ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สงครามเวียดนาม"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{กล่องข้อมูล การรบ
{{กล่องข้อมูล การรบ
| ชื่อการรบ = สงครามเวียดนาม
| ชื่อการรบ = สงครามไรอัันเก
| สงคราม = [[สงครามเย็น]]
| สงคราม = [[สงครามเย็น]]
| รูปภาพ = [[ไฟล์:VNWarMontage.png|300px]]
| รูปภาพ = [[ไฟล์:VNWarMontage.png|300px]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:55, 3 กรกฎาคม 2562

สงครามเวียดนาม
สถานที่
{{{place}}}
กำลัง
  • ~1,830,000 (2511)
  • เวียดนามใต้ เวียดนามใต้: 850,000
    1,500,000 (2517–8)[1]
  • สหรัฐ สหรัฐ: 536,100
  • กำลังทหารโลกเสรี: 65,000[2][3] แบ่งเป็น
  • เกาหลีใต้ เกาหลีใต้: 50,000[4]
  • ออสเตรเลีย ออสเตรเลีย: 7,672
  • ไทย ไทย : 10,450
  • ฟิลิปปินส์ : ฟิลิปปินส์ : 2,061
  • นิวซีแลนด์ นิวซีแลนด์: 552
  • ~461,000
  • เวียดนามเหนือ เวียดนามเหนือ: 287,465 (มกราคม 2511)[5]
  • จีน จีน: 170,000 (2508–12)[6][7]
    [8]
  • สหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียต 3,000
  • เกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือ: 300–600

สงครามเวียดนาม หรือ สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง หรือที่ชาวเวียดนามรู้จักกันในชื่อ สงครามอเมริกา เป็นสงครามตัวแทนสมัยสงครามเย็นที่เกิดขึ้นในประเทศเวียดนาม ลาวและกัมพูชาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2498[A 1] กระทั่งกรุงไซ่ง่อนแตกเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518 สงครามเวียดนามนี้เกิดขึ้นหลังสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง และมีเวียดนามเหนือซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจีน สหภาพโซเวียตและพันธมิตรคอมมิวนิสต์อื่นเป็นคู่สงครามฝ่ายหนึ่ง กับรัฐบาลเวียดนามใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและประเทศที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์อื่นเป็นคู่สงครามอีกฝ่ายหนึ่ง[13] เวียดกง (หรือ แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ) เป็นแนวร่วมประชาชนคอมมิวนิสต์เวียดนามใต้ที่ติดอาวุธเบาซึ่งมีเวียดนามเหนือสั่งการ สู้รบในสงครามกองโจรต่อกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค กองทัพประชาชนเวียดนาม (กองทัพเวียดนามเหนือ) ต่อสู้ในสงครามตามแบบมากกว่า และบางครั้งส่งหน่วยขนาดใหญ่เข้าสู่ยุทธการ เมื่อสงครามดำเนินไป ส่วนการต่อสู้ของเวียดกงลดลงขณะที่บทบาทของกองทัพประชาชนเวียดนามเพิ่มขึ้น กำลังสหรัฐและเวียดนามใต้อาศัยความเป็นเจ้าเวหาและอำนาจการยิงที่เหนือกว่าเพื่อดำเนินปฏิบัติการค้นหาและทำลาย ซึ่งรวมถึงกำลังภาคพื้นดิน ปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศ ตลอดห้วงสงคราม สหรัฐดำเนินการทัพทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ขนานใหญ่ต่อเวียดนามเหนือ และต่อมาน่านฟ้าเวียดนามเหนือกลายเป็นน่านฟ้าที่มีการป้องกันหนาแน่นที่สุดในโลก

รัฐบาลสหรัฐมองว่าการเข้ามามีส่วนในสงครามของตนเป็นหนทางป้องกันการยึดเวียดนามใต้ของคอมมิวนิสต์อันเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาที่ใหญ่กว่า โดยมีเป้าหมายที่แถลงไว้เพื่อหยุดการแพร่ของคอมมิวนิสต์ ตามทฤษฎีโดมิโนของสหรัฐ หากรัฐหนึ่งกลายเป็นคอมมิวนิสต์ รัฐอื่นในภูมิภาคก็จะเป็นไปด้วย ฉะนั้น นโยบายของสหรัฐจึงถือว่าการผ่อนปรนการแพร่ของคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศเวียดนามนั้นยอมรับไม่ได้ รัฐบาลเวียดนามเหนือและเวียดกงต่อสู้เพื่อรวมเวียดนามอยู่ในการปกครองคอมมิวนิสต์ ทั้งสองมองข้อพิพาทนี้เป็นสงครามอาณานิคม ซึ่งเริ่มแรกสู้กับฝรั่งเศส โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ แล้วต่อมาสู้กับเวียดนามใต้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นรัฐหุ่นเชิดของสหรัฐ[14] ที่ปรึกษาทางทหารชาวอเมริกันมาถึงอินโดจีนขณะนั้นเริ่มตั้งแต่ปี 2493 การเข้ามามีส่วนของสหรัฐเพิ่มขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 โดยมีระดับทหารเพิ่มเป็นสามเท่าในปี 2494 และเพิ่มอีกสามเท่าในปีต่อมา[15] การเข้ามามีส่วนของสหรัฐทวีขึ้นอีกหลังเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย ปี 2507 ซึ่งเรือพิฆาตของสหรัฐปะทะกับเรือโจมตีเร็วของเวียดนามเหนือ ซึ่งตามติดด้วยข้อมติอ่าวตังเกี๋ยซึ่งอนุญาตให้ประธานาธิบดีสหรัฐเพิ่มทหารในพื้นที่ หน่วยรบปกติของสหรัฐถูกจัดวางเริ่มตั้งแต่ปี 2498 ปฏิบัติการข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ โดยพื้นที่ติดต่อกับประเทศลาวและกัมพูชาถูกกองทัพสหรัฐทิ้งระเบิดอย่างหนักขณะที่การเข้ามามีส่วนในสงครามของสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2511 ปีเดียวกัน ฝ่ายคอมมิวนิสต์เปิดฉากการรุกตรุษญวน การรุกตรุษญวนไม่สัมฤทธิ์ผลในการโค่นรัฐบาลเวียดนามใต้ แต่ได้กลายเป็นจุดพลิกผันของสงคราม เพราะได้แสดงว่าเวียดนามใต้ไม่อาจป้องกันตัวเองจากเวียดนามเหนือได้ แม้สหรัฐจะทุ่มความช่วยเหลือทางทหารอย่างมหาศาลหลายปี ด้วยจุดชัยชนะของสหรัฐนั้นไม่ชัดเจน จึงค่อย ๆ มีการถอนกำลังภาคพื้นดินของสหรัฐโดยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเรียก การแผลงเป็นเวียดนาม (Vietnamization) ซึ่งมุ่งยุติการเข้ามามีส่วนในสงครามของสหรัฐขณะที่โอนภารกิจต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ให้เวียดนามใต้เอง แม้ภาคีทุกฝ่ายลงนามข้อตกลงสันติภาพปารีสในเดือนมกราคม 2516 แล้วก็ตาม แต่การสู้รบยังดำเนินต่อไป ในสหรัฐและโลกตะวันตก มีการพัฒนาขบวนการต่อต้านสงครามเวียดนามขนาดใหญ่ขึ้น ขบวนการนี้ทั้งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมต่อต้าน (Counterculture) แห่งคริสต์ทศวรรษ 1960 และเป็นปัจจัยหนึ่งของมัน

การมีส่วนร่วมทางทหารของสหรัฐยุติลงเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2516 อันเป็นผลมาจากคำแปรญัตติเคส–เชิร์ช (Case–Church Amendment) ที่รัฐสภาสหรัฐผ่าน[16] การยึดกรุงไซ่ง่อนโดยกองทัพประชาชนเวียดนามในเดือนเมษายน 2518 เป็นจุดสิ้นสุดของสงคราม และมีการรวมชาติเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ในปีต่อมา สงครามนี้คร่าชีวิตมนุษย์ไปมหาศาล ประเมินตัวเลขทหารและพลเรือนชาวเวียดนามที่ถูกสังหารมีตั้งแต่น้อยกว่า 1 ล้านคนเล็กน้อย[17] ไปถึงกว่า 3 ล้านคน[18][19] ชาวกัมพูชาเสียชีวิตราว 2-3 แสนคน[20][21][22] ชาวลาวเสียชีวิต 20,000-200,000 คน[23][24][25][26][27][28] และทหารชาวอเมริกันเสียชีวิตในข้อพิพาทนี้ 58,220 นาย[A 2]

