ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมเด็จพระราชินีนาถอูร์รากาที่ 1 แห่งเลออน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{เก็บกวาด}}
{{เก็บกวาด}}
[[ไฟล์:UrracaRegina TumboA.jpg|thumb|ภาพวาดย่อส่วนของพระราชินีอูร์รากากำลังว่าราชการ จากตุมโบ อา อาสนวิหารซานเตียโกเดกอมโปสเตลา คริสต์ศตวรรษที่ 13]]
[[ไฟล์:UrracaRegina TumboA.jpg|thumb|ภาพวาดย่อส่วนของพระราชินีอูร์รากากำลังว่าราชการ จากตุมโบ อา อาสนวิหารซานเตียโกเดกอมโปสเตลา คริสต์ศตวรรษที่ 13]]
'''สมเด็จพระราชินีนาถอูร์รากาที่ 1 แห่งเลออน''' ({{lang-es|Urraca I de León}}; [[ภาษาเลออน|เลออน]]: {{lang|ast|Urraca I de Llión}}) หรือ '''อูร์รากาผู้ไม่รอบคอบ''' ({{Lang-es|Urraca la Temeraria}})<ref>[https://elartedelahistoria.wordpress.com/2010/10/13/dona-urraca-primera-reina-de-castilla-una-mujer-maltratada/ "Urraca, first queen of Castile. A battered woman", elartedelahistoria.com]</ref> เสด็จพระราชสมภพราว ค.ศ. 1077–1081 สิ้นพระชนม์ 8 มีนาคม ค.ศ. 1126 ที่ซัลดัญญา [[ราชอาณาจักรกัสติยา]] ครองราชย์เป็นพระราชินีแห่งเลออนและกัสติยาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1109 ถึงปี ค.ศ. 1126 เป็นพระธิดาของ[[พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 แห่งเลออนและกัสติยา]]
'''สมเด็จพระราชินีนาถอูร์รากาที่ 1 แห่งเลออน''' ({{lang-es|Urraca I de León}}; [[ภาษาเลออน|เลออน]]: {{lang|ast|Urraca I de Llión}}) หรือ '''อูร์รากาผู้ไม่รอบคอบ''' ({{Lang-es|Urraca la Temeraria}})<ref>[https://elartedelahistoria.wordpress.com/2010/10/13/dona-urraca-primera-reina-de-castilla-una-mujer-maltratada/ "Urraca, first queen of Castile. A battered woman", elartedelahistoria.com]</ref> เสด็จพระราชสมภพราว ค.ศ. 1077–1081 สิ้นพระชนม์ 8 มีนาคม ค.ศ. 1126 ที่[[ซัลดัญญาเดบูร์โกส|ซัลดัญญา]] [[ราชอาณาจักรกัสติยา]] ครองราชย์เป็นพระราชินีแห่งเลออนและกัสติยาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1109 ถึงปี ค.ศ. 1126 เป็นพระธิดาของ[[พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 แห่งเลออนและกัสติยา]]


