ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จังหวัดยโสธร"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 75: บรรทัด 75:
ต่อมาใน พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการปกครองในรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองยโสธรจึงถูกจัดอยู่ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งกองบัญชาการมณฑลที่เมืองอุบลราชธานี (บริเวณอุบลราชธานี) ต่อมาใน พ.ศ. 2445 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ โปรดเกล้าฯ ให้ซานนท์ (ชาย) เป็น'''หลวงยศอดุลพฤฒิเดช''' เป็นตำแหน่งพล
ต่อมาใน พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการปกครองในรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองยโสธรจึงถูกจัดอยู่ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งกองบัญชาการมณฑลที่เมืองอุบลราชธานี (บริเวณอุบลราชธานี) ต่อมาใน พ.ศ. 2445 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ โปรดเกล้าฯ ให้ซานนท์ (ชาย) เป็น'''หลวงยศอดุลพฤฒิเดช''' เป็นตำแหน่งพล


ใน พ.ศ. 2452 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอปจิมเขมราฐ โดยให้รวมกับอำเภออุไทยเขมราฐ พร้อมกันนั้นก็ให้ยุบเมือง[[เขมราฐ]] ส่วนอำเภอที่อยู่ในเขตการปกครองเมืองเขมราฐ ก็ให้มารวมอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร เมืองยโสธรจึงมีอำเภอในเขตการปกครองรวม 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภออุไทยยะโสธร อำเภอปจิมยะโสธร อำเภออุไทยเขมราฐ อำเภอ[[อำนาจเจริญ]] [[อำเภอโขงเจียม]] อำเภอวารินทร์ชำราบ จึงเป็นปีที่เมืองยโสธรมีพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่ และมีจำนวนอำเภอมากที่สุด
ใน พ.ศ. 2452 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอปจิมเขมราฐ โดยให้รวมกับอำเภออุไทยเขมราฐ พร้อมกันนั้นก็ให้ยุบเมือง[[เขมราฐ]] ส่วนอำเภอที่อยู่ในเขตการปกครองเมืองเขมราฐ ก็ให้มารวมอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร เมืองยโสธรจึงมีอำเภอในเขตการปกครองรวม 6 อำเภอ ได้แก่
* อำเภออุไทยยะโสธร มีท้าวสิทธิกุมาร (ทุม) เป็นนายอำเภอ
* อำเภอปจิมยะโสธร มีท้าวอุเทนวงษษ (เขียน) เป็นนายอำเภอ
* อำเภออุไทยเขมราฐ มีหลวงเขมรัฐการอุตส่ห์ (แสง) เป็นนายอำเภอ
* อำเภอ[[จังหวัดอำนาจเจริญ|อำนาจเจริญ]] มีราชวงศ์ (ซาว) เป็นนายอำเภอ
* [[อำเภอโขงเจียม]] มีท้าวบุญธิสาร (ตำบ่อ) เป็นนายอำเภอ
* อำเภอวารินทร์ชำราบ มีอุปราช (บุญ) เป็นนายอำเภอ
จึงเป็นปีที่เมืองยโสธรมีพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่ และมีจำนวนอำเภอมากที่สุด


ปี พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอวารินทร์ชำราบอันอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยให้ท้องที่ต้างๆ ไปรวมกับอำเภอพิมูลมังษาหาร ([[อำเภอพิบูลมังสาหาร]]) และส่วนหนึ่งไปรวมกับอำเภอบูรพาอุบล ([[อำเภอเมืองอุบลราชธานี]])
ปี พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอวารินทร์ชำราบอันอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยให้ท้องที่ต้างๆ ไปรวมกับอำเภอพิมูลมังษาหาร ([[อำเภอพิบูลมังสาหาร]]) และส่วนหนึ่งไปรวมกับอำเภอบูรพาอุบล ([[อำเภอเมืองอุบลราชธานี]])

รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:08, 30 มิถุนายน 2562

จังหวัดยโสธร
การถอดเสียงอักษรโรมัน
 • อักษรโรมันChangwat Yasothon
คำขวัญ: 
เมืองบั้งไฟโก้ แตงโมหวาน
หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดยโสธรเน้นสีแดงประเทศมาเลเซียประเทศพม่าประเทศลาวประเทศเวียดนามประเทศกัมพูชาจังหวัดนราธิวาสจังหวัดยะลาจังหวัดปัตตานีจังหวัดสงขลาจังหวัดสตูลจังหวัดตรังจังหวัดพัทลุงจังหวัดกระบี่จังหวัดภูเก็ตจังหวัดพังงาจังหวัดนครศรีธรรมราชจังหวัดสุราษฎร์ธานีจังหวัดระนองจังหวัดชุมพรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จังหวัดเพชรบุรีจังหวัดราชบุรีจังหวัดสมุทรสงครามจังหวัดสมุทรสาครกรุงเทพมหานครจังหวัดสมุทรปราการจังหวัดฉะเชิงเทราจังหวัดชลบุรีจังหวัดระยองจังหวัดจันทบุรีจังหวัดตราดจังหวัดสระแก้วจังหวัดปราจีนบุรีจังหวัดนครนายกจังหวัดปทุมธานีจังหวัดนนทบุรีจังหวัดนครปฐมจังหวัดกาญจนบุรีจังหวัดสุพรรณบุรีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจังหวัดอ่างทองจังหวัดสิงห์บุรีจังหวัดสระบุรีจังหวัดลพบุรีจังหวัดนครราชสีมาจังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดสุรินทร์จังหวัดศรีสะเกษจังหวัดอุบลราชธานีจังหวัดอุทัยธานีจังหวัดชัยนาทจังหวัดอำนาจเจริญจังหวัดยโสธรจังหวัดร้อยเอ็ดจังหวัดมหาสารคามจังหวัดขอนแก่นจังหวัดชัยภูมิจังหวัดเพชรบูรณ์จังหวัดนครสวรรค์จังหวัดพิจิตรจังหวัดกำแพงเพชรจังหวัดตากจังหวัดมุกดาหารจังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัดเลยจังหวัดหนองบัวลำภูจังหวัดหนองคายจังหวัดอุดรธานีจังหวัดบึงกาฬจังหวัดสกลนครจังหวัดนครพนมจังหวัดพิษณุโลกจังหวัดอุตรดิตถ์จังหวัดสุโขทัยจังหวัดน่านจังหวัดพะเยาจังหวัดแพร่จังหวัดเชียงรายจังหวัดลำปางจังหวัดลำพูนจังหวัดเชียงใหม่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดยโสธรเน้นสีแดง
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดยโสธรเน้นสีแดง
ประเทศ ไทย
การปกครอง
 • ผู้ว่าราชการ นิกร สุกใส
(ตั้งแต่ พ.ศ. 2560)
พื้นที่
 • ทั้งหมด4,161.664 ตร.กม.[1] ตร.กม. (Formatting error: invalid input when rounding ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่อันดับที่ 54
ประชากร
 (พ.ศ. 2560)
 • ทั้งหมด539,542 คน[2] คน
 • อันดับอันดับที่ 46
 • อันดับความหนาแน่นอันดับที่ 35
รหัส ISO 3166TH-35
ชื่อไทยอื่น ๆบ้านสิงห์ท่า, เมืองยศสุนทร
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
 • ต้นไม้ยางนา
 • ดอกไม้บัวแดง
 • สัตว์น้ำปลาชะโอน
ศาลากลางจังหวัด
 • ที่ตั้งถนนแจ้งสนิท ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร 35000
 • โทรศัพท์0 4571 2722
 • โทรสาร0 4571 4212
เว็บไซต์http://www.yasothon.go.th/
สารานุกรมประเทศไทย ส่วนหนึ่งของสารานุกรมประเทศไทย

