ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ต้นบุนนาควัดคุ้งตะเภา"
หน้าใหม่: {{รุกขมรดก |image= Big-Boonnak tree of Wat Khung Taphao.jpg |name= ต้นบุนนาค วัดคุ้งตะเภา |Native name lang=... |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 9: | บรรทัด 9: | ||
|Seeded=พ.ศ. 2313 (ปลูกโดย [[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]]) |
|Seeded=พ.ศ. 2313 (ปลูกโดย [[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]]) |
||
|Felled= |
|Felled= |
||
|protected=[[กระทรวงวัฒนธรรม]] |
|protected=[[กระทรวงวัฒนธรรม]] (ลำดับทะเบียน 24/2562) |
||
|custodian=[[วัดคุ้งตะเภา]] |
|custodian=[[วัดคุ้งตะเภา]] |
||
|website= https://sites.google.com/site/watkungtaphao/ |
|website= https://sites.google.com/site/watkungtaphao/ |
||
บรรทัด 16: | บรรทัด 16: | ||
}} |
}} |
||
ต้นบุนนาค [[วัดคุ้งตะเภา]] เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีคุณค่าและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ 1 ใน 4 ต้น ของ[[จังหวัดอุตรดิตถ์]] ได้รับประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นรุกขมรดกระดับประเทศโดย[[กระทรวงวัฒนธรรม]]ในปี พ.ศ. |
ต้นบุนนาค [[วัดคุ้งตะเภา]] เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีคุณค่าและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ 1 ใน 4 ต้น ของ[[จังหวัดอุตรดิตถ์]] ได้รับประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นรุกขมรดกระดับประเทศโดย[[กระทรวงวัฒนธรรม]]ในปี พ.ศ. 2562<ref name="ประกาศ 62"/> |
||
ต้น[[บุนนาค]]เป็นต้นไม้ยืนต้น โตช้า และหาชมได้ยาก ต้นบุนนาคคู่วัดคุ้งตะเภาเชื่อว่าปลูกโดย[[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] ในปี พ.ศ. 2313 เมื่อแรกสร้างวัดคุ้งตะเภา ได้รับยกย่องจากผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มจังหวัดมรดกโลกทางวัฒนธรรม จ.[[สุโขทัย]] ให้เป็นบุนนาคพญาในวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหัวเมืองเหนือ (Upper Siam) หรือจังหวัดในกลุ่ม[[วัฒนธรรม]]สุโขทัยโบราณ เชื่อว่ามีความใหญ่เป็นรองเพียงต้นบุนนาคคู่ที่เมืองยอง [[รัฐฉาน]] [[ประเทศพม่า]]<ref name="รายงานการสำรวจข้อมูลต้นไม้">________. (2562). รายงานการสำรวจข้อมูลต้นไม้ "รุกข มรดกของแผ่นดิน" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562. อุตรดิตถ์ : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์. (อัดสำเนา). </ref> |
ต้น[[บุนนาค]]เป็นต้นไม้ยืนต้น โตช้า และหาชมได้ยาก ต้นบุนนาคคู่วัดคุ้งตะเภาเชื่อว่าปลูกโดย[[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] ในปี พ.ศ. 2313 เมื่อแรกสร้างวัดคุ้งตะเภา ได้รับยกย่องจากผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มจังหวัดมรดกโลกทางวัฒนธรรม จ.[[สุโขทัย]] ให้เป็นบุนนาคพญาในวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหัวเมืองเหนือ (Upper Siam) หรือจังหวัดในกลุ่ม[[วัฒนธรรม]]สุโขทัยโบราณ เชื่อว่ามีความใหญ่เป็นรองเพียงต้นบุนนาคคู่ที่เมืองยอง [[รัฐฉาน]] [[ประเทศพม่า]]<ref name="รายงานการสำรวจข้อมูลต้นไม้">________. (2562). รายงานการสำรวจข้อมูลต้นไม้ "รุกข มรดกของแผ่นดิน" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562. อุตรดิตถ์ : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์. (อัดสำเนา). </ref> |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:29, 11 เมษายน 2562
ชื่อต้นไม้ | ต้นบุนนาค วัดคุ้งตะเภา |
สถานะ | รุกขมรดกระดับชาติโดยกระทรวงวัฒนธรรม (พ.ศ. 2562)[1] |