อูร์รากากลายเป็นทายาทของพระบิดาเมื่อซันโช (พี่น้องนอกสมรสต่างมารดา) ถูกสังหารที่อูเกลสในปี ค.ศ. 1108 พระองค์เป็นภรรยาม่ายของเคานต์แรมงแห่งบูร์กอญ ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนคืออัลฟอนโซ รามิเรซ ที่ต่อมาคือ[[พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยา]] การให้สตรีสืบทอดต่อตำแหน่งในช่วงวิกฤตอัลโมราวิดนั้นมีความเสี่ยง เพื่อถ่วงดุลอำนาจ การแต่งงานของอูร์รากากับ[[พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 1 แห่งอารากอน]] (ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่สอง) จึงถูกจัดเตรียมขึ้นในปี ค.ศ. 1109 แต่แทนที่จะก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง การแต่งงานครั้งนี้กลับนำไปสู่ยุคอนาธิปไตย ตามข้อตกลงการแต่งงาน อูร์รากาและพระสวามีจะเป็นผู้ปกครองร่วมในดินแดนของกันและกัน พระเจ้าอัลฟอนโซจึงส่งทหารรักษาการของ[[ราชอาณาจักรอารากอน|อารากอน]]เข้าไปในหลายเมืองของ[[ราชอาณาจักรเลออน|เลออน]]และ[[ราชอาณาจักรกัสติยา|กัสติยา]] เหล่าบุคคลสำคัญจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ สงครามกลางเมืออุบัติขึ้นและดำเนินอยู่หลายปี หลายฝ่ายสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ของเด็กน้อยอัลฟอนโซ รามิเรซ แต่ก็ทำได้ยากขึ้นเพราะความเข้ากันไม่ได้ของอูร์รากากับพระสวามีที่ไม่นานก็ขัดแย้งกัน อีกทั้ง[[สมเด็จพระสันตะปาปาปาสคาลที่ 2]] ยังทรงประกาศให้การแต่งงานไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา สุดท้ายทั้งคู่ก็แยกทางกันในปี ค.ศ. 1112
อูร์รากากลายเป็นทายาทของพระบิดาเมื่อซันโช (พี่น้องนอกสมรสต่างมารดา) ถูกสังหารที่อูเกลสในปี ค.ศ. 1108 พระองค์เป็นภรรยาม่ายของเคานต์แรมงแห่งบูร์กอญ ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนคืออัลฟอนโซ รามิเรซ ที่ต่อมาคือ[[พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยา]] การให้สตรีสืบทอดต่อตำแหน่งในช่วงวิกฤตอัลโมราวิดนั้นมีความเสี่ยง เพื่อถ่วงดุลอำนาจ การแต่งงานของอูร์รากากับ[[พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 1 แห่งอารากอน]] (ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่สอง) จึงถูกจัดเตรียมขึ้นในปี ค.ศ. 1109 แต่แทนที่จะก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง การแต่งงานครั้งนี้กลับนำไปสู่ยุคอนาธิปไตย ตามข้อตกลงการแต่งงาน อูร์รากาและพระสวามีจะเป็นผู้ปกครองร่วมในดินแดนของกันและกัน พระเจ้าอัลฟอนโซจึงส่งทหารรักษาการของ[[ราชอาณาจักรอารากอน|อารากอน]]เข้าไปในหลายเมืองของ[[ราชอาณาจักรเลออน|เลออน]]และ[[ราชอาณาจักรกัสติยา|กัสติยา]] เหล่าบุคคลสำคัญจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ สงครามกลางเมืออุบัติขึ้นและดำเนินอยู่หลายปี หลายฝ่ายสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ของเด็กน้อยอัลฟอนโซ รามิเรซ แต่ก็ทำได้ยากขึ้นเพราะความเข้ากันไม่ได้ของอูร์รากากับพระสวามีที่ไม่นานก็ขัดแย้งกัน อีกทั้ง[[สมเด็จพระสันตะปาปาปาสคาลที่ 2]] ยังทรงประกาศให้การแต่งงานไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา สุดท้ายทั้งคู่ก็แยกทางกันในปี ค.ศ. 1112

รุ่นแก้ไขเมื่อ 08:42, 17 ธันวาคม 2561

ภาพวาดย่อส่วนของพระราชินีอูร์รากากำลังว่าราชการ จากตุมโบ อา อาสนวิหารซานเตียโกเดกอมโปสเตลา คริสต์ศตวรรษที่ 13

สมเด็จพระราชินีนาถอูร์รากาที่ 1 แห่งเลออน (สเปน: Urraca I de León; เลออน: Urraca I de Llión) หรือ อูร์รากาผู้ไม่รอบคอบ (สเปน: Urraca la Temeraria)[1] เสด็จพระราชสมภพราว ค.ศ. 1077–1081 สิ้นพระชนม์ 8 มีนาคม ค.ศ. 1126 ที่ซัลดัญญา ราชอาณาจักรกัสติยา ครองราชย์เป็นพระราชินีแห่งเลออนและกัสติยาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1109 ถึงปี ค.ศ. 1126 เป็นพระธิดาของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 แห่งเลออนและกัสติยา

