ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หมา"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 21: | บรรทัด 21: | ||
}} |
}} |
||
'''หมา''' หรือคำสุภาพว่า '''สุนัข''' ([[ชื่อวิทยาศาสตร์]]: ''Canis lupus familiaris'' )<ref name=wang2008>Wang, Xiaoming; Tedford, Richard H.; Dogs: Their Fossil Relatives and Evolutionary History. New York: Columbia University Press, 2008, page 1</ref> เป็นสัตว์มีเขี้ยวชนิดเชื่องทีถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีจนมีพฤติกรรม การรับรู้ทางประสาทสัมผัส และลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย<ref name="ADW">Dewey, T. and S. Bhagat. 2002. "[http://animaldiversity.ummz.umich.edu/site/accounts/information/Canis_lupus_familiaris.html Canis lupus familiaris] {{webarchive |url=https://web.archive.org/web/20141023131734/http://animaldiversity.ummz.umich.edu/site/accounts/information/Canis_lupus_familiaris.html |date=23 October 2014 }}", Animal Diversity Web. Retrieved 6 January 2009.</ref> |
'''หมา'''บ้าน หรือคำสุภาพว่า '''สุนัข'''บ้าน ([[ชื่อวิทยาศาสตร์]]: ''Canis lupus familiaris'' )<ref name=wang2008>Wang, Xiaoming; Tedford, Richard H.; Dogs: Their Fossil Relatives and Evolutionary History. New York: Columbia University Press, 2008, page 1</ref> เป็นสัตว์มีเขี้ยวชนิดเชื่องทีถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีจนมีพฤติกรรม การรับรู้ทางประสาทสัมผัส และลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย<ref name="ADW">Dewey, T. and S. Bhagat. 2002. "[http://animaldiversity.ummz.umich.edu/site/accounts/information/Canis_lupus_familiaris.html Canis lupus familiaris] {{webarchive |url=https://web.archive.org/web/20141023131734/http://animaldiversity.ummz.umich.edu/site/accounts/information/Canis_lupus_familiaris.html |date=23 October 2014 }}", Animal Diversity Web. Retrieved 6 January 2009.</ref> |
||
แม้ว่าเดิมทีจะคิดกันว่าหมามีต้นกำเนิดจากสายพันธุ์สัตว์มีเขี้ยวที่หลากหลาย (บ้างมองว่าเป็น[[หมาใน]]<ref>Hodgson, B. H. (1833). Description and Characters of the Wild Dog of Nepal (''Canis primævus''), ''Asiatic Researches'', Vol. XVIII, Pt. 2, pp. 221–37</ref> [[หมาจิ้งจอกทอง]]<ref>Lorenz, Konrad (2002). ''Man meets dog.'' Routledge, ISBN 0-415-26744-7</ref> และ[[หมาป่า]]<ref>{{cite journal | last1 = Wayne | first1 = Robert K. | year = 1993 | title = Molecular evolution of the dog family | journal = Trends in Genetics | volume = 9 | issue = 6| pages = 218–224 | doi = 10.1016/0168-9525 (93) 90122-X | pmid=8337763}}</ref>) มีการศึกษาทางพันธุศาสตร์เพิ่มเติมในคริสต์ทศวรรษ 2010 ชี้ว่าหมาเริ่มแตกต่างจากสัตว์มีเขี้ยวคล้ายหมาป่าในยูเรเชียเมื่อ 40,000 ปีที่แล้ว<ref name=skoglund2015>{{Cite journal|author=Skoglund, P.