ยโสธร เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย เดิมชื่อ บ้านสิงห์ท่า, เมืองยศสุนทร เป็นเมืองเก่าแก่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำชี มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 200 ปี ถูกจัดตั้งขึ้นโดยคณะปฏิวัติของจอมพลถนอม กิตติขจร ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 อันให้แยกอำเภอยโสธร อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอป่าติ้ว ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี แล้วรวมกันตั้งเป็นจังหวัดยโสธร และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515 สืบไป โดยมีชัยทัต สุนทรพิพิธ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรคนแรก[3]

ประวัติศาสตร์

สมัยธนบุรี

เมื่อปี พ.ศ. 2314 เจ้าพระตา พระโอรสของพระเจ้าสุวรรณปางคำ (เจ้าปางคำ) เจ้านายเชื้อสายลื้อแห่งราชวงศ์เชียงรุ่ง จากอาณาจักรหอคำเชียงรุ่ง (หรือนครเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า) ผู้สร้างนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลุ่มภู) ได้ให้เจ้าคำสู เจ้าคำขุย เจ้าคำม่วง ญาติพี่น้อง และไพร่พล ลงมาสร้างบ้านเมืองใหม่ไว้เป็นเมืองหน้าด่านของนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน เมื่อเจ้าคำสูและคณะเดินทางมาถึงดงหัวช้างได้ตั้งสัจจาธิษฐานต่อเทพยดาอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตย์อยู่ในดงแห่งนี้ขอตั้งบ้านเรือน แล้วจัดพิธีจับสลากเสี่ยงทาย แต่จับสลากไม่ได้ เจ้าคำสูจึงให้คณะหยุดพักอยู่ ณ ดงแห่งนี้ก่อน โดยให้ตั้งบ้านเรือนขึ้นเพื่อเป็นที่พักพิงชั่วคราว ตั้งชื่อหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า "บ้านสิงห์หิน" (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านสิงห์โคก) ต่อจากนั้นเจ้าคำสูจึงได้ให้ท้าวอินทิสาน ท้าวเมืองกลาง และพราหมณ์ ออกตรวจหาภูมิประเทศหาที่ตั้งบ้านเมืองต่อไป ท้าวอินทิสานและคณะได้พากันเดินทางมาถึงดงใหญ่ใกล้ท่าชีได้พบพระพุทธรูปใหญ่ อยู่ในวัดร้างองค์หนึ่ง และพบรูปสิงห์ทองอีกตัวหนึ่ง ท้าวอินทิสานและคณะจึงได้ทำพิธีขอตั้งบ้านเมือง โดยให้ท้าวเมืองกลางเป็นผู้จับสลาก ในที่สุดจับสลากได้ใบที่เป็นอุตมะดีเลิศ จึงได้กลับรายงานให้เจ้าคำสูทราบ และเจ้าคำสูจึงได้แบ่งไพร่พลเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้คงไว้ที่บ้านสิงห์หิน โดยให้เจ้าคำขุยรักษาญาติพี่น้องและไพร่พลที่อยู่ที่บ้านสิงห์หิน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเจ้าคำสูได้พามาสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ที่ดงขวางท่าชี ตั้งชื่อหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า บ้านสิงห์ท่า ให้สร้างวัดขึ้นที่บริเวณที่มีพระพุทธรูปใหญ่อยู่ก่อนนั้น เสร็จแล้วให้ชื่อว่า วัดหลวงพระเจ้าใหญ่ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสิงห์ท่า ถือได้ว่าเป็นพระอารามแห่งแรก

ในปีเดียวกันนั้นพระเจ้าสิริบุญสาร ซึ่งเป็นเจ้านครเวียงจันทน์เกิดหวาดระแวงในเจ้าพระตา และเจ้าพระวอ จึงยกกองทัพจากนครเวียงจันทน์มาปราบปราม เจ้าพระตาถูกข้าศึกยิงด้วยอาวุธปืน และฟันด้วยดาบจนถึงแก่พิราลัยในที่สนามรบ ส่วนเจ้าพระวอ เจ้าคำผง เจ้าฝ่ายหน้า เจ้าทิดพรหม และเจ้าก่ำ ได้ยกทัพฝ่าหนีออกจากนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานลงมาตามลำน้ำชีมาพักกับเจ้าคำสูผู้ปกครองบ้านสิงห์ท่าสิงห์โคก ภายหลังต่อมาเจ้าพระวอดำริว่าหากอยู่กับเจ้าคำสูแล้ว ถ้าเวียงจันทน์ยกทัพมาก็จะเป็นการลำบากแก่บ้านสิงห์ท่าสิงห์โคก และจะเกิดศึกสงครามกันต่อไป เมื่อประชุมตกลงกันแล้วจึงได้พาไพร่พลอพยพลงไปตามลำน้ำมูล และสร้างเมืองใหม่ที่เวียงดอนกองเขตนครจำปาศักดิ์ ตามรับสั่งของพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ โดยเจ้าพระวอให้สร้างค่ายขุดคูประตูหอรบขึ้นเรียกว่า "ค่ายบ้านดู่บ้านแก"