เบื้องหลังถึงปี 2492

ฝรั่งเศสเริ่มการพิชิตอินโดจีนในปลายคริสต์ทศวรรษ 1850 และปราบปรามอย่างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2436[34][35][36] สนธิสัญญาเว้ ค.ศ. 1884 เป็นพื้นฐานการปกครองอาณานิคมฝรั่งเศสในเวียดนามเป็นเวลาอีกเจ็ดทศวรรษ แม้จะมีการต้านทานทางทหาร ที่โดดเด่นที่สุด คือ เกิ่นเวืองแห่งฟาน ดิญ ฝุง ในปี 2431 พื้นที่ซึ่งเป็นประเทศกัมพูชาและเวียดนามปัจจุบันกลายสภาพเป็นอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส และลาวถูกเพิ่มเข้าสู่อาณานิคมภายหลัง[37] มีขบวนการต่อต้านฝรั่งเศสหลายกลุ่มในช่วงนี้ เช่น พรรคชาตินิยมเวียดนามที่ก่อการกำเริบเอียนบ๊ายที่ล้มเหลวในปี 2473 แต่ท้ายที่สุด ไม่มีกลุ่มใดประสบความสำเร็จมากเท่ากับแนวร่วมเวียดมินห์ ซึ่งก่อตั้งในปี 2484 ซึ่งอยู่ในการควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน และได้รับเงินทุนจากสหรัฐและพรรคชาตินิยมจีนในการต่อสู้กับการยึดครองของญี่ปุ่น[38][A 3]

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ฝรั่งเศสปราชัยต่อเยอรมนีในปี 2483 สำหรับอินโดจีนของฝรั่งเศส หมายความว่า เจ้าหน้าที่อาณานิคมกลายเป็นฝรั่งเศสเขตวีชี พันธมิตรของอักษะเยอรมนี-อิตาลี สรุปคือ ฝรั่งเศสร่วมมือกับกำลังญี่ปุ่นหลังการบุกครองอินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 2483 ฝรั่งเศสยังดำเนินกิจการในอาณานิคมต่อไป ทว่าอำนาจสูงสุดเป็นของญี่ปุ่น[38]

เวียดมินห์ก่อตั้งขึ้นเป็นสันนิบาตเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส แต่ก็ต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่นในปี 2488 ด้วยสาเหตุเดียวกัน สหรัฐและพรรคชาตินิยมจีนสนับสนุนเวียดมินห์ในการต่อสู้กับการยึดครองของญี่ปุ่น[40] ทว่า ทีแรกเวียดมินห์ยังไม่มีกำลังพอต่อสู้ในยุทธการแท้จริง ผู้นำเวียดมินห์ โฮจิมินห์ ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์และถูกพรรคชาตินิยมจีนจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปี[41]

การยึดครองซ้อนโดยฝรั่งเศสและญี่ปุ่นดำเนินมากระทั่งกำลังเยอรมนีถูกขับออกจากฝรั่งเศสและเจ้าหน้าที่อาณานิคมอินโดจีนฝรั่งเศสเริ่มต้นเจรจาทางลับกับฝรั่งเศสเสรี ด้วยเกรงว่าพวกตนไม่อาจเชื่อใจเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสได้อีกต่อไป กองทัพญี่ปุ่นจึงกักตัวเจ้าหน้าที่และทหารฝรั่งเศสในวันที่ 9 มีนาคม 2488[42] และสถาปนารัฐหุ่นเชิดจักรวรรดิเวียดนาม ภายใต้สมเด็จพระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยแทน

ระหว่างปี 2487–2488 เกิดทุพภิกขภัยรุนแรงทางเหนือของเวียดนามเนื่องจากสภาพอากาศเลวและการแสวงหาประโยชน์ของฝรั่งเศสและญี่ปุ่นประกอบกัน เพราะอินโดจีนฝรั่งเศสต้องจัดส่งธัญพืชแก่ญี่ปุ่น[43] มีผู้เสียชีวิตเพราะการอดอยากระหว่าง 400,000 ถึง 2 ล้านคน[44] จากประชากรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 10 ล้านคน[45] ในเดือนมีนาคม 2488 เวียดมินห์อาศัยช่องว่างทางการปกครอง[46]ซึ่งเกิดจากการกักตัวเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสหนุนให้ประชาชนปล้นคลังข้าวและปฏิเสธไม่จ่ายภาษี[47] มีคลังสินค้าถูกปล้นระหว่าง 75 ถึง 100 แห่ง[48] การกบฏต่อผลกระทบแห่งทุพภิกขภัยและเจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบต่อภัยดังกล่าวบางส่วนเสริมความนิยมของเวียดมินห์ และเวียดมินห์สามารถระดมสมาชิกได้เป็นจำนวนมากในช่วงนี้[46]

ระหว่างเดือนสิงหาคม 2488 กองทัพญี่ปุ่นยังไม่มีความเคลื่อนไหว ขณะที่เวียดมินห์และกลุ่มชาตินิยมอื่นยึดสถานที่ราชการและอาวุธ ซึ่งเริ่มการปฏิวัติเดือนสิงหาคม เจ้าหน้าที่โอเอสเอสเข้าพบโฮจิมินห์และนายทหารเวียดมินห์อื่นหลายครั้งในช่วงนี้[49] และเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2488 โฮจิมินห์ประกาศอิสรภาพสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามต่อหน้าฝูงชน 500,000 คนในฮานอย[48] เขาเริ่มสุนทรพจน์โดยถอดความคำประกาศอิสรภาพสหรัฐว่า "มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการที่จะเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้นได้แก่ ชีวิต เสรีภาพและการเสาะแสวงหาความสุข"[48]

เวียดมินห์ยึดอำนาจในเวียดนามในการปฏิวัติเดือนสิงหาคม[48] ตาม Gabriel Kolko เวียดมินห์ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง[50] ทว่า Arthur J. Dommen เตือน "มุมมองที่ถูกทำให้เย้ายวน" ของความสำเร็จนี้: "การใช้ความสะพรึงกลัวของเวียดมินห์นั้นเป็นระบบ....พรรคดึงรายชื่อผู้ต้องฆ่าทิ้งอย่างไม่รีรอ"[51] หลังพ่ายในสงคราม กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นมอบอาวุธให้ชาวเวียดนาม และยังคุมขังเจ้าหน้าที่และนายทหารวีชีฝรั่งเศสเป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังยอมจำนน เวียดมินห์ระดมทหารญี่ปุ่นกว่า 600 นายและมอบบทบาทให้พวกเขาฝึกหรือบังคับบัญชาทหารเวียดนาม[52][53]

นายทหารเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นยอมจำนนดาบต่อร้อยโทชาวบริติชในไซ่ง่อน วันที่ 13 กันยายน 2488

อย่างไรก็ดี ฝ่ายสัมพันธมิตรหลักผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่สอง สหราชอาณาจักร สหรัฐและสหภาพโซเวียตล้วนตกลงกันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของฝรั่งเศส[48] เนื่องจากฝรั่งเศสไม่มีหนทางยึดเวียดนามคืนได้ทันที มหาอำนาจจึงบรรลุความตกลงกันว่าทหารอังกฤษจะยึดครองเวียดนามใต้ ขณะที่กำลังจีนชาตินิยมจะเคลื่อนเข้ามาจากทางเหนือ[54] กำลังชาตินิยมจีนเข้าประเทศเวียดนามเพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นที่อยู่เหนือเส้นขนานที่ 16 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2488 เมื่ออังกฤษยกพลขึ้นบกทางใต้ ก็ติดอาวุธให้กำลังฝรั่งเศสที่ถูกกักตัว ตลอดจนกำลังญี่ปุ่นที่ยอมจำนนบางส่วนเพื่อช่วยฝรั่งเศสยึดเวียดนามใต้คน เพราะไม่มีพลเพียงพอกระทำการตามลำพัง[48]

ด้วยการกระตุ้นของสหภาพโซเวียต ทีแรกโฮจิมินห์พยายามเจรจากับฝรั่งเศส ซึ่งกำลังสถาปนาการควบคุมทั้งพื้นที่อย่างช้า ๆ[55] ในเดือนมกราคม 2489 เวียดมินห์ชนะการเลือกตั้งทั่วเวียดนามเหนือและกลาง[56] เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2489 โฮลงนามความตกลงอนุญาตให้กำลังฝรั่งเศสแทนกำลังจีนชาตินิยม แลกกับการรับรองสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามของฝรั่งเศสว่าเป็นสาธารณรัฐ "อิสระ" ในสหภาพฝรั่งเศส โดยเกณฑ์การรับรองนี้จะกำหนดโดยการเจรจาในอนาคต[57][58][59] ฝรั่งเศสขึ้นบกในฮานอยเมื่อเดือนมีนาคม 2489 และขับเวียดมินห์ออกจากนครในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น[55] กำลังอังกฤษออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2489 ทิ้งเวียดนามให้อยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส[60] ไม่นานให้หลัง เวียดมินห์เริ่มต้นสงครามกองโจรต่อกำลังสหภาพฝรั่งเศส เริ่มต้นสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง

สงครามลุกลามไปยังประเทศลาวและกัมพูชา ที่ซึ่งนักคอมมิวนิสต์จัดระเบียบขบวนการปะเทดลาวและเขมรเสรี ซึ่งทั้งสองถอดแบบมาจากเวียดมินห์[61] ด้านสถานการณ์โลก สงครามเย็นเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งหมายความว่าการกระชับความสัมพันธ์ซึ่งมีระหว่างฝ่ายตะวันตกและสหภาพโซเวียตระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้พังทลายลง การขาดอาวุธเป็นอุปสรรคของเวียดมินห์ แต่สถานการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนไปเมื่อปี 2492 คอมมิวนิสต์จีนชนะสงครามกลางเมืองจีนได้ส่วนใหญ่แล้ว และสามารถจัดหาอาวุธให้แก่พันธมิตรเวียดนามได้[61]

ฝรั่งเศสถอย 2493–2497

ในเดือนมกราคม 2493 สาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียตรับรองว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามของเวียดมินห์ซึ่งมีฐานในฮานอยเป็นรัฐบาลเวียดนามที่ชอบธรรม เดือนต่อมา สหรัฐและบริเตนใหญ่รับรองว่ารัฐเวียดนามในไซ่ง่อนที่ฝรั่งเศสหนุนหลัง นำโดยอดีตสมเด็จพระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เป็นรัฐบาลเวียดนามที่ชอบธรรม การปะทุของสงครามเกาหลีในเดือนมิถุนายนปีนั้น ชวนให้ผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาลสหรัฐเชื่อว่าสงครามในอินโดจีนเป็นตัวอย่างลัทธิการขยายอิทธิพล (expansionism) คอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตชี้นำ

ทหารฝรั่งเศสต่อสู้กับการซุ่มโจมตีของเวียดมินห์ในปี 2495

ที่ปรึกษาทางทหารจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเริ่มให้การสนับสนุนเวียดมินห์ในเดือนกรกฎาคม 2493 อาวุธ ความรู้ความชำนาญและจับกังของจีนเปลี่ยนเวียดมินห์จากกำลังกองโจรเป็นกองทัพตามแบบ ในเดือนกันยายนปีนั้น สหรัฐตั้งคณะที่ปรึกษาช่วยเหลือทางทหาร (Military Assistance and Advisory Group, ย่อ: MAAG) เพื่อคัดกรองคำขอความช่วยเหลือ คำแนะนำทางยุทธศาสตร์และการฝึกทหารเวียดนามของฝรั่งเศส จนถึงปี 2497 สหรัฐจัดหาอาวุธเบา 300,000 ชิ้นและใช้เงิน 1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐสนับสนุนความพยายามทางทหารของฝรั่งเศส คิดเป็น 80% ของมูลค่าสงคราม

นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาระหว่างฝรั่งเศสและสหรัฐซึ่งพิจารณาความเป็นไปได้ของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีสามลูก ทว่า รายงานความจริงจังของการพิจารณานี้และผู้พิจารณายังคลุมเครือและขัดแย้งกันแม้จนปัจจุบัน แผนฉบับหนึ่งสำหรับปฏิบัติการแร้ง (Operation Vulture) ที่เสนอไว้กล่าวถึงการส่งเครื่องบินบี-29 จากฐานทัพสหรัฐในภูมิภาค 60 ลำ โดยมีเครื่องบินขับไล่ที่อาจมากถึง 150 ลำที่ปล่อยจากเรือบรรทุกเครื่องบินกองเรือสหรัฐที่เจ็ดสนับสนุน ทิ้งระเบิดที่ตั้งของหวอ เงวียน ซ้าป ผู้บัญชาการเวียดมินห์ แผนดังกล่าวรวมทางเลือกการใช้อาวุธนิวเคลียร์มากถึงสามลูกต่อที่ตั้งของเวียดมินห์ พลเรือเอก อาเธอร์ ดับเบิลยู. แรดฟอร์ด (Arthur W. Radford) ประธานคณะเสนาธิการทหารสหรัฐ สนับสนุนทางเลือกนิวเคลียร์นี้ เครื่องบินบี-29 บี-36 และบี-47 สามารถโจมตีด้วยนิวเคลียร์ได้ เช่นเดียวกับอากาศยานประจำเรือจากกองเรือที่เจ็ด

เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐแล่นไปยังอ่าวตังเกี๋ย และมีเที่ยวบินลาดตระเวนเหนือเดียนเบียนหูระหว่างการเจรจา ตามรองประธานาธิบดีสหรัฐ ริชาร์ด นิกสัน แผนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคณะเสนาธิการทหารที่ร่างแผนใช้อาวุธนิวเคลียร์ยุทธวิธีขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนฝรั่งเศส นิกสันเสนอว่าสหรัฐอาจต้อง "ส่งทหารอเมริกาเข้าไป" ประธานาธิบดีสหรัฐ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ตั้งเงื่อนไขการมีส่วนเกี่ยวข้องของสหรัฐกับการสนับสนุนของอังกฤษ แต่คัดค้านการเสี่ยงขนาดนั้น ในท้ายที่สุด ไอเซนฮาวร์ตัดสินใจไม่แทรกแซง เพราะเชื่อว่าความเสี่ยงทางการเมืองมีมากกว่าประโยชน์ที่เป็นไปได้ ไอเซนฮาวร์เป็นพลเอกห้าดาว เขารอบคอบกับการดึงสหรัฐเข้าไปมีส่วนในสงครามภาคพื้นดินในทวีปเอเชีย

เวียดมินห์ได้รับการสนับสนุนสำคัญจากสหภาพโซเวียตและจีน การสนับสนุนของจีนในสงครามชายแดน พ.ศ. 2493 ทำให้การส่งกำลังจากจีนเข้ามายังเวียดนามได้ ตลอดความขัดแย้ง การประมาณของข่าวกรองสหรัฐยังข้องใจกับโอกาสสำเร็จของฝรั่งเศส

ยุทธการที่เดียนเบียนฟูเป็นการสิ้นสุดการมีส่วนเกี่ยวข้องของฝรั่งเศสในอินโดจีน กำลังเวียดมินห์ของซ้าปมอบความปราชัยทางทหารอันน่าพิศวงแก่ฝรั่งเศส และในวันที่ 7 พฤษภาคม 2497 ทหารที่ตั้งของสหภาพฝรั่งเศสยอมจำนน ในจำนวนเชลยศึกชาวฝรั่งเศส 12,000 คนที่เวียดมินห์จับได้ มีผู้รอดชีวิตเพียง 3,000 คนเท่านั้น ที่การประชุมเจนีวา ฝรั่งเศสเจรจาความตกลงหยุดยิงกับเวียดมินห์ และฝรั่งเศสให้เอกราชแก่กัมพูชา ลาวและเวียดนาม

ยุคเปลี่ยนผ่าน

ประเทศเวียดนามถูกแบ่งชั่วคราวที่เส้นขนานที่ 17 และภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงเจนีวา พลเรือนได้รับโอกาสให้เคลื่อนย้ายอย่างเสรีระหว่างสองรัฐชั่วคราวเป็นเวลา 300 วัน มีกำหนดจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศในปี 2499 เพื่อตั้งรัฐบาลรวม ชาวเวียดนามเหนือประมาณหนึ่งล้านคน ส่วนใหญ่เป็นคาทอลิกชนกลุ่มน้อย หนีลงใต้ ด้วยกลัวถูกคอมมิวนิสต์เบียดเบียน หลังการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อของอเมริกาที่ใช้คำขวัญอย่าง "พระนางมารีย์พรหมจารีมุ่งหน้าลงใต้" และได้รับการช่วยเหลือโดยโครงการย้ายที่อยู่ที่สหรัฐจัดหาทุน 93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมการใช้กองเรือที่เจ็ดขนผู้ลี้ภัยข้ามฟาก อาจมีมากถึงสองล้านคนหากไม่ถูกเวียดมินห์หยุดไว้ก่อน ตั้งใจว่าผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามเหนือจะให้ระบอบโง ดิ่ญ เสี่ยมมีเขตเลือกตั้งต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่เข้มแข็ง เสี่ยมต่อมาตั้งคาทอลิกเวียดนามเหนือและกลางดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเขา

นอกเหนือจากคาทอลิกหลั่งไหลลงใต้ ยังมี "ผู้กลับรวมกลุ่มปฏิวัติ" มากถึง 130,000 คนเดินทางขึ้นเหนือเพื่อ "รวมกลุ่มใหม่" โดยคาดหมายว่าจะกลับใต้ภายในสองปี เวียดมินห์เหลือกลุ่มแกนนำ 5,000 ถึง 10,000 คนในทางใต้เป็น "โครงสร้างย่อยทางการเมือง-ทหารภายในวัตถุประสงค์อุดมการณ์เรียกร้องดินแดนของชนชาติเดียวกัน" ทหารฝรั่งเศสคนสุดท้ายมีกำหนดออกจากเวียดนามในเดือนเมษายน 2499 สาธารณรัฐประชาชนจีนเสร็จสิ้นการถอนทหารจากเวียดนามเหนือในเวลาใกล้เคียงกัน พลเรือนเวียดนามประมาณ 52,000 คนย้ายจากใต้ขึ้นเหนือ

ระหว่างปี 2496 ถึง 2499 รัฐบาลเวียดนามเหนือตั้งการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรต่าง ๆ ซึ่งรวม "การลดการเช่า" และ "การปฏิรูปที่ดิน" ซึ่งทำให้เกิดการกดขี่ทางการเมืองอย่างสำคัญ ระหว่างการปฏิรูปที่ดิน คำให้การจากพยานเวียดนามเหนือแนะว่ามีสัดส่วนการประหารชีวิตหนึ่งครั้งต่อชาวบ้านทุก 160 คน ซึ่งเมื่อประมาณทั่วประเทศแล้วจะชี้ว่ามีการประหารชีวิตเกือบ 100,000 ครั้ง เนื่องจากการรณรงค์ดังกล่าวกระจุกส่วนใหญ่ในพื้นที่สามเหลี่ยมแม่น้ำแดง นักวิชาการในขณะนั้นจึงยอมรับตัวเลขประเมินที่ต่ำลง คือ 50,000 ครั้งอย่างกว้างขวาง ทว่า เอกสารที่ถูกปลดชั้นความลับจากจดหมายเหตุเวียดนามและฮังการีบ่งว่าจำนวนการประหารชีวิตต่ำกว่าที่รายงานในขณะนั้นมาก แม้เป็นไปได้ว่ามากกว่า 13,500 ครั้ง ในปี 2499 ผู้นำในกรุงฮานอยยอมรับว่า "เลยเถิด" ในการนำโครงการนี้ไปปฏิบัติและคืนที่ดินปริมาณมากให้เจ้าของเดิม

ขณะเดียวกัน ฝ่ายเวียดนามใต้ก่อตั้งรัฐเวียดนาม โดยมีบ๋าว ดั่ยเป็นจักรพรรดิและโง ดิ่ญ เสี่ยมเป็นนายกรัฐมนตรี (ได้รับแต่งตั้งในเดือนกรกฎาคม 2487) รัฐบาลสหรัฐและรัฐเวียดนามของโง ดิ่ญ เสี่ยมไม่ได้ลงนามใด ๆ ในการประชุมเจนีวาปี 2497 ในปัญหาการสร้างเอกภาพอีกครั้ง ผู้แทนเวียดนามที่มิใช่คอมมิวนิสต์คัดค้านการแบ่งประเทศเวียดนามอย่างขันแข็ง แต่แพ้เมื่อฝรั่งเศสยอมรับข้อเสนอของฝั่ม วัน ด่ง ผู้แทนเวียดมินห์ ผู้เสนอว่าสุดท้ายเวียดนามจะรวมกันโดยการเลือกตั้งภายใต้การกำกับดูแลของ "คณะกรรมการท้องถิ่น" สหรัฐโต้ด้วยสิ่งที่เรียก "แผนอเมริกา" โดยการสนับสนุนเวียดนามใต้และสหราชอาณาจักร ซึ่งกำหนดให้การเลือกตั้งสร้างเอกภาพภายใต้การกำกับดูแลของสหประชาชาติ แต่ถูกผู้แทนโซเวียตปฏิเสธ สหรัฐกล่าวว่า "ตามแถลงการณ์ของผู้แทนรัฐเวียดนาม สหรัฐกล่าวย้ำท่าที่เดิมว่าประชาชนมีสิทธิกำหนดอนาคตของตนเองและจะไม่เข้าร่วมกับการจัดการใด ๆ ที่จะขัดขวางสิทธินี้"

ประธานาธิบดีสหรัฐ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ เขียนในปี 2496 ว่า "ผมไม่เคยพูดหรือแลกเปลีย่นกับผู้ที่มีความรู้เรื่องกิจการอินโดจีนที่ไม่เห็นชอบว่าหากมีการจัดการเลือกตั้งขณะที่มีการรบกันนั้น เป็นไปได้ว่าประชากรร้อยละแปดสิบจะออกเสียงลงคะแนนให้คอมมิวนิสต์โฮจิมินห์เป็นผู้นำแทนประมุขแห่งรัฐบ๋าว ดั่ย จริงที่เดียว การขาดความเป็นผู้นำและแรงขับในสว่นของบ๋าว ดั่ยเป็นปัจจัยหนึ่งในความรู้สึกที่แพร่หลายในหมู่ชาวเวียดนามว่าพวกเขาไม่มีสิ่งต้องต่อสู้ให้" ทว่า ตาม เพนตากอนเพเพอส์ ตั้งแต่ปี 2496 ถึง 2499 "โง ดิ่ญ เสี่ยมสร้างปาฏิหารย์อย่างแท้จริง" ในเวียดนามใต้ "เกือบแน่นอนว่าในปี 2499 สัดส่วนซึ่งอาจออกเสียงลงคะแนนให้โฮ ในการเลือกตั้งอย่างเสรีกับเสี่ยม จะน้อยกว่าร้อยละแปดสิบมาก" ในปี 2500 ผู้สังเกตการณ์อิสระจากประเทศอินเดีย โปแลนด์และแคนาดาเป็นตัวแทนของคณะกรรมการควบคุมระหว่างประเทศ (ICC) แถลงว่าการเลือกตั้งเสรีและปลอดอคตินั้นเป็นไปไม่ได้ โดย ICC รายงานว่าเวียดนามใต้และเหนือไม่ปฏิบัติตามความตกลงสงบศึก

ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2498 เสี่ยมกำจัดการคัดค้านทางการเมืองทั้งหมดในเวียดนามใต้โดยเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารต่อกลุ่มศาสนาสองกลุ่ม คือ กาวด๋าย (Cao Đài) และฮหว่าหาว การรณรงค์ยังให้ความสนใจกับกลุ่มองค์การอาชญากรรมบิ่ญเซวียน (Bình Xuyên) ซึ่งเป็นพันธมิตรกับสมาชิกตำรวจลับพรรคคอมมิวนิสต์และมีบางส่วนเป็นทหาร เมื่อการคัดค้านฐานกว้างต่อยุทธวิธีโหดร้ายเพิ่มขึ้น เสี่ยมยิ่งมุ่งโทษคอมมิวนิสต์

ในการลงประชามติเรื่องอนาคตของรัฐเวียดนามเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2498 เสี่ยมโกงการสำรวจความเห็นที่มีโง ดิ่ญ ญู (Ngô Đình Nhu) น้องชายเขาเป็นผู้กำกับดูแล และได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 98.2 รวมถึงร้อยละ 133 ในไซ่ง่อน ที่ปรึกษาอเมริกันของเขาแนะนำให้ส่วนต่างชนะพอประมาณ "ร้อยละ 60 ถึง 70" แต่เสี่ยมมองการเลือกตั้งว่าเป็นการทดสอบอำนาจ สามวันให้หลัง เขาประกาศให้เวียดนามใต้เป็นรัฐเอกราชชื่อสาธารณรัฐเวียดนาม (ROV) โดยมีตัวเขาเป็นประธานาธิบดี เช่นเดียวกัน โฮจิมินห์และข้าราชการคอมมิวนิสต์อื่นชนะการเลือกตั้งในเวียดนามเหนืออย่างน้อยร้อยละ 99 ทุกครั้ง

ทฤษฎีโดมิโนซึ่งแย้งว่าหากประเทศหนึ่งเสียแก่คอมมิวนิสต์ แล้วประเทศแวดล้อมทั้งหมดจะตามกันไปด้วย ถูกเสนอเป็นนโยบายครั้งแรกโดยรัฐบาลไอเซนฮาวร์ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวในสุนทรพจน์ต่อสหายเวียดนามชาวอเมริกันว่า "พม่า ไทย อินเดีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์และที่ชัดเจนลาวและกัมพูชาเป็นประเทศที่ความมั่นคงจะถูกคุกคามเมื่อคลื่นแดงคอมมิวนิสต์ล้นเข้าเวียดนาม"

