ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 177: บรรทัด 177:
| align="center" | 28
| align="center" | 28
| align="center" | 3
| align="center" | 3
| align="center" | 25
| align="center" | 26
| align="center" | 56
| align="center" | 57
| align="center" | 53.6%
| align="center" | 53.6%
|-
|-

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:57, 27 กุมภาพันธ์ 2562

เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย
ไฟล์:Iron Chef Thailand.PNG
ประเภทแข่งขันทำอาหาร
สร้างโดยบริษัท ฟูจิ ครีเอทีฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
พัฒนาโดยบริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด (ในเครือ เอช กรุ๊ป)
เสนอโดยประธานสถาบัน
สันติ เศวตวิมล
ประธานสรรหาผู้ท้าชิง
จำนงค์ นิรังสรรค์
หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์
เมทนี บุรณศิริ
พิธีกร
ชาคริต แย้มนาม (25 มกราคม พ.ศ. 2555 - 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560)
นภัสรัญชน์ มิตรธีรโรจน์ (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน)
ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ (11 พฤศจิกายน พ.ศ 2560 - 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561)
ไดอาน่า จงจินตนาการ (27 ตุลาคม พ.ศ. 2561 - ปัจจุบัน)
พิธีกรภาคสนาม
ณัฐพงษ์ สมรรคเสวี
ชัชชัย จำเนียรกุล
ไดอาน่า จงจินตนาการ
แสดงนำเชฟกระทะเหล็ก
เสียงของณัฐพงษ์ สมรรคเสวี
ประเทศแหล่งกำเนิดไทย ไทย
ภาษาต้นฉบับไทย
จำนวนฤดูกาล7
จำนวนตอน231 (รายชื่อตอน)
การผลิต
กล้องMulti-camera
ความยาวตอน60 นาที
ออกอากาศ
เครือข่ายสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
ออกอากาศ25 มกราคม พ.ศ. 2555 –
ปัจจุบัน

เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย (อังกฤษ: Iron Chef Thailand) เป็นเกมโชว์การทำอาหาร ออกอากาศทุกวันพุธ เวลา 23.00 น. - 01.00 น. (15 เมษายน พ.ศ. 2556 - 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ได้เพิ่มรายการย่อยอีกหนึ่งรายการ ชื่อว่า เชฟกระทะเหล็ก ศึกวันล้างตา ออกอากาศทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00 น. - 10.00 น.) โดยเริ่มอากาศครั้งแรกเมื่อวันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555 ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ตามรูปแบบของรายการ ยุทธการกระทะเหล็ก (อังกฤษ: Iron Chef ญี่ปุ่น: 料理の鉄人) ที่ออกอากาศครั้งแรกวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2536 โดยได้รับลิขสิทธิ์จากบริษัท ฟูจิ ครีเอทีฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับลิขสิทธิ์ในการผลิตรายการนี้ ในอีกหลายภาษา และวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558 ได้ย้ายเวลาออกอากาศเป็นทุกวันเสาร์ เวลา 12.00 น. - 13.00 น. จนกระทั่งวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ได้ปรับเวลาออกอากาศเป็นทุกวันเสาร์ เวลา 11.45 - 12.45 น. และในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ได้ขยับเวลาออกอากาศเป็น 11.35 - 12.50 น. พร้อมกับเพิ่มเวลาออกอากาศ และช่วงโรงเรียนกระทะเหล็ก ได้ย้ายออกอากาศทุกวันนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00 น. - 10.00 น. โดยใช้ชื่อว่า เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย กับ โรงเรียนกระทะเหล็ก เริ่มออกอากาศ 6 เมษายน พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป

ระยะเวลาในการออกอากาศ

สถานีโทรทัศน์ที่ออกอากาศ วัน เวลา ช่วงระหว่าง
สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 พุธ 23:00 - 00:55 น. 25 มกราคม 2555 - 28 พฤษภาคม 2557
23:20 - 01:15 น. 4 มิถุนายน 2557 - 25 มีนาคม 2558
เสาร์ 12:00 - 13:00 น. 4 เมษายน 2558 - 6 มิถุนายน 2558
11:45 - 12:45 น. 13 มิถุนายน 2558 - 24 มิถุนายน 2560
11:45 - 13:00 น. 1 กรกฎาคม 2560 - 24 กุมภาพันธ์ 2561
12:00 - 13:15 น. 3 มีนาคม 2561 - ปัจจุบัน

รูปแบบของรายการ

อดีต

แบบที่ 1

ช่วงประลองยุทธ์

3 ผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับการคัดเลือกจากประธานสรรหาทั้ง 3 ท่าน จะต้องทำการประลองยุทธ์กับทีม เชฟกระทะแหลก (ดารารับเชิญ 6 ท่าน) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นแสดงภาพผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 ท่าน เวลาแข่งขัน โดยตัดภาพทีม เชฟกระทะแหลก ออกไป เนื่องจากมีผู้ชมจำนวนมากไม่พอใจเกี่ยวกับท่าทางในการทำอาหารด้าน เซฟกระทะแหลก ผู้เข้าแข่งขันจะได้รับวัตถุดิบหลักในการทำอาหารคนละ 1 อย่างตามจำนวนที่จำกัดไว้ โดยทำการจับฉลากล่วงหน้า ซึ่งผู้เข้าแข่งขัน ก็ไม่สามารถทราบว่า ได้วัตถุดิบอะไร และจะทำอย่างไร ให้วัตถุดิบปริศนาถูกแปลงสภาพมาเป็นอาหารชั้นเลิศตามเวลาที่กำหนดให้ (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 15 นาที)

ช่วงนักชิมปริศนา

3 ผู้เข้าแข่งขัน จะได้รับโจทย์การทำอาหาร ให้กลุ่มผู้ชิมที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่น “ทำอาหารแคลลอร์รี่ต่ำ” ให้สาวงาม 20 คน หรือ นักมวย 30 คน เป็นต้น ผู้แข่งขันเพียง 1 คน จะได้รับการคัดเลือกเข้าไปเป็น ผู้ท้าชิง กับ เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 20 นาที)

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก และ เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและเวลาเป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 60 นาที) มีการนำเสนอ, การแสดงความคิดเห็น และการตัดสิน หลังผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะต้องนำเสนออาหารของตัวเองต่อกรรมการก่อนชิม จากนั้นคณะกรรมการจะทำการแสดงความคิดเห็น พร้อมตัดสินว่า...อาหารจานใดระหว่าง เชฟผู้ท้าชิง หรือ เชฟกระทะเหล็ก จะมีรสชาติชนะใจกรรมการ ในกรณีที่ผลการแข่งขันเสมอกัน จะมีการแข่งขันแบบต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 1 เมนู โดยใช้วัตถุดิบพิเศษที่รายการกำหนดไว้ให้

แบบที่ 2

ช่วงสรรหาผู้ท้าชิงและเมนูพิเศษเฉพาะตัว

ประธานสรรหาทั้ง 3 คน จะทำการคัดสรรเชฟที่มีฝีมือจากทั่วสารทิศ มาเป็น เชฟผู้ท้าชิง พร้อมกับดารารับเชิญ 3 ท่าน หรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งเชฟผู้ท้าชิงจะมาทำอาหารเมนูพิเศษตามความถนัดของตนเอง จากแบบทดสอบพิเศษ ซึ่งจะเปลี่ยนไปในแต่ละสัปดาห์ เวลาที่กำหนดในการทำอาหาร คือ 30 นาที โดยจะมีรูปแบบแบบทดสอบพิเศษต่างๆ กันไป ดังนี้