ต่อมาใน พ.ศ. 2321 เมื่อพระเจ้าสิริบุญสารทราบเรื่อง จึงได้ยกทัพมาปราบอีกครั้งจนทำให้เจ้าพระวอถึงแก่พิลาลัยในสนามรบ เจ้าคำผง เจ้าฝ่ายหน้า เจ้าทิดพรหม พร้อมบริวารจึงได้อพยพต่อไปยังเกาะกลางลำน้ำมูลซึ่งเรียกว่า "ดอนมดแดง" แต่เนื่องจากเป็นที่ต่ำไม่เหมาะสมที่จะสร้างเมืองใหม่จึงอพยพขึ้นมาตามลำน้ำมูลถึงห้วยแจระแม แล้วมาสร้างเมืองขึ้นที่ดงอู่ผึ้ง เมื่อปีกุน พ.ศ. 2322 แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลขอขึ้นอยู่ในขอบขัณฑสีมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมืองที่ตั้งว่าเมืองอุบล เพื่อเป็นการรำลึกถึงบ้านเมืองเดิมของตนคือเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลุ่มภู) จากนั้นเจ้าคำผงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองเมืองคนแรก และได้รับพระราชทานพระราชทินนามว่า "พระปทุมสุรราช"  

สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ใน พ.ศ. 2329 เจ้าฝ่ายหน้า ผู้น้องพระปทุมสุรราช (เจ้าคำผง) พร้อมกับนางอูสา และเจ้าคำสิงห์ผู้เป็นหลาน ได้นำไพร่พลญาติวงศาอีกส่วนหนึ่งขอแยกตัวกลับมาอยู่ที่บ้านสิงห์ท่าซึ่งเจ้าคำสูปกครองอยู่ บูรณปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุ ตั้งมั่นเป็นกองนอกหวังจะตั้งบ้านเมืองขึ้นให้ใหญ่โตสมฐานะดั่งเมืองอุบล และพระปทุมสุรราช (เจ้าคำผง) ก็เห็นสมควรด้วยกับเจ้าฝ่ายหน้า ไม่ขัดข้องประการใด จึงได้แยกย้ายกันไปทำมาหากินที่บ้านสิงห์ท่า ได้ปรับปรุงและสร้างบ้านสิงห์ท่าจนเจริญรุ่งเรืองต่อจากเจ้าคำสู

ใน พ.ศ. 2334 เกิดกบฏอ้ายเชียงแก้วได้พาพรรคพวกเข้ายึดนครจำปาศักดิ์ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เมื่อครั้งเป็นพระพรหม ยกกระบัตร ยกกองทัพเมืองนครราชสีมา มาปราบกบฏอ้ายเชียงแก้ว ขณะที่กองทัพนครราชสีมายกมาไม่ถึงนั้น เจ้าพระประทุมสุรราช (เจ้าคำผง) และเจ้าฝ่ายหน้า ผู้น้องซึ่งเป็นนายกองนอกที่บ้านสิงห์ท่าได้ร่วมกันยกกำลังไปปราบกบฎอ้ายเชียงแก้วก่อน ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันที่บริเวณแก่งตะนะ จนกองกำลังอ้ายเชียงแก้วแตกพ่ายไป เจ้าฝ่ายหน้าจับตัวอ้ายเชียงแก้วไว้ได้ และประหารชีวิตที่แก่งตะนะปากด่านแม่น้ำมูล เมื่อกองทัพเมืองนครราชสีมายกมาถึงนครจำปาศักดิ์เหตุการณ์ก็สงบเรียบร้อยแล้ว จึงพากันยกกองทัพไปตีพวกข่า ชาติกระเสงสวาง จะรายระแดร์ ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขง จับพวกข่าเป็นเชลยได้เป็นจำนวนมาก จากความดีความชอบในการปราบปรามกบฏอ้ายเชียงแก้วครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เจ้าฝ่ายหน้าเป็น เจ้าพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ องค์ที่ 3 และให้เจ้าคำสิงห์ บุตรคนโตเป็นเจ้าราชวงศ์เมืองโขง หรือสีทันดร และได้ย้ายไพร่พลส่วนหนึ่งจากบ้านสิงห์ท่าไปที่นครจำปาศักดิ์ แทนพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารที่ถึงแก่พิราลัยไป ส่วนทางบ้านสิงห์ท่าได้ให้เจ้าคำม่วง ผู้น้องปกครองแทน

ใน พ.ศ. 2354 เจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราชได้ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านู หลานพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้านครจำปาศักดิ์องค์ก่อน เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์สืบต่อไป จึงทำให้เจ้าราชวงศ์เมืองโขง (เจ้าคำสิงห์) ไม่เป็นที่พอใจที่จะทำราชการกับเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ จึงได้พาครอบครัว และไพร่พลอพยพมาอยู่ที่บ้านสิงท่าดังเดิม พร้อมนำอัฐิเจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ข้างองค์พระธาตุอานนท์ที่วัดมหาธาตุ เพราะเกรงว่าเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ จะไม่เคารพอัฐิเจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) และได้ปรับปรุงพัฒนาบ้านสิงห์ท่าให้ใหญ่โตรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก

ต่อมาใน พ.ศ. 2357 เจ้าราชวงศ์คำสิงห์ ได้มีใบกราบบังคมทูลขอยกบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมืองยศสุนทร มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ให้เจ้าราชวงศ์คำสิงห์ เป็นที่พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรคนแรก (พ.ศ. 2357-2366) และให้อาณาเขตเมืองยศสุนทรทิศเหนือจรดภูสีฐานด่านเมยยอดยัง ทิศใต้จรดห้วยก้ากว้าก ทิศตะวันออกถึงบ้านคำพระมะแงลำน้ำเซ ทิศตะวันตกจรดห้วยไส้ไก่วังเจ็ก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจรดห้วยตาแหลว ให้เมืองยศสุนทรส่งส่วยบำรุงราชการของหลวงคือ น้ำรักสองเลขต่อเบี้ย ป่านสองเลขต่อขวด และพระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) ได้ให้ไพร่พลก่อสร้างฉางข้าว สร้างที่ว่าการเมือง สร้างท้องพระโรง (โฮงคำ) และปกครองเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดสมัย จนถึงแก่พิลาลัย ในปี พ.ศ. 2366 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอุปราชสีชา ขึ้นเป็นพระสุนทรราชวงศา (เจ้าสีชา) เป็นเจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 2 แต่ท่านครองเมืองได้เพียง 3 เดือนก็ถึงแก่พิลาลัย