ยุคเสี่ยม 2498–2506

การปกครอง

เสี่ยมเป็นโรมันคาทอลิกเคร่ง เป็นนักต่อต้านคอมมิวนิสต์ ชาตินิยม และอนุรักษนิยมสังคมอย่างแรงกล้า นักประวัติศาสตร์ ลืว ดวาน ฮวีญ (Luu Doan Huynh) บันทึกว่า "เสี่ยมเป็นตัวแทนของชาตินิยมแคบและสุดโต่งกอปรกับอัตตาธิปไตยและคติเห็นแก่ญาติ" ชาวเวียดนามส่วนใหญ่เป็นพุทธ และกังวลกับการกระทำอย่างการอุทิศประเทศให้พระนางมารีย์พรหมจารีของเสี่ยม

เสี่ยมเปิดฉากการรณรงค์ "ประณามคอมมิวนิสต์" เริ่มตั้งแต่ฤดูร้อนปี 2498 ระหว่างนั้นคอมมิวนิสต์และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอื่นถูกจับ จำคุก ทรมานหรือประหารชีวิต เขาตั้งโทษประหารชีวิตต่อกิจกรรมใด ๆ ที่ถือว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในเดือนสิงหาคม 2499 เกเบรียล คอลโค (Gabriel Kolko) ว่าคู่แข่งต้องสงสัยของเสี่ยมถูกฆ่าประมาณ 20,000 คนระหว่างปี 2498 ถึง 2500 และเมื่อปลายปี 2501 มีนักโทษการเมืองถูกจำคุกประเมินไว้ 40,000 คน ทว่า กึนเทอร์ เลวี (Guenter Lewy) แย้งว่าตัวเลขดังกล่าวเกินจริงและว่าไม่เคยมีนักโทษทุกประเภทเกิน 35,000 คนในทั้งประเทศ

ในเดือนพฤษภาคม 2500 เสี่ยมเยือนรัฐสหรัฐสิบวัน ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์กล่าวสนับสนุนต่อไป และมีการจัดการเดินขบวนเป็นเกียรติแก่เสี่ยมในนครนิวยอร์ก แม้ว่าเสี่ยมจะได้รับยกย่องอย่างเปิดเผย แต่ในทางลับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จอห์น ฟอสเตอร์ ดัลลัส (John Foster Dulles) ยอมรับว่าเลือกเสี่ยมเพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โรเบิร์ต แม็กนามารา เขียนในการถกเถียงมิรู้จบ (2542) ว่า ผู้อุปภัมถ์สาธารณรัฐเวียดนามอเมริกันใหม่เขลาเรื่องวัฒนธรรมเวียดนามแทบสิ้นเชิง พวกเขาทราบภาษาหรือประวัติศาสตร์ยาวนานของประเทศเพียงเล็กน้อย มีแนวโน้มกำหนดแรงจูงใจแบบอเมริกาต่อการกระทำของเวียดนาม แม้เสี่ยมถูกเตือนแล้วว่า การเชื่อว่าการลอกวิธีการแบบตะวันตกอย่างมืดบอดจะแก้ไขปัญหาของเวียดนามได้เป็นภาพลวง

การก่อการกำเริบทางใต้ 2497–2503

ระหว่างปี 2497 และ 2500 มีความขัดแย้งขนาดใหญ่แต่ไร้ระเบียบในชนบทซึ่งรัฐบาลเสี่ยมสามารถกำราบได้ ต้นปี 2500 เวียดนามใต้มีสันติภาพเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ ทว่า เมื่อกลางปี 2500 ถึง 2502 อุบัติการณ์ความรุนแรงเพิ่มขึ้นแต่รัฐบาล ""มิได้วิเคราะห์มันว่าเป็นการณรงค์ โดยถือเป็นความไม่สงบที่เจือจางเกินกว่าจะทุ่มทรัพยากรสำคัญของรัฐบาลเวียดนาม" ทว่า เมื่อต้นปี 2502 เสี่ยมถือความไม่สงบดังกล่าวเป็นการณรงค์มีระเบียบและออกกฎหมาย 10/59 ซึ่งทำให้ความรุนแรงทางการเมืองมีโทษประหารชีวิตและริบทรัพย์ มีความแตกแยกในหมู่อดีตเวียดมินห์ซึ่งเป้าหมายหลักคือการจัดการเลือกตั้งตามที่สัญญาไว้ในข้อตกลงเจนีวา นำไปสู่กิจกรรมพลการแยกจากนักคอมมิวนิสต์และนักกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลเวียดนามอื่น

ในเดือนธันวาคม 2503 มีการก่อตั้งแนวร่วมปลดปล่อยชาติ (หรือเวียดกง) อย่างเป็นทางการโดยมุ่งหมายสร้างเอกภาพนักกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลเวียดนามทั้งหมดซึ่งรวมถึงที่มิใช่คอมมิวนิสต์ด้วย ตามเอกสารเพนตากอน เวียดกง "เน้นความสำคัญต่อการถอนที่ปรึกษาและอิทธิพลของอเมริกา การปฏิรูปที่ดินและการเปิดเสรีรัฐบาลเวียดนาม รัฐบาลผสมและการประกาศความเป็นกลางของเวียดนาม" บ่อยครั้งผู้นำองค์การถูกปิดเป็นความลับ

เหตุผลสำหรับการคงอยู่ต่อเนื่องของแนวร่วมปลดปล่อยชาติคือความสัมพันธ์เชิงชนชั้นในชนบท ประชากรส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในชนบทซึ่งปัญหาสำคัญคือการปฏิรูปที่ดิน เวียดมินห์มีค่าเช่าและหนี้สินน้อยกว่า และให้เช่าที่ดินคอมมูน ซึ่งส่วนมากแก่ชาวนาที่ยากจนที่สุด เสี่ยมนำเจ้าของที่ดินคืนสู่หมู่บ้าน ผู้ที่เคยทำเกษตรบนที่ดินที่ตนถือครองมาหลายปีปัจจุบันต้องคืนแก่เจ้าของที่ดินและจ่ายค่าเช่าคืนหลายปี การเก็บค่าเช่านี้กองทัพเวียดนามใต้เป็นผู้บังคับ ความแตกแยกในหมู่บ้านนี้สะท้อนสถานการณ์ที่มีอยู่ต่อฝรั่งเศส: "ร้อยละ 75 สนับสนุนเวียดกง ร้อยละ 20 พยายามเป็นกลางและร้อยละ 5 นิยมรัฐบาลอย่างแน่วแน่"

การเข้ามีส่วนของเวียดนามเหนือ

แหล่งข้อมูลเห็นไม่ตรงกันว่าเวียดนามเหนือมีบทบาทโดยตรงในการช่วยเหลือและจัดระเบียบกบฏเวียดนามใต้ก่อนปี 2503 หรือไม่ คาฮินและลิวอิสประเมินว่า

ขัดกับสมมติฐานนโยบายของสหรัฐ หลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่แสดงว่าการรื้อฟื้นสงครามกลางเมืองในรัฐใต้ในปี 2501 ดำเนินการโดยชาวใต้เอง มิใช่การริเริ่มของฮานอย... กิจกรรมการก่อการกำเริบต่อรัฐบาลไซ่ง่อนเริ่มในรัฐใต้ภายใต้ผู้นำใต้ ไม่ใช่เป็นผลลัพธ์ของการชี้นำใด ๆ จากฮานอย ซึ่งขัดกับคำสั่งห้ามของฮานอย[12]

ดุจกัน นักประวัติศาสตร์ อาเธอร์ ชเลซิงเกอร์ จูเนียร์ กล่าวว่า "จนหลังเดือนกันยายน 2503 กว่าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือจะอนุมัติอย่างเป็นทางการและเรียกร้องให้ปลดปล่อยภาคใต้จากจักรวรรดินิยมอเมริกา"

ในทางตรงข้าม เจมส์ โอลสันและแรนดี รอเบิตส์ประเมินว่าเวียดนามเหนืออนุญาตให้มีการก่อการกำเริบระดับต่ำในเดือนธันวาคม 2509 เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาว่าเวียดนามเหนือกำลังละเมิดข้อตกลงเจนีวา เอกราชของเวียดกงจึงมีการเน้นในโฆษณาชวนเชื่อคอมมิวนิสต์