  • แบบเมนูประจำตัว (Signature Dish) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารด้วยวัตถุดิบที่เชฟจัดเตรียมมาสำหรับการนำเสนอเมนูของตัวเองโดยเฉพาะ
  • แบบอาหารตามสั่ง (Made To Order) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารจากโจทย์วัตถุดิบหลักและโจทย์รูปแบบการทำอาหาร ในไตล์ต่างๆ อาทิเช่น ไทย, จีน, ยุโรป และอื่นๆ ที่ทางรายการกำหนดมาให้ ซึ่งเปรียบเสมือนการรับรายการจากลูกค้าในรูปแบบอาหารตามสั่ง ให้ประธานสรรหาและดารารับเชิญ 3 ท่านชิมกัน
  • แบบ 3 วัตถุดิบปริศนา (Secret Ingredient) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารจากโจทย์วัตถุดิบปริศนา ที่ทางรายการกำหนดให้จำนวน 3 อย่าง โดยจะต้องชูรสชาติ ของวัตถุดิบลับทั้ง 3 อย่างให้ได้มากที่สุด ในบางครั้งทางรายการจะบอกวัตถุดิบปริศนามาก่อน 1 อย่าง โดยวัตถุดิบปริศนา 2 อย่างที่เหลือ จะถูกเลือกผ่านมาจาก นักช็อปปริศนา ให้ประธานสรรหาและดารารับเชิญ 3 ท่านชิมกัน
  • แบบบอกคำปริศนา (Story Telling) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารจากโจทย์ปริศนา 1 ประโยคจากบุคคลพิเศษ เพื่อสื่อถึงปริศนานั้น ซึ่งเปรียบเสมือนการเล่าเรื่องราวศิลปะต่างๆ ผ่านจานอาหารนั้นๆ ให้ประธานสรรหาและดารารับเชิญ 3 ท่านชิมกัน
  • แบบเครื่องมือปริศนา (Secret Equipment) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารจากโจทย์อุปกรณ์ปริศนา ที่ทางรายการกำหนดให้จำนวน 1 ชิ้น โดยเชฟผู้ท้าชิงต้องใช้อุปกรณ์ปริศนานั้น เป็นอุปกรณ์หลักในการทำอาหาร ให้ประธานสรรหาและดารารับเชิญ 3 ท่านชิมกัน
  • แบบนักชิมปริศนา (Mystery Judges) เชฟผู้ท้าชิง จะต้องทำอาหารจานพิเศษ สำหรับกลุ่มนักชิมปริศนา โดยตอบโจทย์ความต้องการของนักชิมปริศนา ให้เสร็จทันเวลาที่กำหนดและครบตามจำนวนนักชิม
ช่วงเชฟกระทะเหล็ก

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก และ เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและเวลาเป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 60 นาที) มีการนำเสนอ, การแสดงความคิดเห็น และการตัดสิน หลังผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะต้องนำเสนออาหารของตัวเองต่อกรรมการก่อนชิม จากนั้นคณะกรรมการจะทำการแสดงความคิดเห็น พร้อมตัดสินว่า...อาหารจานใดระหว่าง เชฟผู้ท้าชิง หรือ เชฟกระทะเหล็ก จะมีรสชาติชนะใจกรรมการ ในกรณีที่ผลการแข่งขันเสมอกัน จะมีการแข่งขันแบบต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 1 เมนู โดยใช้วัตถุดิบพิเศษที่รายการกำหนดไว้ให้

ช่วงโรงเรียนกระทะเหล็ก

เชฟกระทะเหล็ก จะมาสาธิตการทำอาหารให้แก่ดารารับเชิญและผู้ชมทางบ้านที่สมัครเข้ารวมรายการ รวม 6 ท่าน หรืออาจจะมากกว่านั้น และทุกวันพุธสุดท้ายของแต่ละเดือน เชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ จะมาสาธิตการทำอาหารแทนเชฟกระทะเหล็ก หลังจากนั้นจะเลือกผู้ร่วมรายการ 2 ท่าน มาทำอาหารตามเชฟกระทะเหล็กหรือเชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ ซึ่งผู้ร่วมรายการที่เหลือ 4 คน จะทำการชิมและให้คะแนนว่าอาหารที่คนไหนทำ อร่อยกว่ากัน คนที่ได้คะแนนมากกว่า จะได้เป็น นักเรียนดีเด่น และได้รับประกาศนียบัตรเป็นของที่ระลึก