ในระหว่าง พ.ศ. 2369 เกิดสงครามเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์กับกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ เป็นแม่ทัพที่ 1 ยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าอนุวงศ์ ให้พระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) ได้ยกกองทัพหน้ามาตั้งที่เมืองยศสุนทร เจ้าฝ่ายบุตพร้อมกับเจ้าอุปราช (บุญมา) (ต่อมาได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นพระปทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคายคนแรก) และเจ้าราชบุตร (เคน) บุตรชายของเจ้าอุปราช (บุญมา) ได้นำกองกำลังเมืองยศสุนทรเข้าร่วมกองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดียกทัพไปปราบเจ้าอนุวงศ์ที่นครเวียงจันทน์ได้สำเร็จ พระยาราชสุภาวดีจึงกราบบังคมทูลความดีความชอบของเจ้าฝ่ายบุต และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าฝ่ายบุตเป็นพระสุนทรราชวงศา มหาขัตติยชาติ ประเทศราชวงศ์เวียง ดำรงรักษ์ภักดียศฦๅไกร ศรีพิไชยสงคราม เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 3 (พ.ศ. 2366-2400) พร้อมพระราชทานพระพุทธรูปสำคัญคือ พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์ หรือ พระแก้วหยดน้ำค้าง อันเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองยโสธรในปัจจุบัน , พระราชทานเชลยศึกจากนครเวียงจันทน์ จำนวน 500 ครอบครัว และพระราชทานปืนใหญ่ไว้สำหรับเมืองยศสุนทร 1 กระบอก อันมีชื่อว่า "ปืนนางป้อง" ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ที่ศาลหลักเมืองยโสธรมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเจ้าฝ่ายบุตได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองเมืองแล้ว ได้ให้ไพร่พลนำหินศิลาจากบ้านแก้งหินโงม มาสร้างพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานที่มณฑปวัดป่าอัมพวัน สร้างวัดขึ้นที่ท่าน้ำริมฝั่งแม่น้ำชี เรียกว่า วัดท่าแขก (หรือวัดศรีธรรมารามในปัจจุบัน) และสร้างวัดขึ้นที่กลางเมือง เรียกว่า วัดกลางศรีไตรภูมิ ไว้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสืบมา

ใน พ.ศ. 2400 พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) ได้ถึงแก่พิราลัย ยังแต่พระศรีวรราช (เจ้าเหม็น) บุตรพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) แลกรมการช่วยกันดูแลราชการบ้านเมืองอยู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีวรราช (เจ้าเหม็น) บุตรพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) เป็นที่พระสุนทรราชวงศา มหาขัตติยชาติ ประเทศราชดำรงรักษ์ศักดิยศไกร ศรีพิไชยสงคราม เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 4 (พ.ศ. 2400-2418) ปี พ.ศ. 2416 พระสุนทรราชวงศา (เจ้าเหม็น) พระศรีรราชสุพรหม ผู้เป็นบุตร พร้อมด้วยญาติวงศ์ แลไพร่พลได้พร้อมกันปฏิสังขรณ์วัดท่าแขกที่สร้างขึ้นในสมัยเจ้าฝ่ายบุต แล้วนิมนต์พระเกตุโล (เกตุ) วัดโสมนัสราชวรวิหาร กรุงเทพฯ มาเป็นเจ้าอาวาส พร้อมตั้งวงศ์ธรรมยุติกนิกายในเมืองยศสุนทรเป็นครั้งแรก และให้ชื่อวัดใหม่ว่า "วัดศรีธรรมารามหายโศรก" (วัดศรีธรรมาราม) พระเกตุโล (เกตุ) ยังเป็นพระภิกษุที่ได้รับการอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และนับว่าวัดศรีธรรมารามหายโศรกเป็นวัดธรรมยุติกนิกายแห่งแรกของเมืองยศสุนทร

ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เขียนและเรียกชื่อเมืองยศสุนทร ว่า ยศโสธร หรือหากเรียกเพียงสั้นๆ ก็จะเป็นเมืองยศๆ และได้แปรเปลี่ยนมาเป็น "ยโสธร"

สมัยปฏิรูปประเทศ

ใน พ.ศ. 2417 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เกิดศึกฮ่อยกกำลังมาตีเมืองหนองคาย กองกำลังเมืองยศสุนทรถูกเกณฑ์ให้ไปสมทบกองทัพจากกรุงเทพฯ กำลังพล 500 คน โดยมีพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น) เป็นแม่ทัพเข้าปราบปราม

ใน พ.ศ. 2418 พระสุนทรราชวงศา (เจ้าเหม็น) ได้ถึงแก่พิราลัย ต่อมาใน พ.ศ. 2421 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระศรีวรราชสุพรหม บุตรพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าเหม็น) เป็นที่พระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 5 (พ.ศ. 2418-2429) และใน พ.ศ. 2423 หลวงจุมพลภักดี นายกอง บุตรหลานของเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ไปตั้งบ้านบึงโดนขึ้นแขวงเมืองยศสุนทร ซึ่งพระสุนทรราชวงศา (เจ้าเหม็น) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรคนก่อนได้ตั้งให้เป็นกรมการเมืองยศสุนทรนั้น จะขอทำส่วยผลเร่วแยกจากเมืองยศสุนทรขึ้นต่อกรุงเทพฯ โดยตรง แต่ฝ่ายพระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) เจ้าผู้ครองเมืองไม่ยอมตามหลวงจุมพลภักดีๆ มีความขุ่นเคืองจึงเอาบัญชีรายชื่อตัวเลขไปสมัครขึ้นกับพระราษฎรบริหาร เจ้าเมืองกมลาไสย และมีใบกราบบังคมทูลขอตั้งบ้านบึงโดนขึ้นเป็นเมือง ขอตั้งหลวงจุมพลภักดีเป็นเจ้าเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านบึงโดนขึ้นเป็นเมืองเสลภูมินิคม ให้หลวงจุมพลภักดีเป็นพระนิคมบริรักษ์ เจ้าเมืองเสลภูมินิคม ให้ท้าวสุริยะเป็นอัคฮาด ให้ท้าวผู้ช่วยเป็นอัควงษ์ ท้าวสุทธิสารเป็นอัคบุตร รักษาราชการเมืองเสลภูมินิคมขึ้นกับเมืองกมลาไสย

ใน พ.ศ. 2426 พวกฮ่อได้ยกกำลังมาตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ เมืองยศสุนทรได้รับเกณฑ์ให้เอากำลังช้างม้าโคต่าง ๆ ไปเป็นพาหนะบรรทุกเสบียงไปเลี้ยงกองทัพ ต่อมาใน พ.ศ. 2429 พระสุนทรวรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) ได้ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอุปราช (แก) เป็นที่พระสุนทรราชเดช เป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองยโสธรคนแรก (พ.ศ. 2430-2438) และใน พ.ศ. 2433 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบเมืองประเทศราชมาเป็นการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมืองอุบลราชธานีเป็นเมืองเอก มีเมืองขึ้น 41 เมือง ประกอบด้วยหัวเมือง 12 หัวเมือง คือ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ สุวรรณภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ภูแล่นช้าง กมลาไสย เขมราฐ หนองสองคอนดอนดง และศรีสะเกษ และเมืองยโสธรจึงจัดอยู่ใน 41 เมืองดังกล่าวด้วย