ที่ตั้ง | วัดคุ้งตะเภา จังหวัดอุตรดิตถ์ |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 17°39′14″N 100°08′22″E / 17.653906°N 100.139419°E |
สปีชีส์ | M. ferrea |
ชื่อทวินาม | Mesua ferrea |
ปลูกเมื่อ | พ.ศ. 2313 (ปลูกโดย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) |
การขึ้นทะเบียน | กระทรวงวัฒนธรรม (ลำดับทะเบียน 24/2562) |
เจ้าของ | วัดคุ้งตะเภา |
เว็บไซต์ | https://sites.google.com/site/watkungtaphao/ |
ต้นบุนนาค วัดคุ้งตะเภา เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีคุณค่าและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ 1 ใน 4 ต้น ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นรุกขมรดกระดับประเทศโดยกระทรวงวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2562[1]
ต้นบุนนาคเป็นต้นไม้ยืนต้น โตช้า และหาชมได้ยาก ต้นบุนนาคคู่วัดคุ้งตะเภาเชื่อว่าปลูกโดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในปี พ.ศ. 2313 เมื่อแรกสร้างวัดคุ้งตะเภา ได้รับยกย่องจากผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มจังหวัดมรดกโลกทางวัฒนธรรม จ.สุโขทัย ให้เป็นบุนนาคพญาในวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหัวเมืองเหนือ (Upper Siam) หรือจังหวัดในกลุ่มวัฒนธรรมสุโขทัยโบราณ เชื่อว่ามีความใหญ่เป็นรองเพียงต้นบุนนาคคู่ที่เมืองยอง รัฐฉาน ประเทศพม่า[2]
ประวัติ
บุนนาคใหญ่นี้ยืนต้นอยู่ในวัดคุ้งตะเภา วัดที่มีความเก่าแก่ติด 1 ใน 9 วัดของเมืองอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นวัดในชุมชนคนไทยภาษาถิ่นสุโขทัยโบราณที่อยู่เหนือสุดในกลุ่มวัฒนธรรมหัวเมืองเหนือสมัยอยุธยา เป็นร่องรอยของขนบในการปลูกสมุนไพรเกสรทั้ง 5 ไว้ในวัดตามจารีตสุโขทัยโบราณจากหลักฐานในศิลาจารึกสุโขทัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุนนาคใหญ่นี้มีความสำคัญต่อประวัติวัดและชุมชน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่อยู่ในพื้นที่ ๆ เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ บริเวณริมแม่น้ำน่านสายเก่าอันเป็นที่ตั้งวัดคุ้งตะเภาเดิมในสมัยธนบุรี ซึ่งเป็นเส้นทางเดินทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อคราวยกทัพมาปราบปรามชุมนุมเจ้าพระฝาง ในตำบลที่ตั้งพลับพลารับเสด็จพระตำหนักค่ายหาดสูงตามพระราชพงศาวดาร[3] วัดคุ้งตะเภาปรากฏหลักฐานการสร้างวัดในปีเดียวกันนั้นหลังการชำระสงฆ์คราวปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ใน พ.ศ. 2313[4] และในบริเวณโดยรอบต้นบุนนาคยังพบเศษอิฐและกระเบื้องดินเผาโบราณกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในระดับชั้นดินอีกด้วย[5]
ตำนานเล่าสืบมาว่าปลูกมาตั้งแต่แรกสร้างวัด โดยเลือกปลูกอยู่ในทิศตะวันตกของวัดติดริมแม่น้ำน่านสายเก่า การปลูกไว้ในทิศดังกล่าวเป็นทิศปลูกต้นบุนนาคตามตำราโบราณ เพื่อให้อยู่คู่วัดปกป้องคุ้มครองและเป็นสิริมงคลสำหรับวัดและชาวบ้านตราบสิ้นอายุขัย ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนล้วนเล่าสืบมารุ่นต่อรุ่นว่าเมื่อเกิดมาก็เห็นต้นบุนนาคขนาดเท่านี้แล้ว บริเวณต้นบุนนาคใหญ่เมื่อประมาณ 50 ปีก่อน เคยมีต้นลั่นทม ต้นพิกุล และต้นมะม่วงใหญ่ขนาดหลายคนโอบอยู่ใกล้กัน แต่ก็ล้มลงไปนานแล้ว ปัจจุบันนอกจากต้นโพธิ์โบราณคู่วัด ต้นบุนนาคนี้เป็นต้นไม้โบราณเพียงต้นเดียวในบริเวณท่าแม่น้ำน่านเก่าที่ยังคงยืนต้นอยู่[2]
ในช่วงก่อนน้ำท่วมใหญ่เมืองอุตรดิตถ์ ปี พ.ศ. 2493 ที่ทำให้ชาวบ้านตัดสินใจย้ายหมู่บ้านจากริมน้ำน่านขึ้นมาอยู่บนที่ราบด้านบนในระดับเดียวกับวัด ต้นบุนนาคต้นนี้เคยอยู่บริเวณหัวสะพานไม้โบราณที่ทอดข้ามบุ่งน้ำน่านเก่าไปยังบ่อน้ำโบราณของวัด ชาวบ้านจะเดินทางมาจากชุมชนริมน้ำน่าน และใช้ต้นบุนนาคนี้เป็นจุดพบปะ นั่งพักผ่อนสังสรรค์กัน ก่อนจะพาไปทำบุญในหอฉันและศาลาหลังเก่าบริเวณต้นตาลใหญ่[2]