แบบที่ 3

ประชันวัตถุดิบ

จะมีวัตถุดิบ 2 ชนิดออกมาให้ได้ชมกัน โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้แข่งในวันนั้นจริงๆ หรือบางครั้งอาจจะไม่เกี่ยวกับวัตถุดิบเลย แต่จะเป็นการทำอาหารให้แขกรับเชิญได้รับประทานกัน โดยจะมี เชฟประสพโชค ตระกูลแพทย์ (เชฟอาร์ต) , เชฟบรรณ บริบูรณ์ (เชฟอิ๊ค) , เชฟธัชพล ชุมดวง (เชฟตูน) สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา สัปดาละ 2 คนเพื่อเป็นตัวแทนและนำเสนอวัตถุดิบอย่างละฝ่าย พร้อมทั้งทำอาหารจากวัตถุดิบนั้นๆ ให้กับแขกรับเชิญได้รับประทานด้วย

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก และ เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและเวลาเป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 60 นาที) มีการนำเสนอ, การแสดงความคิดเห็น และการตัดสิน หลังผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะต้องนำเสนออาหารของตัวเองต่อกรรมการก่อนชิม จากนั้นคณะกรรมการจะทำการแสดงความคิดเห็น พร้อมตัดสินว่า...อาหารจานใดระหว่าง เชฟผู้ท้าชิง หรือ เชฟกระทะเหล็ก จะมีรสชาติชนะใจกรรมการ ในกรณีที่ผลการแข่งขันเสมอกัน อาจจะมีการแข่งขันแบบต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 1 เมนู โดยใช้วัตถุดิบพิเศษที่รายการกำหนดไว้ให้ หรืออาจจะไม่มีการต่อเวลา และคงผลเสมอไว้เช่นเดิม

แบบที่ 4

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก

รูปแบบจะคล้ายคลึงกับ เชฟกระทะเหล็ก ประเทศสหรัฐอเมริกา (อังกฤษ: Iron Chef America) ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เหมือนเดิม โดยภายใน 20 นาทีแรกนั้น เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟด้วยตนเองให้กับคณะกรรมการได้ชิมกันจานต่อจาน โดยคณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมพร้อมกับแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนกันแบบระบบเวลาจริงเลย มีคะแนนส่วนนี้ให้ 5 คะแนน ถ้าทำไม่ทัน คะแนนส่วนนี้จะเป็น 0 คะแนนโดยทันที จากนั้นอีก 40 นาทีที่เหลือเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องรังสรรค์อย่างน้อย 4 เมนูให้เสร็จทันเวลา ที่มากไปกว่านั้นเพื่อเพิ่มความท้าทายและความกดดันให้กับเชฟทั้งสองฝ่าย ท่านประธานสันติได้เพิ่ม โจทย์พิเศษ (Culinary Curve Ball) ที่สามารถเป็นได้ทั้งวัตถุดิบหรืออุปกรณ์เสริม ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องใช้โจทย์พิเศษนี้เป็นองค์ประกอบในเมนูใดเมนูหนึ่งให้ได้นั้นเอง ซึ่งเราจะได้ประหลาดใจไปกับวิธีการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าของเชฟแต่ละท่าน แถมยังได้เห็นถึงจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา มีคะแนนส่วนนี้ให้ 5 คะแนน และคณะกรรมการ 3 คน ทำการให้คะแนน โดยจะพิจารณาจากคะแนนด้านรสชาติความอร่อย 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ 5 คะแนน และด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลัก 5 คะแนน