ใน พ.ศ. 2436 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงต่างพระองค์ผู้สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว โปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิทักษ์สุเทพ ข้าหลวง ท้าวไชยกุมาร เมืองอุบลราชธานี ขึ้นมาจัดราชการเมืองยโสธร แล้วเจ้าอุปราชแก เจ้าราชบุตรหนู พระศรีวรราช ท้าวสิทธิกุมาร (ต่อมาคือพระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ)) ผู้ที่รับหน้าที่เจ้าราชวงศ์ จึงพร้อมด้วยหลวงพิทักษ์สุเทพ ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพพระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) เมื่องานพระราชทานเพลิงศพฯ เสร็จลง เมืองยโสธรก็ว่างเว้นจากเจ้าผู้ครองเมือง เหลือแต่เจ้าอุปราชแก เจ้าราชบุตรหนู รับราชการกับหลวงพิทักษ์สุเทพ ในปีนี้เองเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้ยกกำลังจากเมืองญวนมาตีเมืองสมโบกของไทย ฝ่ายเมืองยโสธรได้ถูกเกณฑ์กำลังทหารไปสมทบกองทัพจากกรุงเทพฯ ทั้งสามกองทัพ กองทัพละ 1,000 คน จำนวน 1,000 นาย โดยมีหลวงพิทักษ์สุเทพ เป็นนายคุมทัพไป

ใน พ.ศ. 2437 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เสด็จขึ้นมาเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ผู้สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว ประดับที่เมืองอุบลราชธานี แล้วโปรดเกล้าฯ ให้นายร้อยโทสอน เป็นข้าหลวงมาจัดราชการเมืองยโสธร แล้วให้เจ้าอุปราชแกเป็นที่พระสุนทรราชเดช ให้เจ้าราชบุตรหนูเป็นเจ้าราชวงศ์ และหลวงศรีวรราช (แข้) เป็นเจ้าราชบุตร

ใน พ.ศ. 2438 พระสุนทรราชเดชได้ถึงแก่อนิจกรรมลง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นายร้อยโทสอน เป็นขุนรานนฤพล ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร คนที่ 2 และปี พ.ศ. 2440 ขุนรานนฤพลก็ถึงแก่กรรมลงอีก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงศรีวรราช (แข้ ปทุมชาติ) เป็นพระสุนทรราชเดช ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร คนที่ 3 (พ.ศ. 2440 - 2455)

ใน พ.ศ. 2442 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เสด็จขึ้นมาประทับที่เมืองยโสธร โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าราชวงศ์ทองดี เป็นหลวงยศไกรเกรียงเดช (ทองดี ต้นสกุลโพธิ์ศรี) เป็นยกบัตรเมือง 4. ท้าวโพธิสาร (ตา) เป็นหลวงยศเยศสุรามฤทธิ์ เป็นนายอำเภออุทัยยะโสธร 5. ท้าวสิทธิสาร (สมเพศ) เป็นหลวงยศวิทยธำรง ผู้ช่วย 6. เมืองจันทร์ (ฉิม) เป็นหลวงยศเขตรวิมลคุณ มหาดไทย เป็นนายอำเภอปจิมยะโสธร

ต่อมาใน พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการปกครองในรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองยโสธรจึงถูกจัดอยู่ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งกองบัญชาการมณฑลที่เมืองอุบลราชธานี (บริเวณอุบลราชธานี) ต่อมาใน พ.ศ. 2445 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ โปรดเกล้าฯ ให้ซานนท์ (ชาย) เป็นหลวงยศอดุลพฤฒิเดช เป็นตำแหน่งพล

ใน พ.ศ. 2452 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอปจิมเขมราฐ โดยให้รวมกับอำเภออุไทยเขมราฐ พร้อมกันนั้นก็ให้ยุบเมืองเขมราฐ ส่วนอำเภอที่อยู่ในเขตการปกครองเมืองเขมราฐ ก็ให้มารวมอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร เมืองยโสธรจึงมีอำเภอในเขตการปกครองรวม 6 อำเภอ ได้แก่

  • อำเภออุไทยยะโสธร มีท้าวสิทธิกุมาร (ทุม) เป็นนายอำเภอ
  • อำเภอปจิมยะโสธร มีท้าวอุเทนวงษษ (เขียน) เป็นนายอำเภอ
  • อำเภออุไทยเขมราฐ มีหลวงเขมรัฐการอุตส่ห์ (แสง) เป็นนายอำเภอ
  • อำเภออำนาจเจริญ มีราชวงศ์ (ซาว) เป็นนายอำเภอ
  • อำเภอโขงเจียม มีท้าวบุญธิสาร (ตำบ่อ) เป็นนายอำเภอ
  • อำเภอวารินทร์ชำราบ มีอุปราช (บุญ) เป็นนายอำเภอ

จึงเป็นปีที่เมืองยโสธรมีพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่ และมีจำนวนอำเภอมากที่สุด

ปี พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอวารินทร์ชำราบอันอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยให้ท้องที่ต้างๆ ไปรวมกับอำเภอพิมูลมังษาหาร (อำเภอพิบูลมังสาหาร) และส่วนหนึ่งไปรวมกับอำเภอบูรพาอุบล (อำเภอเมืองอุบลราชธานี)

ปี พ.ศ. 2455 รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสาน เป็น 2 มณฑล คือ มณฑบลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด โดยกำหนดให้มณฑลอุบลราชธานี มี 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดขุขันธ์ และจังหวัดสุรินทร์ ใชช่วงเวลาดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อเมืองให้เรียกเป็นจังหวัดแล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมืองยโสธรก็ถูกยุบไปในคราวเดียวกันนั้น ส่วนอำเภอต่างๆ ที่เคยขึ้นกับเมืองยโสธร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 ก็ถูกโอนย้ายให้อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ปี พ.ศ. 2456 กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่ออำเภอในจังหวัดอุบลราชธานีให้เหมาะสม การนี้จึงได้เปลี่ยนชื่ออำเภออุไทยยะโสธร เป็นอำเภอคำเขื่อนแก้ว เปลี่ยนชื่ออำเภอปจิมยะโสธร เป็นอำเภอยะโสธร จังหวัดอุบลราชธานี

สมัยเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจนถึงปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. 2489 นายสุวิชช์ จิตตยะโสธร คนอำเภอยะโสธรคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งอำเภอยะโสธรเป็นจังหวัดยะโสธรตามที่ได้รับปากไว้กับประชาชนชาวอำเภอยะโสธรในขณะที่หาเสียง แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จเพราะมีกระแสคัดค้านไม่ให้แยกออกจากจังหวัดอุบลราชธานี และได้มีการปฏิวัติเกิดขึ้น