อูร์รากากลายเป็นทายาทของพระบิดาเมื่อซันโช (พี่น้องนอกสมรสต่างมารดา) ถูกสังหารที่อูเกลสในปี ค.ศ. 1108 พระองค์เป็นภรรยาม่ายของเคานต์แรมงแห่งบูร์กอญ ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนคืออัลฟอนโซ รามิเรซ ที่ต่อมาคือพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยา การให้สตรีสืบทอดต่อตำแหน่งในช่วงวิกฤตอัลโมราวิดนั้นมีความเสี่ยง เพื่อถ่วงดุลอำนาจ การแต่งงานของอูร์รากากับพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 1 แห่งอารากอน (ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่สอง) จึงถูกจัดเตรียมขึ้นในปี ค.ศ. 1109 แต่แทนที่จะก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง การแต่งงานครั้งนี้กลับนำไปสู่ยุคอนาธิปไตย ตามข้อตกลงการแต่งงาน อูร์รากาและพระสวามีจะเป็นผู้ปกครองร่วมในดินแดนของกันและกัน พระเจ้าอัลฟอนโซจึงส่งทหารรักษาการของอารากอนเข้าไปในหลายเมืองของเลออนและกัสติยา เหล่าบุคคลสำคัญจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ สงครามกลางเมืออุบัติขึ้นและดำเนินอยู่หลายปี หลายฝ่ายสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ของเด็กน้อยอัลฟอนโซ รามิเรซ แต่ก็ทำได้ยากขึ้นเพราะความเข้ากันไม่ได้ของอูร์รากากับพระสวามีที่ไม่นานก็ขัดแย้งกัน อีกทั้งสมเด็จพระสันตะปาปาปาสคาลที่ 2 ยังทรงประกาศให้การแต่งงานไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา สุดท้ายทั้งคู่ก็แยกทางกันในปี ค.ศ. 1112

การทะเลาะเบาะแว้งยังคงดำเนินต่อไป ทั้งระหว่างขุนนางกับผู้ปกครองท้องถิ่น, ระหว่างกลุ่มบุคคลสำคัญที่เป็นอริกัน, ระหว่างอาร์ชบิชอปแห่งซานเตียโกกับอาร์ชบิชอปแห่งโตเลโด และระหว่างอูร์รากากับดิเอโก เฆลมิเรซ (อาร์ชบิชอปแห่งซานเตียโก) อัลฟอนโซ รามิเรซได้รับการสวมมงกุฎจากเฆลมิเรซในปี ค.ศ. 1111 และการครองราชย์ในกาลิเซียของพระองค์เริ่มต้นขึ้นอย่างมีพระปรีชาสามารถ การสิ้นพระชนม์ของอูร์รากาในปี ค.ศ. 1126 ยุติช่วงเวลาหายนะในประวัติศาสตร์การเมืองในสมัยกลางของสเปนยุคคริสเตียน

ต้นชีวิต

รูปปั้นแกะสลักของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 แห่งกัสติยา โดยฟรันซิสโก ฆาบิเอร์ มาร์ติน เฟร์นันเดซ

อูร์รากาเสด็จพระราชสมภพที่บูร์โกสในเดือนเมษายน ค.ศ. 1079 พระองค์เป็นพระโอรสธิดาคนโตของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 แห่งเลออนและกัสติยากับพระมเหสีคนที่สอง กงสต็องส์แห่งบูร์กอญ และแม้ว่าทั้งคู่จะมีพระโอรสธิดาอีกหลายคน แต่อูร์รากาเป็นคนเดียวที่มีชีวิตรอดจนโต พระเจ้าอัลฟอนโซนั้นอภิเษกสมรสห้าครั้งและเป็นพระบิดาของพระโอรสธิดามากมาย แต่มีเพียงพระธิดาตามกฎหมายสามคนที่มีชีวิตรอด พระองค์ยังมีบุตรชายนอกสมรส ซันโช ที่พระองค์คิดจะแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อซึ่งเป็นการช่วงชิงสิทธิ์โดยชอบธรรมไปจากอูร์รากา แต่นับเป็นโชคดีของอูร์รากาที่เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากซันโชเสียชีวิตในสมรภูมิในปี ค.ศ. 1108 ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นทายาทของพระเจ้าอัลฟอนโซ อูร์รากาได้รับการศึกษาอย่างดีและเนื่องจากเป็นไปได้ที่ถึงเวลาหนึ่งพระองค์จะต้องเป็นผู้ปกครอง พระองค์จึงได้รับอนุญาตให้ศึกษาแบบผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

การแต่งงานครั้งแรก

อูร์รากาเป็นทายาทโดยสันนิษฐานของกษัตริย์ พระองค์จึงเป็นเจ้าสาวผู้เป็นที่หมายตาอย่างมาก พระองค์แต่งงานเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองกับแรมงแห่งบูร์กอญตอนพระชนมายุเพียง 8 พรรษา การแต่งงานอาจสมบูรณ์ตอนพระองค์พระชนมายุ 13 พรรษา เนื่องจากทรงให้กำเนิดทารกที่เสียชีวิตในครรภ์ตอนพระชนมายุ 14 พรรษา พระองค์มีบุตรกับแรมงอีกสองคน เป็นบุตรสาวชื่อซันชากับบุตรชายชื่ออัลฟอนโซ (ต่อมาคือพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยา) แรมงเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1107 หลังการประสูติของอัลฟอนโซไม่นาน