|year=2015|title=Ancient wolf genome reveals an early divergence of domestic dog ancestors and admixture into high-latitude breeds|journal=Current Biology|volume=25|issue=11|pages=1515–9|doi=10.1016/j.cub.2015.04.019|pmid=26004765}}</ref>เนื่องจากเป็นสัตว์เชื่องที่เก่าแก่ที่สุด การอยู่ร่วมกับมนุษย์มาเป็นเวลานานทำให้หมามีพฤติกรรมที่ปรับเข้ากับมนุษย์ได้ดี รวมถึงสามารถเติบโตได้โดยกินอาหารประเภทแป้งซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อสัตว์มีเขี้ยวชนิดอื่น<ref name="axelssonetal2013">{{Cite journal | last1 = Axelsson | first1 = E. | last2 = Ratnakumar | first2 = A. | last3 = Arendt | first3 = M. L. | last4 = Maqbool | first4 = K. | last5 = Webster | first5 = M. T. | last6 = Perloski | first6 = M. | last7 = Liberg | first7 = O. | last8 = Arnemo | first8 = J. M. | last9 = Hedhammar | first9 = Å. | last10 = Lindblad-Toh | first10 = K. | title = The genomic signature of dog domestication reveals adaptation to a starch-rich diet | doi = 10.1038/nature11837 | journal = Nature | volume = 495 | issue = 7441 | pages = 360–364 | year = 2013 | pmid = 23354050| pmc = |bibcode = 2013Natur.495..360A }}</ref> |
แม้ว่าเดิมทีจะคิดกันว่าหมามีต้นกำเนิดจากสายพันธุ์สัตว์มีเขี้ยวที่หลากหลาย (บ้างมองว่าเป็น[[หมาใน]]<ref>Hodgson, B. H. (1833). Description and Characters of the Wild Dog of Nepal (''Canis primævus''), ''Asiatic Researches'', Vol. XVIII, Pt. 2, pp. 221–37</ref> [[หมาจิ้งจอกทอง]]<ref>Lorenz, Konrad (2002). ''Man meets dog.'' Routledge, ISBN 0-415-26744-7</ref> และ[[หมาป่า]]<ref>{{cite journal | last1 = Wayne | first1 = Robert K. | year = 1993 | title = Molecular evolution of the dog family | journal = Trends in Genetics | volume = 9 | issue = 6| pages = 218–224 | doi = 10.1016/0168-9525 (93) 90122-X | pmid=8337763}}</ref>) มีการศึกษาทางพันธุศาสตร์เพิ่มเติมในคริสต์ทศวรรษ 2010 ชี้ว่าหมาเริ่มแตกต่างจากสัตว์มีเขี้ยวคล้ายหมาป่าในยูเรเชียเมื่อ 40,000 ปีที่แล้ว<ref name=skoglund2015>{{Cite journal|author=Skoglund, P.|year=2015|title=Ancient wolf genome reveals an early divergence of domestic dog ancestors and admixture into high-latitude breeds|journal=Current Biology|volume=25|issue=11|pages=1515–9|doi=10.1016/j.cub.2015.04.019|pmid=26004765}}</ref>เนื่องจากเป็นสัตว์เชื่องที่เก่าแก่ที่สุด การอยู่ร่วมกับมนุษย์มาเป็นเวลานานทำให้หมามีพฤติกรรมที่ปรับเข้ากับมนุษย์ได้ดี รวมถึงสามารถเติบโตได้โดยกินอาหารประเภทแป้งซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อสัตว์มีเขี้ยวชนิดอื่น<ref name="axelssonetal2013">{{Cite journal | last1 = Axelsson | first1 = E. | last2 = Ratnakumar | first2 = A. | last3 = Arendt | first3 = M. L. | last4 = Maqbool | first4 = K. | last5 = Webster | first5 = M. T. | last6 = Perloski | first6 = M. | last7 = Liberg | first7 = O. | last8 = Arnemo | first8 = J. M. | last9 = Hedhammar | first9 = Å. | last10 = Lindblad-Toh | first10 = K. | title = The genomic signature of dog domestication reveals adaptation to a starch-rich diet | doi = 10.1038/nature11837 | journal = Nature | volume = 495 | issue = 7441 | pages = 360–364 | year = 2013 | pmid = 23354050| pmc = |bibcode = 2013Natur.495..360A }}</ref> |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:55, 28 พฤศจิกายน 2561
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
หมาบ้าน ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: 0.033–0Ma สมัยไพลสโตซีนตอนปลาย – ปัจจุบัน | |