ในปี พ.ศ. 2494 นายดิเรก มณีรัตน์ (เขยเมืองยศ) ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้พยายามดำเนินการขอจัดตั้งจังหวัดยะโสธร และกระทรวงมหาดไทยได้ริเริ่มขอตั้งอำเภอยะโสธรขึ้นเป็นจังหวัดครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายใด ต่อมา ร.ต.ท.พวง ศรีบุญลือ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอยะโสธร (พ.ศ. 2500–2513) คำว่า ยศสุนทร แปลว่า ยศอันดีงาม ชาวเมืองยศสุนทรจะเรียกตนเองสั้นๆ ว่า ชาวเมืองยศหรือคนเมืองยศ อันเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และต่อมาชื่อเมืองก็มากลายเป็น ยะโสธร อันมีความหมายว่า ทรงไว้ซึ่งยศ แต่การเขียนหรือการเรียกสั้นๆ ว่า เมืองยะโส พูดแล้วฟังดูไม่เป็นที่ไพเราะหูและไม่เป็นมงคลนาม จึงได้มีหนังสือขอให้เขียนชื่ออำเภอเสียใหม่เป็น “ยโสธร” และได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย โดยความเห็นชอบของราชบัณฑิตยสถานให้เปลี่ยนได้ และใช้มาจนบัดนี้

จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2514 จอมพล ถนอม กิติขจร ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติ ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดยโสธรที่ค้างคาอยู่ ออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 โดยได้แยกอำเภอต่าง ๆ ที่อยู่ในการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีเดิม 6 อำเภอ คือ อำเภอยโสธร อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอป่าติ้ว รวมเข้าเป็นจังหวัดยโสธร จังหวัดที่ 71 ของประเทศไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2515 เป็นต้นไป และแต่งตั้งนายชัยทัต สุนทรพิพิธ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรคนแรก

ภูมิศาสตร์

ที่ตั้งและอาณาเขต

ศาลากลางจังหวัดยโสธรตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร ณ ละติจูด 15° 47´.6 เหนือ ลองจิจูด 104° 08´.7 ตะวันออก และมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้

ภูมิประเทศ

จังหวัดยโสธรตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบหรือแอ่งโคราช โดยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 128 เมตร มีพื้นที่ 4,161.444 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,600,902.5 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.81 ของพื้นที่ทั่วประเทศ (321 ล้านไร่) และคิดเป็นร้อยละ 12.89 ของพื้นที่กลุ่มจังหวัด แยกเป็นพื้นที่การเกษตร 1,623,649 ไร่ (62.42%) ป่าสงวนแห่งชาติ 712,822 ไร่ (27.41%) ที่อยู่อาศัย 34,776 ไร่ (1.34%) และอื่นๆ อีก 29,655 ไร่ (8.83%) พื้นที่มีลักษณะลาดเอียงจากทิศตะวันตกลงไปทางทิศตะวันออก ลักษณะดินส่วนมากเป็นดินทรายและดินเค็ม ทางด้านตอนบนของจังหวัดมีลักษณะส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงสลับกับพื้นที่แบบลูกคลื่น มีสภาพเป็นป่าและภูเขาขนาดเล็กเป็นบางบริเวณ ในอดีตเคยเป็นพื้นที่ของป่าดงบังอี่คือ อำเภอเลิงนกทา อำเภอกุดชุม และอำเภอไทยเจริญ และเป็นต้นกำเนิดลำน้ำสายสำคัญคือ ลำเซบาย และลำน้ำโพง และมีลำน้ำเล็กๆ คือ ห้วยสะแบก ห้วยลิงโจน เป็นต้น ทางด้านตอนกลางและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นเป็นที่ราบลุ่มต่ำสลับกับสันดินริมน้ำแม่น้ำชีคือ อำเภอเมืองยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอค้อวัง ความยาวเฉพาะช่วงที่แม่น้ำชีไหลผ่านจังหวัดยโสธร มีความยาว 110  กิโลเมตร มีน้ำไหลตลอดปี มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ย 8,035 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ปริมาณน้ำที่กักเก็บได้เฉลี่ย 4,179 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีปริมาณน้ำท่าเหลือเฉลี่ย 3,856 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และมีลำน้ำเล็กๆ คือ ลำชีหลง ลำทวน ห้วยขั้นไดใหญ่ ห้วยพระบาง ห้วยน้ำเค็ม ห้วยพันทม ห้วยสันโดด เป็นต้น ด้านตะวันตกของจังหวัดมีลำน้ำยังไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำชีในพื้นที่อำเภอเมืองยโสธร มีลำน้ำเล็กๆ คือ ห้วยแกวใหญ่ ส่วนด้านตะวันออกมีลำเซบาย และลำน้ำโพงไหลผ่านในพื้นที่อำเภอป่าติ้ว และอำเภอคำเขื่อนแก้ว มีลำน้ำเล็ก ๆ คือ ห้วยทม

พื้นที่ในจังหวัดยโสธรมีลักษณะดินต่าง ๆ โดยเป็นดินปนทราย 306,899 ไร่ หรือร้อยละ 11.79 ของพื้นที่จังหวัด ดินเค็ม(ปานกลางและน้อย) 140,255 ไร่ หรือร้อยละ 5.39 เป็นดินตื้นปนกรวดและดินภูเขา 68,117 ไร่ หรือร้อยละ 2.62  และตามข้อมูล กชช.2ค. มีจำนวนหมู่บ้านที่มีปัญหาคุณภาพดิน ระดับมาก จำนวน 270 หมู่บ้าน ระดับปานกลาง 241 หมู่บ้าน รวมเป็น 511 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 57.74 ของจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด ถือว่ามีปัญหาเรื่องคุณภาพดินค่อนข้างมาก

ป่าไม้

จังหวัดยโสธรมีพื้นที่ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติทั้งสิ้น จำนวน 27 ป่า เนื้อที่ 712,822 ไร่ ปัจจุบันกรมป่าไม้ได้ส่งมอบพื้นที่เสื่อมโทรมให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม  นำไปปฏิรูปให้เกษตรกรทั้งสิ้น 509,405  ไร่  และมีพื้นที่กันคืนให้กรมป่าไม้เนื่องจากสภาพยังคงเป็นป่าแปลงเล็กแปลงน้อย จำนวน 241 แปลง เนื้อที่ 38,544 ไร่ คงเหลือพื้นที่ป่าที่จะดูแลรักษาจำนวน 297,419 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 11.43 (เป็นพื้นที่ C จำนวน 114,713 ไร่) จากสถิติกรมป่าไม้ ปี พ.ศ. 2551 เหลือพื้นที่ป่า จำนวน 272,725 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 10.49 ของพื้นที่จังหวัด และมีอุทยานแห่งชาติอยู่ 1 แห่ง คือ