ในเดือนมีนาคม 2509 ผู้นำคอมมิวนิสต์ใต้ เล สวน เสนอแผนฟื้นฟูการก่อการกำเริบชื่อ "ถนนสู่รัฐใต้" แก่สมาชิกอื่นของคณะกรรมการบริหารสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ในกรุงฮานอย แต่เนื่องด้วยทั้งจีนและโซเวียตคัดค้านการเผชิญหน้าในขณะนั้น แผนของเล สวนจึงถูกปฏิเสธ ทว่า ผู้นำเวียดนามเหนืออนุมัติมาตรการเบื้องต้นในการฟื้นฟูการก่อการกำเริบทางใต้ในเดือนธันวาคม 2509 กำลังคอมมิวนิสต์อยู่ภายใต้โครงสร้างบังคับบัญชาเดียวที่จัดตั้งในปี 2511 พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนืออนุมัติ "สงครามประชาชน" แก่รัฐใต้ในสมัยประชุมเดือนมกราคม 2512 ในเดือนพฤษภาคม มีการสถาปนากลุ่ม 559 เพื่อทำนุบำรุงและปรังปรุงเส้นทางสายโฮจิมินห์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเส้นทางภูเขาหกเดือนผ่านประเทศลาว "ผู้รวมกลุ่มใหม่" ปี 2507 ประมาณ 500 คนถูกส่งลงใต้ตามเส้นทางระหว่างปฏิบัติการปีแรก การส่งมอบอาวุธครั้งแรกผ่านเส้นทางสำเร็จในเดือนสิงหาคม 2512 ทหารคอมมิวนิสต์ประมาณ 40,000 นายแทรกซึมเข้ารัฐใต้ระหว่างปี 2514–16

การขยายขอบเขตของเคนเนดี 2504–06

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2503 สมาชิกวุฒิสภาจอห์น เอฟ. เคนเนดี ชนะรองประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน แม้ไอเซนฮาวร์เคยเตือนเคนเนดีเกี่ยวกับประเทศลาวและเวียดนาม ทวีปยุโรปและละตินอเมริกา "น่ากลัวกว่าทวีปเอเชียในวิสัยทัศน์ของเขา" ในสุนทรพจน์รับตำแหน่งของเขา เคนเนดีปฏิญาณทะเยอทะยานว่า "จะจ่ายทุกราคา แบกรับทุกภาระ เผชิญทุกความยากลำบาก สนับสนุนมิตรทุกคน ต่อกรศัตรูทั้งปวง เพื่อรับประกันความอยู่รอดและความสำเร็จของเสรีภาพ" ในเดือนมิถุนายน 2504 เขาเห็นแย้งอย่างขมขื่นกับนายกรัฐมนตรีโซเวียต นีกีตา ครุชชอฟ เมื่อทั้งสองประชุมในกรุงเวียนนาเพื่อปรึกษาประเด็นสหรัฐ–โซเวียตที่สำคัญ เพียง 16 เดือนให้หลัง วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา (16–28 ตุลาคม 2505) มีการแพร่สัญญาณโทรทัศน์วโลก เป็นช่วงที่สงครามเย็นใกล้บานปลายเป็นสงครามนิวเคลียร์เต็มขั้นที่สุด และสหรัฐเร่งระดับความพร้อมของกองบัญชาการอากาศยุทธศาสตร์ (SAC) เป็นเดฟคอน 2

รัฐบาลเคนเนดียังยึดมั่นกับนโยบายต่างประเทศสงครามเย็นซึ่งรับช่วงจากรัฐบาลทรูแมนและไอเซนฮาวร์ ในปี 2504 สหรัฐมีทหาร 50,000 นายประจำอยู่ในเกาหลี แลัเคนเนดีเผชิญกับวิกฤตการณ์สามส่วน ได้แก่ ความล้มเหลวของการบุกครองอ่าวหมู การก่อสร้างกำแพงเบอร์ลิน และการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลลาวที่นิยมตะวันตกับขบวนการคอมมิวนิสต์ปะเทดลาว วิกฤตการณ์เหล่านี้ทำให้เคนเนดีเชื่อว่าความล้มเหลวอีกครั้งของสหรัฐในการเข้าควบคุมและหยุดการขยายตัวของคอมมิวนิสต์จะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐกับพันธมิตรและชื่อเสียงของเขาเอง ฉะนั้นเคนเนดีจึงมุ่งมั่น "ขีดเส้นในทราย" และป้องกันชัยของคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม เขาบอกเจมส์ เรสตันแห่งเดอะนิวยอร์กไทมส์ ทันทีหลังการประชุมกับครุชชอฟในกรุงเวียนนาว่า "บัดนี้เรามีปัญหาในการทำให้อำนาจของเราน่าเชื่อถือและเวียดนามดูเป็นที่แห่งนั้น"

ในเดือนพฤษภาคม 2504 รองประธานาธิบดีสหรัฐ ลินดอน บี. จอห์นสันเยือนกรุงไซ่ง่อนและประกาศอย่างกระตือรือร้นว่าเสี่ยมเป็น "วินสตัน เชอร์ชิลล์แห่งทวีปเอเชีย" เมื่อถามว่าเหตุใดเขาจึงเห็นเช่นนั้น จอห์นสันตอบว่า "เสี่ยมเป็นเด็กคนเดียวของเราข้างนอกนั้น" จอห์นสันประกันการช่วยเหลือเพิ่มเติมในการก่อร่างกำลังรบซึ่งสามารถต่อต้านคอมมิวนิสต์ได้แก่เสี่ยม

นโยบายของเคนเนดีต่อเวียดนามใต้อาศัยสมมติฐานว่าเสี่ยมและกำลังของเขาจำต้องพิชิตกองโจรได้ด้วยตนเอง เขาต่อต้านการวางกำลังรบอเมริกันและสังเกตว่า "การนำกำลังสหรัฐขนานใหญ่ที่นั่นในตอนนี้ แม้อาจมีผลกระทบทางทหารน่าพอใจในทีแรก แทบแน่นอนว่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์ทางการเมืองที่เลว และในระยะยาวรวมถึงผลลัพธ์ทางทหารที่เลวด้วย" ทว่า คุณภาพของกองทัพเวียดนามใต้ยังเลวอยู่ ความเป็นผู้นำที่เลว การฉ้อราษฎร์บังหลวง และการเลื่อนยศทางการเมืองล้วนมีส่วนในการทำให้กองทัพเวียดนามใต้อ่อนแอ การโจมตีของกองโจรมีความถี่เพิ่มขึ้นเมื่อการก่อการกำเริบเริ่มได้ที่ แม้การสนับสนุนเวียดกงของรัฐบาลเวียดนามเหนือจะมีส่วนบ้าง แต่ความไร้สามารถของรัฐบาลเวียดนามใต้เป็นศูนย์กลางของวิกฤต

ประเด็นหลักหนึ่งที่เคนเนดียกขึ้นมาคือโครงการอวกาศและขีปนาวุธของโซเวียตล้ำหน้าโครงการของสหรัฐหรือไม่ แม้เคนเนดีเน้นภาวะเสมอภาคขีปนาวุธพิสัยไกลกับโซเวียต แต่เขายังสนใจในการใช้กำลังพิเศษสำหรับการสงครามต่อต้านการก่อการกำเริบในประเศโลกที่สามที่ถูกการก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์คุกคาม แม้เดิมตั้งใจใช้หลังแนวหน้าหลังการบุกครองทวีปยุโรปของโซเวียตตามแบบ แต่เคนเนดีเชื่อว่ากลยุทธ์กองโจรที่กำลังพิเศษใช้อย่างกรีนเบอเรต์จะมีประสิทธิภาพในสงคราม "ไฟไม้พุ่ม" ในเวียดนาม

ที่ปรึกษาของเคนเนดี แม็กซ์เวลล์ เทย์เลอร์และวอลต์ รอสตอว์ แนะนำให้ส่งกำลังสหรัฐไปเวียดนามใต้โดยปลอมตัวเป็นคนงานช่วยเหลืออุทกภัย เคนเนดีปฏิเสธความคิดดังกล่าวแต่เพิ่มการสนับสนุนทางทหารอีก ในเดือนเมษายน 2505 จอห์น เคนเนธ กัลไบรธเตือนเคนเนดีถึง "อันตรายที่เราเป็นกำลังอาณานิคมในบริเวณแทนฝรั่งเศส และหลั่งเลือดเช่นเดียวกับที่ฝรั่งเศสเคยมาแล้ว" เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2506 มีทหารอเมริกัน 16,000 นายในเวียดนามใต้ เพิ่มขึ้นจากที่ปรึกษา 900 คนในสมัยไอเซนฮาวร์