ช่วงโรงเรียนกระทะเหล็ก

เชฟกระทะเหล็ก จะมาสาธิตการทำอาหารให้แก่ดารารับเชิญและผู้ชมทางบ้านที่สมัครเข้ารวมรายการ รวม 6 ท่าน หรืออาจจะมากกว่านั้น และทุกวันพุธสุดท้ายของแต่ละเดือน เชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ จะมาสาธิตการทำอาหารแทนเชฟกระทะเหล็ก หลังจากนั้นจะเลือกผู้ร่วมรายการ 2 ท่าน มาทำอาหารตามเชฟกระทะเหล็กหรือเชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ ซึ่งผู้ร่วมรายการที่เหลือ 4 คน จะทำการชิมและให้คะแนนว่าอาหารที่คนไหนทำ อร่อยกว่ากัน คนที่ได้คะแนนมากกว่า จะได้เป็น นักเรียนดีเด่น และได้รับประกาศนียบัตรเป็นของที่ระลึก

แบบที่ 5

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระะทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชี่ยนทวิสต์คิวชีน และเชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรป) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน โดยภายใน 20 นาทีแรกนั้น เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟด้วยตนเองให้กับคณะกรรมการได้ชิมกันจานต่อจาน โดยคณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมพร้อมกับแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนกันแบบระบบเวลาจริงเลย มีคะแนนส่วนนี้ให้ 5 คะแนน ถ้าทำไม่ทัน คะแนนส่วนนี้จะเป็น 0 คะแนนโดยทันที จากนั้นอีก 40 นาทีที่เหลือเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องรังสรรค์อย่างน้อย 4 เมนูให้เสร็จทันเวลา และคณะกรรมการ 3 คน ทำการให้คะแนน โดยจะพิจารณาจากคะแนนด้านรสชาติความอร่อย 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ 5 คะแนน และด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลัก 5 คะแนน

แบบที่ 6

ใช้ในวันที่ 8 กรกฎาคม – 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ช่วง World Ingredient ภารกิจตามล่าวัตถุดิบสุดขอบโลก

ในช่วงนี้ จะมีลักษณะคล้ายกับช่วงประชันวัตถุดิบในรูปแบบที่ 3 แต่จะเป็นการให้พิธีกรร่วม 2 ท่านคือ เบญจพล เชยอรุณ (กอล์ฟ) และชล วจนานนท์ (ชลลี่) มานำเสนอวัตถุดิบที่จะให้ประธานสันติเป็นผู้คัดเลือก เพื่อนำมาใช้ในการแข่งขัน และผู้ชมทางบ้านจะสามารถร่วมสนุกว่าประธานสันติจะเลือกวัตถุดิบชนิดใด เพื่อชิงบัตรกำนัลมูลค่า 10,000 บาท

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระะทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชี่ยนทวิสต์คิวชีน และเชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรป) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน โดยภายใน 20 นาทีแรกนั้น เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟด้วยตนเองให้กับคณะกรรมการได้ชิมกันจานต่อจาน โดยคณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมพร้อมกับแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนกันแบบระบบเวลาจริงเลย มีคะแนนส่วนนี้ให้ 5 คะแนน ถ้าทำไม่ทัน คะแนนส่วนนี้จะเป็น 0 คะแนนโดยทันที จากนั้นอีก 40 นาทีที่เหลือเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องรังสรรค์อย่างน้อย 4 เมนูให้เสร็จทันเวลา และคณะกรรมการ 3 คน ทำการให้คะแนน โดยจะพิจารณาจากคะแนนด้านรสชาติความอร่อย 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ 5 คะแนน และด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลัก 5 คะแนน

ปัจจุบัน (แบบที่ 7)