---|---|
สถานะการอนุรักษ์ | |
สัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์
| |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordate |
ไฟลัมย่อย: | Vertebrate |
ชั้น: | Mammal |
อันดับ: | Carnivora |
วงศ์: | Canidae |
สกุล: | Canis |
สปีชีส์: | C. lupus |
สปีชีส์ย่อย: | C. l. familiaris |
Trinomial name | |
Canis lupus familiaris[1] (Linnaeus, 1758) |
หมาบ้าน หรือคำสุภาพว่า สุนัขบ้าน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Canis lupus familiaris )[2] เป็นสัตว์มีเขี้ยวชนิดเชื่องทีถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีจนมีพฤติกรรม การรับรู้ทางประสาทสัมผัส และลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย[3]
แม้ว่าเดิมทีจะคิดกันว่าหมามีต้นกำเนิดจากสายพันธุ์สัตว์มีเขี้ยวที่หลากหลาย (บ้างมองว่าเป็นหมาใน[4] หมาจิ้งจอกทอง[5] และหมาป่า[6]) มีการศึกษาทางพันธุศาสตร์เพิ่มเติมในคริสต์ทศวรรษ 2010 ชี้ว่าหมาเริ่มแตกต่างจากสัตว์มีเขี้ยวคล้ายหมาป่าในยูเรเชียเมื่อ 40,000 ปีที่แล้ว[7]เนื่องจากเป็นสัตว์เชื่องที่เก่าแก่ที่สุด การอยู่ร่วมกับมนุษย์มาเป็นเวลานานทำให้หมามีพฤติกรรมที่ปรับเข้ากับมนุษย์ได้ดี รวมถึงสามารถเติบโตได้โดยกินอาหารประเภทแป้งซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อสัตว์มีเขี้ยวชนิดอื่น[8]
บรรพบุรุษและที่มาของความเชื่อง
วิวัฒนาการด้านโมเลกุลของหมาชี้ให้เห็นว่าหมาเลี้ยงนั้น (Canis lupus familiaris) สืบทอดมาจากจำนวนประชากรหมาป่า (Canis lupus) เพียงตัวเดียวหรือหลายตัว สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งชื่อพวกมัน หมาสืบทอดจากหมาป่าและหมาธรรมดาสามารถผสมข้ามพันธุ์กับหมาป่าได้ด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหมานั้นถูกฝังลึกในด้านโบราณคดีและหลักฐานที่ตรงกันชี้ให้เห็นช่วงเวลาของการทำให้หมาเชื่องในยุคหินใหม่ ใกล้ ๆ กับขอบเขตของช่วงเพลสโตซีนและโฮโลซีน ในระหว่าง 17,000 - 14,000 ปีมาแล้ว ซากกระดูกฟอสซิลและการวิเคราะห์ยีนของหมาในยุคอดีตกับปัจจุบัน และประชากรหมาป่ายังไม่ถูกค้นพบ หมาทั้งหมดสืบอายุอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เชื่องด้วยตัวเองหรือไม่ก็ได้ถูกทำให้เชื่องด้วยตัวมันเองในพื้นที่มากกว่าหนึ่งพื้นที่ หมาที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้วอาจจะผสมข้ามพันธุ์กับประชากรหมาป่าที่อยู่ในถิ่นนั้น ๆ ในหลาย ๆ โอกาส กระบวนการนี้รู้จักในทางทางพันธุศาสตร์ว่า อินโทรเกรสชัน (Introgression)
ในยุคแรก ๆ ฟอสซิลหมา กะโหลก 2 จากรัสเซียและขากรรไกรล่างจากเยอรมนี พบเมื่อ 13,000 ถึง 17,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมันเป็นหมาป่าโฮลาร์กติก (Canis lupus lupus) ซากศพของหมาตัวเล็กจากถ้ำของสมัยวัฒนธรรมนาทูเฟียนของยุคหินได้ถูกเก็บไว้ในแถบตะวันออกกลาง มีอายุราว 12,000 ปีมาแล้ว เข้าใจว่าเป็นทายาทมาจากหมาป่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพศิลปะบนหินและซากกระดูกชี้ให้เห็นว่า เป็นเวลากว่า 14,000 ปีมาแล้วที่หมาในที่นี้กำเนิดจากแอฟริกาเหนือข้ามยูเรเชียไปถึงอเมริกาเหนือ หลุมฝังศพหมาที่สุสานยุคหินของเมืองสแวร์ดบอร์กในประเทศเดนมาร์กทำให้นึกไปถึงในยุคยุโรปโบราณว่าหมามีค่าเป็นถึงเพื่อนร่วมทางของมนุษย์