การแต่งงานครั้งที่สอง

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 1 แห่งอารากอนและนาวาร์ โดยฟรันซิสโก ปราดิยา อี ออร์ติซ

อูร์รากาพระชนมายุเพียง 28 พรรษาตอนเป็นม่ายและกลายเป็นหญิงม่ายที่โด่งดังที่สุดในเวลานั้น ขุนนางหลายคนชิงชัยกันเพื่อให้ได้แต่งงานกับพระองค์ แต่ก่อนที่จะได้คนที่จะมาแต่งงานกับอูร์รากา พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 6 กลับสิ้นพระชนม์ เชื่อกันว่าการจากไปของพระองค์เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1109 ราชอาณาจักรไม่ควรอยู่แบบไร้ผู้ปกครอง อูร์รากาวัย 30 พรรษาจึงกลายเป็นพระราชินี จากนั้นพระองค์ก็ฝืนใจอภิเษกสมรสกับพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 1 แห่งอารากอนและนาวาร์ แต่พระองค์ไม่มีความสุขกับการแต่งงาน พระองค์คัดค้านการแต่งงานกับชายผู้นี้ แต่ด้วยเป็นความประสงค์ของพระบิดา พระองค์จึงจำยอมต้องแต่งงานหลังการสิ้นพระชนม์ของกษัตรืย์

พระองค์ไม่ใช่คนเดียวที่ไม่ยินดีกับการอภิเษกสมรส ข่าวการแต่งงานจุดชนวนการก่อกบฏในกาลิเซีย ขุนนางจำนวนมากในเลออน, กัสติยา และกาลิเซียต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้ ทว่าการก่อกบฏของกาลิเซียใหญ่โตจนพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 1 ต้องยกทัพไปที่กาลิเซียและโจมตีปราสาทโมนเตร์โรโซในปี ค.ศ. 1110 อูร์รากาไม่เห็นชอบในเรื่องนี้ พระองค์กล่าวหาว่าอัลฟอนโซทำร้ายร่างกายและทิ้งพระสวามีไป สถานะของพระองค์ในฐานะพระราชินีและนักการเมืองแข็งแกร่งพอจนไม่จำเป็นต้องมีผู้ชายมาหนุนหลัง แต่ไม่นานอูร์รากาก็มีคนรักคือเคานต์โกเมซ กอนซาเลซ แต่เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1111 ในสมรภูมิกันเดสปินา พระองค์มีคนรักอีกคนชื่อเปโดร กอนซาเลซ เด ลารา และทั้งคู่มีบุตรนอกสมรสด้วยกันสองคนเป็นบุตรชายชื่อเฟร์นันโด เปเรซ ฟูร์ตาโด กับบุตรสาวชื่อเอลบิรา เปเรซ เด ลารา ในปี ค.ศ. 1112 การแต่งงานระหว่างอูร์รากากับอัลฟอนโซถูกประกาศให้เป็นโมฆะ

การรวมตัวกันของราชอาณาจักรของอูร์รากา

รูปปั้นแกะสลักของพระราชินีอูร์รากาใน ปาร์เกเดลบูเอนเรติโร กรุงมาดริด ประเทศสเปน

ในช่วงที่ปกครอง อูร์รากาสามารถกอบกู้ดินแดนกลับคืนมา หาทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ และมีการทูตที่ยอดเยี่ยม ทำให้ราชอาณาจักรของพระองค์เจริญรุ่งเรือง นับเป็นโชคดีของพระองค์ที่มีเครือข่ายผู้สนับสนุนขนาดใหญ่ในกัสติยา พระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1126 ด้วยพระชนมายุ 45 พรรษา อาจจะจากการคลอดบุตรซึ่งในตอนนั้นเป็นสาเหตุการตายโดยทั่วไปของผู้หญิง ทรงทิ้งเลออนและกัสติยาไว้ให้พระโอรส อัลฟอนโซ ร่างของพระองค์ถูกฝังที่มหาวิหารนักบุญอิซิโดโรในประเทศสเปน

อ้างอิง