  1. อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว อยู่ในท้องที่อำเภอเลิงนกทา  จังหวัดยโสธร  เนื้อที่  42,500  ไร่ ซึ่งประกาศทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติป่าดงบังอี่ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2550-2554) คดีป่าไม้ เฉลี่ย 40 คดี/ปี พื้นที่ถูกบุกรุกเฉลี่ย 145-2-58 ไร่/ปี มีไฟป่าเกิดขึ้นเฉลี่ย 14 ครั้ง/ปี พื้นที่เสียหาย เฉลี่ย 231 ไร่/ปี
แหล่งน้ำ

แหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญได้แก่

  • แม่น้ำชี มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ โดยไหลผ่านอำเภอเมืองยโสธร ผ่านอำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอค้อวัง ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำมูลในเขตอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำชีมีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี แม่น้ำชีมีลำน้ำสาขาอยู่ในเขตจังหวัดยโสธรหลายสาย คือ ลำน้ำกว้าง ห้วยพระบาง ห้วยสันโดด ห้วยพันทม ห้วยกุดกุง ฯลฯ
  • ลำเซบาย มีต้นกำเนิดจากที่ราบสูงพื้นที่อำเภอเลิงนกทา ไหลผ่านอำเภอไทยเจริญ อำเภอป่าติ้ว อำเภอเมืองอำนาจเจริญ อำเภอหัวตะพาน อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอเขื่องใน ก่อนไหลลงสู่กับแม่น้ำมูลที่บ้านทุ่งขุนน้อย ตำบลหนองขอน จังหวัดอุบลราชธานี ลำเซบายมีลำน้ำสาขาอยู่หลายสาย คือ ลำน้ำโพง ห้วยลิงโจน ห้วยสะแบก ห้วยส้มฝ่อ ฯลฯ
  • ลำน้ำโพง มีต้นกำเนิดจากภูกิ๋วภูฮังในเขตอำเภอเลิงนกทา ไหลผ่านอำเภอไทยเจริญ อำเภอกุดชุม อำเภอเมืองยโสธร อำเภอป่าติ้ว ก่อนไหลลงสู่ลำเซบายที่บ้านกุดเป่ง ตำบลเหล่าไฮ อำเภอคำเขื่อนแก้ว ลำน้ำโพงมีน้ำไหลเกือบตลอดปี
  • ลำน้ำยัง มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาภูพานในเขตอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด และไหลลงสู่แม่น้ำชีที่บ้านคำน้ำสร้าง ตำบลค้อเหนืออำเภอเมืองยโสธร ลำน้ำยังมีน้ำไหลเกือบตลอดปี

ภูมิอากาศ

จังหวัดยโสธรตั้งอยู่ระหว่างเส้นแวงที่ 104 และ 105 องศาตะวันออก และเส้นรุ้งที่ 15 และ 16 องศาเหนือ สำหรับภูมิอากาศ จังหวัดยโสธรมี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ความชื้นสัมพัทธ์ เฉลี่ยเท่ากับ 71.1% อุณหภูมิสูงสุด 43 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 11 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในรอบ 5 ปี (2552 – 2556) เฉลี่ย 1,600 ม.ม. ต่อปี

การเมืองการปกครอง

การปกครองส่วนภูมิภาค

แผนที่อำเภอในจังหวัดยโสธร

การปกครองแบ่งออกเป็น 9 อำเภอ 78 ตำบล 835 หมู่บ้าน

  1. อำเภอเมืองยโสธร
  2. อำเภอทรายมูล
  3. อำเภอกุดชุม
  4. อำเภอคำเขื่อนแก้ว
  5. อำเภอป่าติ้ว
  6. อำเภอมหาชนะชัย
  7. อำเภอค้อวัง
  8. อำเภอเลิงนกทา
  9. อำเภอไทยเจริญ

การปกครองส่วนท้องถิ่น

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีจำนวน 88 แห่ง แบ่งออกเป็น 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด, 1 เทศบาลเมือง, 22 เทศบาลตำบล และ 64 องค์การบริหารส่วนตำบล มีรายชื่อดังนี้

รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร

รายนามเจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร
รายนาม วาระการดำรงตำแหน่ง
เจ้าผู้ปกครองบ้านสิงห์ท่า
1. เจ้าคำสู พ.ศ. 2314-2329
2. เจ้าฝ่ายหน้า ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นเจ้าพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ พระองค์ที่ 3 พ.ศ. 2329-2354
3. เจ้าคำม่วง พ.ศ. 2354-2356
เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทร
1. พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) พ.ศ. 2357-2366
2. พระสุนทรราชวงศา (เจ้าสีชา) พ.ศ. 2366 (3 เดือน)
3. พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) พ.ศ. 2369-2400
4. พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าเหม็น) พ.ศ. 2400-2412
5. พระสุนทรราชวงศา (เจ้าสุพรหม) พ.ศ. 2412-2432
ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองยโสธร
6. พระสุนทรราชเดช (เจ้าแก) พ.ศ. 2432-2438
7. ขุนราญนฤพล (ร้อยโทสอน) พ.ศ. 2438-2440
8. พระสุนทรราชเดช (แข้ ปทุมชาติ) พ.ศ. 2440-2456
ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร
9. นายชัยทัต สุนทรพิพิธ 1 มี.ค. 2515 - 30 ก.ย. 2519
10. นายพีระศักดิ์ สุขะพงษ์ 1 ต.ค. 2519 - 24 ก.พ. 2522
11. นายกาจ รักษ์มณี 25 ก.พ. 2522 - 30 ก.ย. 2522
12. นายอรุณ ปุสเทพ 1 ต.ค. 2522 - 30 ก.ย. 2523
13. นายนพรัตน์ เวชชศาสตร์ 1 ต.ค. 2523 - 30 ก.ย. 2526
14. นายจรวย ยิ่งสวัสดิ์ 1 ต.ค. 2526 - 30 ก.ย. 2530
15. นายเลิศ บรรเลงเสนาะ 1 ต.ค. 2530 - 30 ก.ย. 2533
16. นายภพพล ชีพสุวรรณ 1 ต.ค. 2533 - 30 ก.ย. 2535
17. นายวิชัย ธรรมชอบ 1 ต.ค. 2535 - 30 ก.ย. 2537
18. นายโยธิน เมธชนัน 1 ต.ค. 2537 - 30 ก.ย. 2539
19. นายสมัย ฮมแสน 1 ต.ค. 2539 - 30 ก.ย. 2542
20. นายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช 1 ต.ค. 2542 - 30 ก.ย. 2543
21. นายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์ 1 ต.ค. 2543 - 4 มี.ค. 2544
22. นายวิสูตร วงศ์วิริยะ 23 เม.ย. 2544 - 30 ก.ย. 2545
23. นายสุธี มากบุญ 1 ต.ค. 2545 - 30 ก.ย. 2548
24. นายอำนาจ ผการัตน์ 1 ต.ค. 2548 - 12 พ.ย. 2549
25. นายวีรวิทย์ วิวัฒนวาณิช 13 พ.ย. 2549 - 19 ต.ค. 2551
26. นายขจรศักดิ์ สิงโตกุล 20 ต.ค. 2551 - 15 มี.ค. 2552
27. นายวันชัย อุดมสิน 16 มี.ค. 2552 - 30 ก.ย. 2552
28. นายพงษ์ศักดิ์ นาคประดา 1 ต.ค. 2552 - 30 ก.ย. 2554
29. นายประวัติ ถีถะแก้ว 13 ม.ค. 2555 - 30 ก.ย. 2558
30. นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม 1 ต.ค. 2558 - 30 ก.ย. 2560
31. นายนิกร สุกใส 1 ต.ค. 2560 - ปัจจุบัน
อ้างอิง:[4]

