในเบื้องต้น และคณะแพทย์พยาบาลโรงพยาบาลกรุงเทพ โดยเฉพาะ นพ.นิพนธ์ ลิ้มตระกูล ได้พยายามรักษาพยาบาลอย่างเต็มความสามารถจนกลับบ้านได้ในครั้งแรก ต่อมาภายหลังมีอาการไม่ค่อยดี จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพอีกครั้ง และมีอาการทรุดลงเรื่อยๆ จนสุดจะเยียวยาได้และจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ [[17 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2548]]


{{เกิดปี|2483}}{{ตายปี|2548}}
{{เกิดปี|2483}}{{ตายปี|2548}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:43, 4 ธันวาคม 2550

สุภาพร กิตติขจร (23 กันยายน พ.ศ. 248317 มีนาคม พ.ศ. 2548) ภริยาพันเอกณรงค์ กิตติขจร

ประวัติ

คุณสุภาพร กิตติขจร เป็นบุตรคนที่ 3 ของจอมพลประภาส จารุเสถียรและท่านผู้หญิงไสว จารุเสถียร เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2483 เมื่อเยาว์วัยเข้าเรียนชั้นอนุบาลในโรงเรียนกรมทหารสื่อสาร เขตบางซื่อ ในขณะที่จอมพลประภาส รับราชการที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ที่ตั้งเดิม ปัจจุบันเป็น ร.1 พัน 3 รอ.) ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียน เมื่อจอมพลประภาสย้ายไปเป็น ผบ.ร.1 รอ.ซึ่งตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชตุ ตรงข้ามวัดโพธิ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมรักษาดินแดน) ครอบครัวก็ย้ายตามไปหมด คุณสุภาพรจึงย้ายไปเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนซันตาครู๊ซ แล้วย้ายมาเรียนชั้นประถมตอนปลายที่โรงเรียนราชินีบน (บางกระบือ) จนจบมัธยมบริบูรณ์ แล้วจึงไปเรียนต่อในไฮสคูล ที่ลอเร้นโต้ คอนแวนต์ เมืองซิมล่า ประเทศอินเดีย หลังจากจบลอเร็นโต้กำลังจะไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ แต่ ร้อยตรีณรงค์ กิตติขจร (ยศในขณะนั้น) ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับคุณสุภาพรมาตั้งแต่อายุได้ 5-6 ขวบ ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่เยาว์วัย ได้ขอแต่งงานเมื่อคุณสุภาพรอายุได้เพียง 18 ปีเท่านั้น โดยมีบุตร - ธิดารวม 4 คน ได้แก่

  • พันเอก เกริกเกียรติ กิตติขจร
  • นายกรกาจ กิตติขจร
  • พันเอก กิจก้อง กิตติขจร
  • นางกรองกาญจน์ ดิศกุล ณ อยุธยา

ชีวิตส่วนตัว

พันโทณรงค์และคุณสุภาพร กิตติขจรอยู่กันมาเป็นระยะเวลาถึง 47 ปี แม้ว่า พันโทณรงค์ กิตติขจร ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ราชการสงครามในต่างประเทศหรือขณะที่ พันโทณรงค์ ถูกมรสุมทางการเมือง ต้องไปอยู่ในประเทศเยอรมนีก็ตาม

บั้นปลายชีวิต

คุณสุภาพร กิตติขจร เริ่มป่วยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 ได้รับการรักษาจากคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ในเบื้องต้น และคณะแพทย์พยาบาลโรงพยาบาลกรุงเทพ โดยเฉพาะ นพ.นิพนธ์ ลิ้มตระกูล ได้พยายามรักษาพยาบาลอย่างเต็มความสามารถจนกลับบ้านได้ในครั้งแรก ต่อมาภายหลังมีอาการไม่ค่อยดี จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพอีกครั้ง และมีอาการทรุดลงเรื่อยๆ จนสุดจะเยียวยาได้และจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2548