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระะทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชี่ยนทวิสต์คิวชีน และเชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรป) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องรังสรรค์ 5 เมนู ให้เสร็จทันเวลา จากนั้นเมื่อผ่านไป 45 นาที จะมีวัตถุดิบปริศนา (Culinary Curve Ball) ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องนำวัตถุดิบปริศนามาใช้ทำอาหารเป็นวัตถุดิบหลัก 1 เมนูจาก 5 เมนู (มีเพียงเทปวันที่ 11 และ 18 พฤศจิกายน 2560 ที่ใช้กติกาจากรูปแบบรายการแบบที่ 4 คือเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องนำวัตถุดิบปริศนานำมาประกอบการรังสรรค์อย่างน้อย 1 เมนูจาก 5 เมนู) และคณะกรรมการ 3 คน ทำการให้คะแนน ซึ่งในรูปแบบนี้จะเป็นการให้คะแนนแบบที่กรรมการจะไม่ทราบก่อนว่าเมนูจานไหนเป็นของเชฟท่านใด (Blind Tasting) โดยกรรมการทั้งสามจะเก็บตัวในระหว่างที่เชฟทั้งสองทำการรังสรรค์เมนู และเมื่อเข้าสู่ช่วงการตัดสิน เชฟทั้งสองจะถูกนำไปเก็บตัวและดูการตัดสินผ่านทางจอมอนิเตอร์ และอาหารของเชฟทั้งสองจะถูกเสิร์ฟให้แก่คณะกรรมการทำการตัดสิน โดยจะใช้อักษร A และ B ในการแทนตัวเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ซึ่งเกณฑ์การตัดสินจะพิจารณาจากคะแนนด้านรสชาติความอร่อย 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ 5 คะแนน, ด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลัก 5 คะแนน และ ด้านความสามารถในการใช้วัตถุดิบปริศนาประกอบในเมนูที่รังสรรค์อีก 5 คะแนน

เชฟกระทะเหล็ก

รายชื่อเชฟกระทะเหล็กที่ปรากฏในรายการ ซึ่งแสดงผลชนะ เสมอ แพ้ ของเชฟกระทะเหล็กแต่ละคน กล่องสีจะแทนแถบสีของชุดเชฟกระทะเหล็ก โอกาสในการเสมอของการแข่งขันเกิดขึ้นได้น้อยมาก และเหมือนกับต้นฉบับของญี่ปุ่น คือ นับเป็นเสียงโหวตของคณะกรรมการแทนการนับคะแนน

เชฟกระทะเหล็ก ความเชี่ยวชาญด้านอาหาร ชนะ เสมอ แพ้ ทั้งหมด % ชนะ
  พงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ (Iron Chef Innovative Western) 43 4 7 54 83.3%
  ธนรักษ์ ชูโต เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย (Iron Chef Contemporary Chinese) 46 3 5 54 88.0%
  บุญธรรม ภาคโพธิ์ เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น (Iron Chef Japanese) 35 3 14 51 71.0%
  ธนัญญา วิลคินซัน เชฟกระทะเหล็ก อาหารหวาน (Iron Chef Dessert) 28 3 26 57 53.6%
  ประสพโชค ตระกูลแพทย์ เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชีย แนวผสมผสาน (Iron Chef Asian Twist) 22 0 9 31 66.7%
  ชุมพล แจ้งไพร [1] เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย (Iron Chef Thai) 45 4 5 54 87.0%
  ธรรมศักดิ์ ชูทอง เชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรป (Iron Chef European) 5 0 3 8 62.5%
  เฮง ชุง ไล เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน (Iron Chef Chinese) (II) 1 1 5 7 21.4%
  ชัยเทพ ภัทรพรไพศาล เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน (Iron Chef Chinese) (I) 1 0 1 2 50.0%
  ธนินธร จันทรวรรณ เชฟกระทะเหล็ก อาหารโมเดิร์นคิวซีน แนวอิตาเลียน (Iron Chef Modern Cuisine ; Italian Twist) 6 2 4 12 58.3%

วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557 รายการได้เหลือเชฟกระทะเหล็กเพียง 5 คน โดยสรุปจะมีเชฟตามดังนี้

  •   พงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย (อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ - Iron Chef Innovative Western)
  •   ธนรักษ์ ชูโต (อาหารจีนร่วมสมัย - Iron Chef Contemporary Chinese)
  •   บุญธรรม ภาคโพธิ์ (อาหารญี่ปุ่น - Iron Chef Japanese)
  •   ชุมพล แจ้งไพร (อาหารไทย - Iron Chef Thai)
  •   ธนัญญา วิลคินซัน (อาหารหวาน - Iron Chef Dessert)

วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558 ได้เพิ่มเชฟกระทะเหล็กขึ้นมาอีก 2 คน ได้แก่

  •   ประสพโชค ตระกูลแพทย์ (อาหารเอเชีย แนวผสมผสาน - Iron Chef Asian Twist)
  •   ธรรมศักดิ์ ชูทอง (อาหารยุโรป - Iron Chef European)

ณ ซีซั่นปัจจุบัน (แบบที่ 7) เริ่มตั้งแต่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 รายการได้เหลือเชฟกระทะเหล็กเพียง 5 คน โดยสรุปจะมีเชฟตามดังนี้

  •   พงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย (อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ - Iron Chef Innovative Western)
  •   ธนรักษ์ ชูโต (อาหารจีนร่วมสมัย - Iron Chef Contemporary Chinese)
  •   บุญธรรม ภาคโพธิ์ (อาหารญี่ปุ่น - Iron Chef Japanese)
  •   ธนัญญา วิลคินซัน (อาหารหวาน - Iron Chef Dessert)
  •   ประสพโชค ตระกูลแพทย์ (อาหารเอเชีย แนวผสมผสาน - Iron Chef Asian Twist)

การแข่งขัน

วัตถุดิบหลักที่นำมาใช้รายการบางครั้งก็จะมีราคาแพงและแปลกใหม่ เช่น ปลาเก๋ามังกร, ปูทาราบะ, ปลาแชลมอน แต่บางครั้งก็จะเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายโดยทั่วไป เช่น กุ้งแม่น้ำ, กะหล่ำปลี เป็นต้น ซึ่งบางครั้งก็แสดงถึงความเป็นพื้นบ้านในประเทศไทย เช่น ปลาร้า, ไก่บ้าน โดยวัตถุดิบหลักในแต่ละสัปดาห์ทั้งเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็กจะต้องนำมาทำอาหารอย่างน้อย 4 อย่างหรืออาจจะทำมากกว่านั้นก็ได้ ซึ่งจำนวนจานของอาหารแต่ละอย่างที่ต้องเตรียมในการตัดสินนั้นจะมีอย่างน้อย 6 จาน กล่าวคือ เตรียมให้ประธานสันติ 1 จาน และคณะกรรมการ 5 จานหรืออาจจะน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับจำนวนคณะกรรมการในแต่ละสัปดาห์และต้องเตรียม 1 จาน ของอาหารแต่ละอย่างออกมาต่างหากสำหรับการถ่ายภาพและการนำเสนอ โดยอาหารทั้งหมดจะทำด้วยเชฟกระทะเหล็กและมีผู้ช่วย ปกติแล้วทั้งเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็กจะเตรียมผู้ช่วยเชฟ 2 คนมาเองและอุปกรณ์เครื่องครัว นอกเหนือจากทางรายการที่มีอยู่นำมาใช้ในรายการได้

กรรมการตัดสินในรายการ

ในการตัดสินแต่ละครั้งจะมีกรรมการ 5 คน แต่บางครั้งอาจมี 4-6 คน ทั้งนี้อาจมีแขกรับเชิญเป็นดารา นักแสดงหรือผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง 1-2 คนรวมอยู่ด้วย ต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงจนเหลือกรรมการเพียง 3 ท่าน โดยกรรมการส่วนใหญ่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านวงการอาหาร และมีชาวต่างชาติด้วยเป็นบางครั้ง เนื่องจากเป็นเชฟที่ประจำอยู่ตามภัคตาคารต่างๆ ที่มีชื่อเสียงนั่นเอง

รายชื่อตอน

แหล่งข้อมูลอื่น

  1. เชฟชุมพล แจ้งไพร เคยเข้าแข่งขันและเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้อาหารไทย เมื่อปี 2549