ประชากร

ศาสนา

ประชากรในจังหวัดยโสธรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยมีพระอารามหลวงประจำจังหวัด 2 แห่ง ได้แก่

การศึกษา

การศึกษาระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็น 2 สังกัด ได้แก่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 และสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร ส่วนระดับประถมศึกษา ได้แก่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เขตพื้นที่การศึกษา และสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งครอบคลุมโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาด้วย

สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัด มีแห่งเดียว ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาลัยศาสนศาสตร์ยโสธร และในอนาคต มีโครงการศึกษาเพื่อพิจารณาจัดตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม วิทยาเขตยโสธร

เศรษฐกิจ

ใน พ.ศ. 2556 จังหวัดยโสธรมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (จีพีพี) มูลค่า 28,421 ล้านบาท รายได้เฉลี่ยต่อหัว 58,541 บาท เป็นลำดับที่ 72 ของประเทศ โดยสาขาเกษตรกรรม ทำรายได้มากที่สุด 9,822 ล้านบาท รองลงมาคือ สาขาการศึกษา 4,877 ล้านบาท สาขาการขายส่ง-ขายปลีก 2,913 ล้านบาท และสาขาอุตสาหกรรมการผลิต 2,425 ล้านบาท ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพในภาคเกษตรกรรม

โครงสร้างพื้นฐาน

การประปา

จังหวัดยโสธรมีสำนักงานประปาภูมิภาค 4 แห่ง ได้แก่ สาขายโสธร, สาขามหาชนะชัย, สาขาเลิงนกทา และสาขาอำนาจเจริญ (หน่วยบริการป่าติ้ว) ซึ่งทั้ง 4 สาขาให้บริการในเขตเทศบาลและบริเวณใกล้เคียงในชุมชน 6 อำเภอ คือ อำเภอเมืองยโสธร  อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา  อำเภอมหาชนะชัย อำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอป่าติ้ว ส่วนอำเภอที่เหลือใช้บริการประปาของเทศบาลตำบลหรือใช้ระบบปั๊มน้ำบาดาลสำหรับในเขตชนบท แหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตประปาส่วนใหญ่มาจากแม่น้ำชีและลำเซบาย

การขนส่ง

จังหวัดยโสธรอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 532 กิโลเมตร โดยสามารถเดินทางสู่จังหวัดยโสธรได้หลายวิธี ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัวและรถประจำทาง ภายในตัวเมืองยโสธร มีรถโดยสารประจำทางไปยังอำเภอต่าง ๆ โดยมีให้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดยโสธร นอกจากนี้ยังมีรถสองแถวไปยังอำเภอต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคิวรถจะอยู่ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัด

จังหวัดยโสธรไม่มีเส้นทางรถไฟและท่าอากาศยาน ดังนั้นการขนส่งทางรางและทางอากาศ ต้องมาลงที่จังหวัดอื่นแล้วจึงต่อรถโดยสารเข้าไป การขนส่งทางรางนั้น มีรถไฟให้บริการมายังสถานีรถไฟอุบลราชธานี อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี แล้วจึงต่อรถโดยสารหรือรถตู้ปรับอากาศมายังจังหวัดยโสธร ในอนาคตมีโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ซึ่งจะผ่านบริเวณพื้นที่อำเภอเลิงนกทา

ส่วนการขนส่งทางอากาศ มีเครื่องบินให้บริการมายังท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี แล้วจึงต่อรถโดยสารหรือรถตู้เช่นเดียวกัน ในอนาคตมีการพัฒนาสนามบินเลิงนกทาในตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา เป็นท่าอากาศยานพาณิชย์

วัฒนธรรม

ประเพณีบุญบั้งไฟ

จังหวัดยโสธรมีเทศกาลและงานประเพณีอันเป็นที่รู้จัก นั่นคือ ประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งแต่เดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งแสดงออกถึงความสามัคคีของหมู่คณะ และมีความเชื่อว่าเมื่อจัดงานนี้แล้วเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะดลบันดาลให้มีฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ โดยงานประเพณีนี้จัดขึ้นในวันเสาร์และวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ที่สวนสาธารณะพญาแถน

เทศกาลและงานประเพณีอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่

จังหวัดยโสธรเป็นที่ตั้งของสโมสรฟุตบอลยโสธร ซึ่งมีเพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา เป็นประธานสโมสร ปัจจุบันสโมสรกำลังแข่งขันในไทยลีก 4 โซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

อ้างอิง

  1. ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารและงานปกครอง. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ข้อมูลการปกครอง." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dopa.go.th/padmic/jungwad76/jungwad76.htm [ม.ป.ป.]. สืบค้น 18 เมษายน 2553.
  2. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: .pdf http://stat.bora.dopa.go.th/stat/pk/pk_58.pdf 2560. สืบค้น 22 มีนาคม 2561.
  3. คำสั่งกองบัญชาการคณะปฏิวัติ ที่ 79/2515 เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 89 ตอน 34 ง พิเศษ หน้า 4 4 มีนาคม พ.ศ. 2515
  4. http://www.yasothon.go.th/web/file/menu2.html

ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

พิกัดภูมิศาสตร์: 15°47′N 104°09′E / 15.79°N 104.15°E / 15.79; 104.15