มีการริเริ่มแฮมเล็ตยุทธศาสตร์ในปลายปี 2504 โครงการร่วมสหรัฐ–เวียดนามใต้นี้พยายามตั้งถิ่นฐานประชากรชนบเข้าค่ายมีป้อมสนาม มีการนำไปปฏิบัติในต้นปี 2505 และมีการบังคับย้ายถิ่นฐาน การกักกันหมู่บ้าน และการแยกออกซึ่งชาวเวียดนามใต้ชนบทบ้างเป็นชุมชนใหม่ซึ่งจะเป็นการแยกชาวนาจากผู้ก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ มีความหวังว่าชุมชนใหม่นี้จะให้ความปลอดภัยแก่ชาวนาและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชาวนากับรัฐบาลกลาง ทว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2506 โครงการเริ่มเสื่อม และยุติอย่างเป็นทางการในปี 2507

วันที่ 23 กรกฎาคม 2505 สิบสี่ประเทศ รวมทั้งจีน เวียดนามใต้ สหภาพโซเวีตย เวียดนามเหนือและสหรัฐลงนามความตกลงให้คำมั่นเคารพความเป็นกลางของประเทศลาว

การขับและลอบฆ่าโง ดิ่ญ เสี่ยม

สมรรถนะอ่อนด้อยของกองทัพเวียดนามใต้มีตัวอย่างจากการปฏิบัติที่ล้มเหลวอย่างยุทธการที่อั๋บบั๊ก (Ap Bac) เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2506 ซึ่งเวียดกงกองเล็ก ๆ ชนะการยุทธ์ต่อกำลังเวียดนามใต้ที่ใหญ่กว่าและมียุทโธปกรณ์ดีกว่ามาก นายทหารหลายนายดูไม่เต็มใจเข้าร่วมรบ

ฮวี่ญ วัน กาว (Huỳnh Văn Cao) ผู้บังคับบัญชาเหล่าท่ 4 นายพลที่เสี่ยมเชื่อใจที่สุด นำกองทัพบกสาธารณรัฐเวียดนามในยุทธการนั้น กาวเป็นคาทอลิกซึ่งได้รับการเลื่อนยศเนื่องจากศาสนาและความซื่อสัตย์มากกว่าทักษะ และงานหลักของเขาคือการสงวนกำลังของเขาเพื่อยับยั้งรัฐประหาร ก่อนหน้านี้เขาอาเจียนระหว่างการโจมตีของคอมมิวนิสต์ ผู้กำหนดนโยบายบางคนในรัฐบาลาสหรัฐเริ่มสรุปว่าเสี่ยมไร้สามารถพิชิตคอมมิวนิสต์และอาจตกลงกับโฮจิมินห์ เขาดูกังวลเฉพาะกับการปัดป้องรัฐประหาร และมีความหวาดระแวงมากขึ้นหลังความพยายามในปี 2503 และ 2505 ซึ่งเขาเชื่อว่าสหรัฐส่งเสริมด้วยบางส่วน รอเบิร์ต เอฟ. เคนเนดีหมายเหตุว่า "เสี่ยมจะไม่ยอมผ่อนปรนให้แม้แต่น้อย เขาใช้เหตุผลคุยด้วยยาก ..."

ความไม่พอใจกับนโยบายของเสี่ยมปะทุให้หลังการยิงเหวฺฟัตด๋าน (Huế Phật Đản) เก้าคนซึ่งส่วนใหญ่พุทธศาสนิกชนที่กำลังประท้วงต่อการห้ามธงศาสนาพุทธในวันวิสาขบูชา ทำให้เกิดการประท้วงใหญ่ต่อต้านนโยบายการเลือกปฏิบัติที่ให้เอกสิทธิ์ต่อคริสตจักรคาทอลิกและสาวก พี่ชายของเสี่ยม โง ดิ่ญ ถุ่ก (Ngô Đình Thục) เป็นอาร์คบิชอปแห่งเว้และลบการแยกระหว่างคริสตจักรกับอาณาจักรอย่างก้าวร้าว การเฉลิมฉลองวันครบรอบปีของถุ่กได้รับเงินทุนจากรัฐบาล และมีการแสดงธงวาติกันอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ยังมีการรื้อถอนเจดีย์โดยกำลังกึ่งทหารคาทอลิกตลอดการปกครองของเสี่ยม เสี่ยมปฏิเสธผ่อนปรนให้ฝ่ายข้างมากพุทธหรือรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตนี้ วันที่ 21 สิงหาคม 2506 กำลังพิเศษ ARVN ของพันเอก เล กวาง ทุง (Lê Quang Tung) ซึ่งภักดีต่อน้องชายของเสี่ยม โง ดิ่ญ ญู (Ngô Đình Nhu) ทำลายเจดีย์ทั่วประเทศเวียดนาม ทำให้เกิดความเสียหายและการทำลายล้างอย่างกว้างขวางและมียอดผู้เสียชีวิตหลักร้อยคน

เชิงอรรถ

  1. เนื่องจากทหารสหรัฐเข้ามาประจำในเวียดนามเร็ว วันเริ่มต้นของสงครามเวียดนามจึงยังไม่เป็นที่ตกลงเอกฉันท์ ใน พ.ศ. 2541 หลังการทบทวนระดับสูงโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และผ่านความพยายามของครอบครัวริชาร์ด บี. ฟิทซ์กิบบอน (Richard B. Fitzgibbon) วันที่เริ่มต้นสงครามเวียดนามจึงถูกเปลี่ยนเป็น 1 พฤศจิกายน 2498[9] ปัจจุบัน รายงานรัฐบาลสหรัฐอ้าง 1 พฤศจิกายน 2498 เป็นการเริ่มต้นของ "ข้อพิพาทเวียดนาม" เพราะวันนี้เป็นวันที่คณะที่ปรึกษาความร่วมมือทางทหารสหรัฐ (MAAG) ในอินโดจีน (ซึ่งประธานาธิบดีทรูแมนเป็นผู้สั่งวางกำลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ถูกจัดระเบียบใหม่เป็นหน่วยที่เจาะจงประเทศ และ MAAG เวียดนามถูกก่อตั้งขึ้น[10] วันที่เริ่มต้นอื่นมีเมื่อฮานอยอนุญาตให้กำลังเวียดกงในเวียดนามใต้เริ่มต้นการก่อการกำเริบระดับต่ำในเดือนธันวาคม 2499[11] ขณะที่บางคนมองว่าเป็นวันที่ 26 กันยายน 2502 เมื่อยุทธการแรกเกิดขึ้นระหว่างกองทัพคอมมิวนิสต์และกองทัพเวียดนามใต้[12]
  2. ตัวเลขผู้เสียชีวิตของสหรัฐ 58,220 นาย และบาดเจ็บ 303,644 นายมาจากกองวิเคราะห์สารสนเทศสถิติกระทรวงกลาโหม (SIAD) ศูนย์ข้อมูลกำลังพลกลาโหม เช่นเดียวกับจากใบแสดงความคิดเห็นจากกระทรวงทหารผ่านศึกลงวันที่เดือนพฤษภาคม 2553[29] รายงาน "กำลังพลสูญเสียในสงครามและปฏิบัติการทางทหารของอเมริกา: รายชื่อและสถิติ" (American War and Military Operations Casualties: Lists and Statistics) ของ CRS (หน่วยรัฐการการวิจัยรัฐสภา) ต่อรัฐสภา ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553[30] และหนังสือ เวียดนามทรหด: บันทึกความทรงจำของร้อยโททหารราบ (Crucible Vietnam: Memoir of an Infantry Lieutenant)[31] บางแหล่งให้ตัวเลขเป็นอื่น (เช่น สารคดี หัวใจแห่งความมืด: พงศาวดารสงครามเวียดนาม 1945-1975 (Heart of Darkness: The Vietnam War Chronicles 1945–1975) เมื่อปี 2548/2549 ที่ถูกอ้างในบทความนี้เช่นกัน ระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตของสหรัฐไว้ 58,159 นาย[32] และหนังสือ บุตรเวียดนาม (Vietnam Sons) เมื่อปี 2550 ระบุตัวเลข 58,226 นาย[33]
  3. "พรรคชาตินิยมเวียดนาม" เดิมก่อตั้งขึ้นในนานกิง ประเทศจีน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2478 และต้นปี 2479 เมื่อพรรคชาตินิยมเวียดนาม นำโดย เหวียน ไท ฮ็อก และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนบางคน และสมาชิกพรรคชาตินิยมเวียดนามอื่นจำนวนหนึ่งก่อตั้งแนวร่วมต่อต้านจักรวรรดินิยม ไม่นานองค์การนี้ก็หมดความเคลื่อนไหวไป จนพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนและโฮจิมินห์รื้อฟื้นในปี 2484[39]