การวิเคราะห์ทางยีนได้ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกันมาจนถึงทุกวันนี้ วิล่า ซาโวไลเนน และเพื่อนร่วมงาน พ.ศ. 2540 สรุปว่าบรรพบุรุษของหมาได้แยกออกจากหมาป่าชนิดอื่น ๆ มาเป็นเวลาระหว่าง 75,000 ถึง 135,000 ปีมาแล้ว เมื่อผลการวิเคราะห์ที่ตามมาโดยซาโวไลเนน พ.ศ. 2545 ชี้ให้เห็น เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมจากกลุ่มยีนสำหรับประชากรหมาทั้งหมด ระหว่าง 40,000 ถึง 15,000 ปีมาแล้ว ในเอเชียตะวันออก เวอร์จีเนลลี่ พ.ศ. 2548 แนะนำว่าอย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของทั้งคู่จะต้องถูกประเมินผลอีกครั้งในการค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่า นาฬิกาโมเลกุลแบบเก่าที่ใช้วัดเวลานั้นได้กะเวลายุคสมัยของเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาเกินความจริง โดยในความจริง และในการเห็นพ้องกันว่าด้วยเรื่องหลักฐานทางโบราณคดี เป็นเวลาเพียง 15,000 ปีเท่านั้นที่ควรจะเป็นช่วงชีวิตสำหรับความหลากหลายของของหมาป่า
สหภาพโซเวียตเคยพยายามนำหมาจิ้งจอกมาเลี้ยงให้เชื่อง เช่นในหมาจิ้งจอกเงิน และสามารถนำมันมาเลี้ยงได้เพียงแค่ 9 ชั่วอายุของมันหรือน้อยกว่าอายุขัยของมนุษย์ นี่ยังเป็นผลในการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น เช่น สี ที่จะกลายเป็นสีดำ สีขาว หรือสีดำปนขาว พวกมันได้พัฒนาความสามารถในการขยายพันธุ์ตลอดปี หางที่โค้งงอมากขึ้น และหูที่ดูเหี่ยวย่นเหมือน อวัยวะเพศชาย
ชีววิทยา
กายวิภาคศาสตร์
หมาถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีเพื่อให้มีพฤติกรรมหลากหลาย การรับรู้ความรู้สึก และลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน[3] หมาสายพันธุ์ต่าง ๆ ในสมัยใหม่มีขนาด รูปร่าง และพฤติกรรมหลากหลายกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น[3] หมาเป็นทั้งนักล่าและสัตว์กินซาก และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง กระดูกข้อเท้าเชื่อมกัน และระบบหมุนเวียนเลือดที่ช่วยในการวิ่งและความอดทน และมีฟันที่ใช้จับและฉีกให้ขาด เช่นเดียวกับสัตว์นักล่าที่เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น
ขนาดและส่วนสูง
หมามีขนาดและน้ำหนักแตกต่างกัน หมาตัวเล็กที่สุดที่รู้จักกันคือหมาพันธุ์ยอร์กเชอร์เทร์เรียร์ เมื่อยืนอยู่จะสูง 6.3 เซนติเมตร ยาว 9.5 เซนติเมตร ตลอดทั้งหัวและลำตัว และหนัก 113 กรัม หมาตัวใหญ่ที่สุดที่รู้จักคือหมาพันธุ์อิงลิชมาสติฟ หนัก 177.6 กิโลกรัม และความยาวจากจมูกถึงหาง 250 เซนติเมตร[9] หมาที่สูงที่สุดคือหมาพันธุ์เกรตเดน เมื่อยืนอยู่สูง 195.7 เซนติเมตร[10]
ประสาทสัมผัส
ประสาทสัมผัสของหมา ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การรับรู้รสชาติ การสัมผัสและการตอบสนองไวต่อสนามแม่เหล็กของโลก
หาง
หมามีหางหลายรูปร่าง ได้แก่ ตรง ตรงตั้งขึ้น โค้งคล้ายเคียว ม้วนเป็นวง หรือหมุนเป็นเกลียว หน้าที่หลักของหางหมาคือสื่อสารอารมณ์ของมัน เป็นสิ่งสำคัญกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในหมานักล่าบางตัวถูกกุดหางเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ[11] หมาบางสายพันธุ์ เช่น Braque du Bourbonnais ลูกหมาอาจเกิดมามีหางสั้นหรือไม่มีหางเลยก็ได้[12]
สุขภาพ🐶
พืชที่ปลูกตามบ้านเรือนหลายชนิดเป็นพิษกับร่างกายของหมา เช่น ต้นคริสต์มาส🎄 เบโกเนีย และว่านหางจระเข้[13]
หมาบางสายพันธุ์มีแนวโน้มเจ็บป่วยเป็นโรคบางโรค เช่น ศอกและสะโพกเจริญผิดปกติ ตาบอด หูหนวก หลอดเลือดแดงตีบ ปากแหว่งเพดานโหว่ และกระดูกสะบ้าเคลื่อน
สติปัญญาและพฤติกรรม