ปัจจุบันหลังแม่น้ำน่านเปลี่ยนเส้นทางห่างจากท่าน้ำวัดเดิมไปกว่า 1 กิโลเมตร และมีการตัดถนนสายเอเชียในประมาณ พ.ศ. 2520 ทำให้หน้าวัดกลายเป็นหลังวัด ต้นบุนนาคหน้าวัดจึงเปลี่ยนสถานะมาอยู่หลังวัด พร้อม ๆ กับการสิ้นสุดเส้นทางสัญจรทางน้ำ และทางบกโบราณ เส้นเลียบน้ำน่าน บุ่งวังงิ้ว-พระฝาง ที่เคยใช้สัญจรกันมาตั้งแต่สมัยธนบุรี เหลือเพียงเรื่องเล่าในความทรงจำของปู่ย่าตายาย และต้นบุนนาคโบราณที่ยังยืนต้นเป็นประจักษ์พยานความเก่าแก่ทรงคุณค่าของชุมชนและวัดคุ้งตะเภามาจนปัจจุบัน[5]
อายุ
จากการประเมินอายุของเจ้าหน้าที่ป่าไม้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดอุตรดิตถ์ และนักวิชาการด้านพฤกษศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนเรศร ซึ่งได้วัดขนาดต้นบุนนาควัดคุ้งตะเภาในต้นปี พ.ศ. 2562 พบเส้นรอบวงวัดจากพื้นดิน 1.30 เมตร ตามหลักวิชาการ ได้เส้นรอบวง 3.6 เมตร ความสูง 25-30 เมตร ทรงพุ่มกว้าง 8-10 เมตร โดยคำนวณจำนวนปีของบุนนาควัดคุ้งตะเภาโดยการนำค่าประมาณตามหลักวิชาการ ได้ค่าเท่ากับ 240 ปี ใกล้เคียงกับอายุของวัดที่นับจากปีตั้งวัดคุ้งตะเภาตามหลักฐานลายลักษณ์อักษรคือ ปี พ.ศ. 2313[2]
การขึ้นทะเบียน
ต้นบุนนาคคู่วัดคุ้งตะเภา ได้รับการพิจารณาจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศยกย่องให้เป็น 1 ใน 88 ต้นไม้รุกขมรดกของแผ่นดิน ซึ่งมีการประกาศเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562[1] โดยต้นบุนนาคคู่วัดคุ้งตะเภา เป็น 1 ใน 4 รุกขมรดกสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ คือ ต้นมเหสักข์ อายุ 1,500 ปี ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ อ.ทองแสนขัน (ต้นสักใหญ่ของโลกที่ปรากฎในคำขวัญจังหวัดอุตรดิตถ์), ต้นมะค่าโมงยักข์ 1,500 ปี ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติห้วยก้านเหลือง อ.ฟากท่า, ต้นมะปรางป่า 150 ปี อ.ลับแล [6]
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 ประกาศกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เรื่อง ประกาศผลการคัดเลือกต้นไม้ " รุกข มรดกของแผ่นดิน" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ลงวันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 ________. (2562). รายงานการสำรวจข้อมูลต้นไม้ "รุกข มรดกของแผ่นดิน" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562. อุตรดิตถ์ : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์. (อัดสำเนา).
- ↑ ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2558). 'สวางคบุรีศรีคุ้งตะเภา : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมรภูมิสวางคบุรี-คุ้งตะเภา อนุสรณ์ 245 ปี แห่งการสถาปนาวัดคุ้งตะเภา'. อุตรดิตถ์ : สำนักงานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-334-1 หน้า 78-79
- ↑ กรมการศาสนา. (2531). ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๗. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา. หน้า 34.
- ↑ 5.0 5.1 พระมหาเทวประภาส วชิรญาณเมธี. (2560). 'สารพันบันทึกเล่าพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดคุ้งตะเภา : ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ และภูมิปัญญาท้องถิ่น'. กรุงเทพฯ : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. ISBN 978-616-543-4522. หน้า 47-51
- ↑ ประกาศกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เรื่อง ประกาศผลการคัดเลือกต้นไม้ “รุกข มรดกของแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมี” ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561