อ้างอิง

  1. Le Gro, p. 28.
  2. "Vietnam War : US Troop Strength". Historycentral.com. สืบค้นเมื่อ 17 October 2009.[ลิงก์เสีย]
  3. "Facts about the Vietnam Veterans Memorial Collection". nps.gov. (citing The first American ground combat troops landed in South Vietnam during March 1965, specifically the U.S. Third Marine Regiment, Third Marine Division, deployed to Vietnam from Okinawa to defend the Da Nang, Vietnam, airfield. During the height of U.S. military involvement, 31 December 1968, the breakdown of allied forces were as follows: 536,100 U.S. military personnel, with 30,610 U.S. military having been killed to date; 65,000 Free World Forces personnel; 820,000 South Vietnam Armed Forces (SVNAF) with 88,343 having been killed to date. At the war's end, there were approximately 2,200 U.S. missing in action (MIA) and prisoner of war (POW). Source: Harry G. Summers, Jr. Vietnam War Almanac, Facts on File Publishing, 1985.)
  4. Vietnam Marines 1965–73. Google Books. 8 March 1965. สืบค้นเมื่อ 29 April 2011.
  5. Vietnam War After Action Reports, BACM Research, 2009, page 430
  6. "China admits 320,000 troops fought in Vietnam". Toledo Blade. Reuters. 16 May 1989. สืบค้นเมื่อ 24 December 2013.
  7. Roy, Denny (1998). China's Foreign Relations. Rowman & Littlefield. p. 27. ISBN 978-0847690138.
  8. China and Vietnam: The Politics of Asymmetry. Cambridge University Press 2006. Brantly Womack. P. 176
  9. DoD 1998
  10. Lawrence 2009, p. 20
  11. James Olson and Randy Roberts, Where the Domino Fell: America and Vietnam, 1945–1990, p. 67 (New York: St. Martin's Press, 1991).
  12. 12.0 12.1 Origins of the Insurgency in South Vietnam, 1954–1960, The Pentagon Papers (Gravel Edition), Volume 1, Chapter 5, (Boston: Beacon Press, 1971), Section 3, pp. 314–346; International Relations Department, Mount Holyoke College.
  13. "Vietnam War". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 5 March 2008. Meanwhile, the United States, its military demoralized and its civilian electorate deeply divided, began a process of coming to terms with defeat in its longest and most controversial war
  14. Digital History, Steven Mintz. "The Vietnam War". Digitalhistory.uh.edu. สืบค้นเมื่อ 31 October 2011.
  15. Vietnam War Statistics and Facts 1, 25th Aviation Battalion website.
  16. Kolko, Gabriel Anatomy of War, pp. 457, 461 ff., ISBN 1-898876-67-3.
  17. Charles Hirschman et al., "Vietnamese Casualties During the American War: A New Estimate," Population and Development Review, December 1995.
  18. Shenon, Philip (23 April 1995). "20 Years After Victory, Vietnamese Communists Ponder How to Celebrate". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 24 February 2011. {{cite news}}: ระบุ |author= และ |last= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  19. Associated Press, 3 April 1995, "Vietnam Says 1.1 Million Died Fighting For North."
  20. Heuveline, Patrick (2001). "The Demographic Analysis of Mortality in Cambodia." In Forced Migration and Mortality, eds. Holly E. Reed and Charles B. Keely. Washington, D.C.: National Academy Press.
  21. Marek Sliwinski, Le Génocide Khmer Rouge: Une Analyse Démographique (L'Harmattan, 1995).
  22. Banister, Judith, and Paige Johnson (1993). "After the Nightmare: The Population of Cambodia." In Genocide and Democracy in Cambodia: The Khmer Rouge, the United Nations and the International Community, ed. Ben Kiernan. New Haven, Conn.: Yale University Southeast Asia Studies.
  23. Warner, Roger, Shooting at the Moon, (1996), pp366, estimates 30,000 Hmong.
  24. Obermeyer, "Fifty years of violent war deaths from Vietnam to Bosnia", British Medical Journal, 2008, estimates 60,000 total.
  25. T. Lomperis, From People's War to People's Rule, (1996), estimates 35,000 total.
  26. Small, Melvin & Joel David Singer, Resort to Arms: International and Civil Wars 1816–1980, (1982), estimates 20,000 total.
  27. Taylor, Charles Lewis, The World Handbook of Political and Social Indicators, estimates 20,000 total.
  28. Stuart-Fox, Martin, A History of Laos, estimates 200,000 by 1973.
  29. America's Wars (PDF) (Report). Department of Veterans Affairs. 26 February 2010. {{cite report}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |Year= ถูกละเว้น แนะนำ (|year=) (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |month= ถูกละเว้น (help)
  30. Anne Leland; Mari–Jana "M-J" Oboroceanu (26 February 2010). American War and Military Operations: Casualties: Lists and Statistics (PDF) (Report). Congressional Research Service.
  31. Lawrence 2009, pp. 65, 107, 154, 217
  32. Aaron Ulrich (editor); Edward FeuerHerd (producer and director) (2005 & 2006). Heart of Darkness: The Vietnam War Chronicles 1945–1975 (Box set, Color, Dolby, DVD-Video, Full Screen, NTSC, Dolby, Vision Software) (Documentary). Koch Vision. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 321 minutes. ISBN 1-4172-2920-9. {{cite AV media}}: |format= ต้องการ |url= (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  33. Kueter, Dale. Vietnam Sons: For Some, the War Never Ended. AuthorHouse (21 March 2007). ISBN 978-1425969318
  34. Ooi, Keat Gin. Southeast Asia: a historical encyclopedia, from Angkor Wat to East Timor. ABC-CLIO; 2004. ISBN 978-1-57607-770-2. p. 520.
  35. Rai, Lajpat. Social Science. FK Publications; ISBN 978-81-89611-12-5. p. 22.
  36. Dommen, Arthur J.. The Indochinese experience of the French and the Americans: nationalism and communism in Cambodia, Laos, and Vietnam. Indiana University Press; 2001. ISBN 978-0-253-33854-9. p. 4–19.
  37. Neale 2001, p. 3.
  38. 38.0 38.1 Neale 2001, p. 17.
  39. Sophie Quinn-Judge (2003). Ho Chi Minh: the missing years, 1919–1941. C. Hurst. pp. 212–213. ISBN 978-1-85065-658-6.
  40. Tucker 1999, p. 42
  41. Brocheux 2007, p. 198
  42. Neale 2001, p. 18.
  43. Koh, David (21 August 2008). "Vietnam needs to remember famine of 1945". The Straits Times. Singapore.
  44. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Hirschman
  45. Neale 2001, pp. 18–9.
  46. 46.0 46.1 Kolko 1985, p. 36.
  47. Neale 2001, p. 19.
  48. 48.0 48.1 48.2 48.3 48.4 48.5 Neale 2001, p. 20.
  49. Interview with Archimedes L. A. Patti, 1981, http://openvault.wgbh.org/catalog/vietnam-bf3262-interview-with-archimedes-l-a-patti-1981
  50. Kolko 1985, p. 37.
  51. Dommen, Arthur J. (2001), The Indochinese Experience of the French and the Americans, Indiana University Press, pg. 120. "According to one estimate, 15,000 nationalists were massacred" in the summer of 1946 (pg. 154). In addition, "100,000 to 150,000 [civilians] had been assassinated by the Viet Minh" by the end of the First Indochina war (pg. 252).
  52. "ベトナム独立戦争参加日本人の事跡に基づく日越のあり方に関する研究" (PDF). 井川 一久. Tokyo foundation. October 2005. สืบค้นเมื่อ 10 June 2010.
  53. "日越関係発展の方途を探る研究 ヴェトナム独立戦争参加日本人―その実態と日越両国にとっての歴史的意味―" (PDF). 井川 一久. Tokyo foundation. May 2006. สืบค้นเมื่อ 10 June 2010.
  54. Willbanks 2009, p. 8
  55. 55.0 55.1 Neale 2001, p. 24.
  56. Neale 2001, pp. 23–4.
  57. Willbanks 2009, p. 9
  58. "Franco-Vietnam Agreement of March 6th, 1946". Vietnamgear.com. 6 March 1946. สืบค้นเมื่อ 29 April 2011.
  59. "Pentagon Papers, Gravel Edition, Chapter !, Section 2". Mtholyoke.edu. สืบค้นเมื่อ 29 April 2011.
  60. Peter Dennis (1987). Troubled days of peace: Mountbatten and South East Asia command, 1945–46. Manchester University Press ND. p. 179. ISBN 978-0-7190-2205-0.
  61. 61.0 61.1 Neale 2001, p. 25.

แหล่งข้อมูลอื่น