หมาแต่ละตัวและแต่ละสายพันธุ์ มีสัญชาตญาณของตนเอง นับตั้งแต่เริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลง จากหมาป่ามาเป็นหมาเลี้ยง ได้มีการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์หมาสืบทอดกันมามากกว่า 4,000 ชั่วอายุ ทำให้ลักษณะร่างกายของหมาหลายสายพันธุ์ เปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษของพวกมันอย่างมาก แต่หมาแต่ละสายพันธุ์ยังคงรักษาลักษณะพฤติกรรมของหมาป่าที่มันเคยเป็นไว้ได้ไม่มากก็น้อย ทั้งหมาป่าและหมาเลี้ยงมีวิธีสื่อสารโดยการเห่า การใช้ภาษากาย และสัญชาตญาณในการรวมกลุ่ม ทั้งนี้หมามีพฤติกรรมให้การสร้างอาณาเขตของมัน เช่น การฉี่รดตาม😂ที่ต่าง ๆ เพื่อบอกว่าตรงนี้เป็นเจ้าของ และการเดินเป็นวงกลมก่อนนอนเพื่อกระจายกลิ่นตัวไปรอบ ๆ และกำหนดอาณาเขตไม่ให้สัตว์ตัวอื่นเข้ามารบกวน
บทบาทกับมนุษย์
อาหาร
แหล่งข้อมูลอื่น
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Canis lupus familiaris ที่วิกิสปีชีส์
อ้างอิง
- ↑ Wozencraft, W. C. (2005). "Order Carnivora". ใน Wilson, D. E.; Reeder, D. M. (บ.ก.). Mammal Species of the World: A Taxonomic and Geographic Reference (3rd ed.). Johns Hopkins University Press. pp. 575–577. ISBN 978-0-8018-8221-0. OCLC 62265494. url=https://books.google.com/books?id=JgAMbNSt8ikC&pg=PA576
- ↑ Wang, Xiaoming; Tedford, Richard H.; Dogs: Their Fossil Relatives and Evolutionary History. New York: Columbia University Press, 2008, page 1
- ↑ 3.0 3.1 3.2 Dewey, T. and S. Bhagat. 2002. "Canis lupus familiaris เก็บถาวร 23 ตุลาคม 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน", Animal Diversity Web. Retrieved 6 January 2009.
- ↑ Hodgson, B. H. (1833). Description and Characters of the Wild Dog of Nepal (Canis primævus), Asiatic Researches, Vol. XVIII, Pt. 2, pp. 221–37
- ↑ Lorenz, Konrad (2002). Man meets dog. Routledge, ISBN 0-415-26744-7
- ↑ Wayne, Robert K. (1993). "Molecular evolution of the dog family". Trends in Genetics. 9 (6): 218–224. doi:10.1016/0168-9525 (93) 90122-X. PMID 8337763.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่า|doi=
(help) - ↑ Skoglund, P. (2015). "Ancient wolf genome reveals an early divergence of domestic dog ancestors and admixture into high-latitude breeds". Current Biology. 25 (11): 1515–9. doi:10.1016/j.cub.2015.04.019. PMID 26004765.
- ↑ Axelsson, E.; Ratnakumar, A.; Arendt, M. L.; Maqbool, K.; Webster, M. T.; Perloski, M.; Liberg, O.; Arnemo, J. M.; Hedhammar, Å.; Lindblad-Toh, K. (2013). "The genomic signature of dog domestication reveals adaptation to a starch-rich diet". Nature. 495 (7441): 360–364. Bibcode:2013Natur.495..360A. doi:10.1038/nature11837. PMID 23354050.
- ↑ "World's Largest Dog". สืบค้นเมื่อ 7 January 2008.
- ↑ "Guinness World Records – Tallest Dog Living". Guinness World Records. 31 August 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2011. สืบค้นเมื่อ 7 January 2009.
- ↑ "The Case for Tail Docking". Council of Docked Breeds. สืบค้นเมื่อ 22 October 2008.
- ↑ "Bourbonnais pointer or 'short tail pointer'". Braquedubourbonnais.info. สืบค้นเมื่อ 19 December 2012.
- ↑ "Plants poisonous to dogs – Sunset". Sunset.