ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปฏิจจสมุปบาท"
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ย้อนการแก้ไขที่ 7783920 สร้างโดย 182.232.163.57 (พูดคุย) ป้ายระบุ: ทำกลับ |
|||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
'''ภิกษุทั้งหลาย ! <big>เราจักแสดงซึ่งปฏิจจสมุปบาท</big>''' แก่พวกเธอทั้งหลาย. พวกเธอทั้งหลาย จงฟังซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั้น, จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าวบัดนี้ ... |
|||
{{พุทธศาสนา}} |
|||
'''ปฏิจจสมุปบาท''' (/ปะติดจะสะหฺมุบบาด/) ({{lang-pi|Paticcasamuppāda}}; {{lang-sa|Pratītyasamutpāda}}) เป็นชื่อ[[พระธรรม]]หัวข้อหนึ่งใน[[ศาสนาพุทธ]] เรียกอีกอย่างว่า '''อิทัปปัจจยตา''' หรือ '''ปัจจยาการ''' เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ |
|||
ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ? (๑) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี.''' |
|||
* เพราะ[[อวิชชา]]เป็นปัจจัย [[สังขาร]]จึงมี |
|||
* เพราะสังขารเป็นปัจจัย [[วิญญาณ]]จึงมี |
|||
* เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย [[นามรูป]]จึงมี |
|||
* เพราะนามรูปเป็นปัจจัย [[สฬายตนะ]]จึงมี |
|||
* เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย [[ผัสสะ]]จึงมี |
|||
* เพราะผัสสะเป็นปัจจัย [[เวทนา]]จึงมี |
|||
* เพราะเวทนาเป็นปัจจัย [[ตัณหา]]จึงมี |
|||
* เพราะตัณหาเป็นปัจจัย [[อุปาทาน|อุปทาน]]จึงมี |
|||
* เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย [[ภพ]]จึงมี |
|||
* เพราะภพเป็นปัจจัย [[ชาติ]]จึงมี |
|||
* เพราะชาติเป็นปัจจัย [[ชรา]][[มรณะ]]จึงมี |
|||
* [[ความโศก]] [[ความคร่ำครวญ]] [[ทุกข์]] [[โทมนัส]] และ[[ความคับแค้นใจ]] ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี |
|||
การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา |
|||
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม,จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว; |
|||
หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา |
|||
* '''คือ ความตั้งอยู่แห่งธรรมดา (ธัมมัฏฐิตตา),''' |
|||
== ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์ == |
|||
* '''คือ ความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา),''' |
|||
* '''คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา).''' |
|||
ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น; ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว, ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ; |
|||
[[ทุกข์|ความทุกข์]] จะดับไปได้เพราะ [[ชาติ]] (การเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ |
|||
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู : '''เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี'''” ดังนี้. |
|||
[[ชาติ]] จะดับไปได้เพราะ [[ภพ]] (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ |
|||
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุดังนี้แล : ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น |
|||
[[ภพ]] จะดับไปได้เพราะ [[อุปาทาน]] (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ |
|||
* อันเป็น '''ตถตา คือ ความเป็นอย่างนั้น''', |
|||
[[อุปาทาน]] จะดับไปได้เพราะ [[ตัณหา]] (ความอยาก) ดับ |
|||
* เป็น '''อวิตถตา คือ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น''', |
|||
* เป็น '''อนัญญถตา คือ ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น''', |
|||
* เป็น '''อิทัปปัจจยตา คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น'''; |
|||
ภิกษุทั้งหลาย ! '''<big>ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท</big>''' |
|||
[[ตัณหา]] จะดับไปได้เพราะ [[เวทนา]] (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉยๆ) ดับ |
|||
* (๒) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติย่อมมี'''. ...ฯลฯ… ''<sup>*{๑}</sup>'' |
|||
[[เวทนา]] จะดับไปได้เพราะ [[ผัสสะ]] (การสัมผัส) ดับ |
|||
* (๓) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพย่อมมี'''. ...ฯลฯ… |
|||
* (๔) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานย่อมมี'''. ...ฯลฯ… |
|||
* (๕) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาย่อมมี'''. ...ฯลฯ... |
|||
* (๖) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาย่อมมี'''. ...ฯลฯ… |
|||
* (๗) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะย่อมมี'''. ...ฯลฯ… |
|||
* (๘) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะย่อมมี.''' ...ฯลฯ… |
|||
* (๙) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปย่อมมี.''' ...ฯลฯ... |
|||
* (๑๐) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณย่อมมี.''' ...ฯลฯ… |
|||
* (๑๑) ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายย่อมมี.''' |
|||
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม,จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว; |
|||
[[ผัสสะ]] จะดับไปได้เพราะ [[สฬายตนะ]] ([[อายตนะ]]ใน๖+นอก๖) ดับ |
|||
'''คือ ความตั้งอยู่แห่งธรรมดา (ธัมมัฏฐิตตา),''' |
|||
[[สฬายตนะ]] จะดับไปได้เพราะ [[นามรูป]] (รูปขันธ์) ดับ |
|||
'''คือ ความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา),''' |
|||
[[นามรูป]] จะดับไปได้เพราะ [[วิญญาณ]] (วิญญาณขันธ์) ดับ |
|||
'''คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา).''' |
|||
[[วิญญาณ]] จะดับไปได้เพราะ [[สังขาร]] (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-[[เจตสิก]]) ดับ |
|||
ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น; ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว, ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ; |
|||
[[สังขาร]] จะดับไปได้เพราะ [[อวิชชา]] (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ |
|||
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู : '''เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี'''” ดังนี้. |
|||
== สมุทยวาร-นิโรธวาร == |
|||
การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงให้เห็น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น '''สมุทยวาร''' คือฝ่าย[[สมุทัย]] ใช้เป็นคำอธิบาย [[อริยสัจ]]ข้อที่สอง ([[สมุทัยสัจจ์]]) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ |
|||
ปฏิจสมุปบาทที่แสดงแบบนี้เรียกว่า '''อนุโลมปฏิจจสมุปบาท''' |
|||
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุดังนี้แล : ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น '''ตถตา คือ ความเป็นอย่างนั้น''', เป็น '''อวิตถตา คือ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น''', เป็น '''อนัญญถตา คือ ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น''', |
|||
(ดังแสดงสองตัวอย่างที่ผ่านไป เป็น อนุโลมเทศนา และ ปฏิโลมเทศนา ของอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับ) |
|||
เป็น '''อิทัปปัจจยตา คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น'''; ภิกษุทั้งหลาย ! '''ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท''' |
|||
การแสดงตรงกันข้ามกับข้างต้นนี้ เรียกว่า '''นิโรธวาร''' คือฝ่าย[[นิโรธ]] ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สาม ([[นิโรธสัจจ์]]) เรียกว่า '''ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท''' แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย สืบทอดกันไป เช่น |
|||
''<sup>*{๑}</sup> การละเปยยาล ...ฯลฯ... เช่นนี้ หมายความว่า ข้อความในข้อ (๒) เป็นต้นไปจนกระทั่งถึงข้อ (๑๐) นี้ ซ้ำกันโดยตลอดกับในข้อ (๑) ต่างกันแต่เพียงปัจจยาการแต่ละปัจจยาการเท่านั้น; สำหรับข้อสุดท้าย คือข้อ (๑๑) จะพิมพ์ไว้เต็มเหมือนข้อ (๑) อีกครั้งหนึ่ง.'' |
|||
เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติ ดับชรามรณะ (จึงดับ) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ |
|||
-บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๓๐/๖๑.<ref group="พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หน้าที่ ๒๒ ข้อที่ ๖๑ ">http://etipitaka.com/reference/thaipb/5/162/?code=thai&volume=16&item=61</ref>{{พุทธศาสนา}} |
|||
ดังนี้เรียกว่า อนุโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท |
|||
ภิกษุทั้งหลาย ! '''เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย'''; ( อวิชชา คือ ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. ) |
|||
ส่วนปฏิโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะเป็นต้น ดับเพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ |
|||
* (๑๐) '''เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;''' |
|||
* (๙) '''เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; ''' |
|||
* (๘) '''เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ; ''' |
|||
* (๗) '''เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; ''' |
|||
* (๖) '''เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; ''' |
|||
* (๕) '''เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; ''' |
|||
* (๔) '''เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน; ''' |
|||
* (๓) '''เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ; ''' |
|||
* (๒) '''เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;''' |
|||
* (๑) '''เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน''' '''ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.''' |
|||
(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''ชรามรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความสิ้นไปแห่งอายุ ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ : นี้เรียกว่า ชรา. การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์ คือ ชีวิตจากสัตวนิกายนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ : นี้เรียกว่า มรณะ'''. ชรานี้ด้วย มรณะนี้ด้วย ย่อมมีอยู่ ดังนี้; ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ชรามรณะ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งชรามรณะ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งชาติ; ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งชาติ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ, ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. |
|||
(๒) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''ชาติ เป็นอย่างไรเล่า ? การเกิด การกำเนิด การก้าวลง (สู่ครรภ์) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ''' : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ชาติ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งชาติ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งภพ; ความดับไม่เหลือแห่งชาติ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งภพ; ''...ฯลฯ...'' |
|||
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''ภพ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภพทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ''' : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ภพ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งภพ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอุปาทาน; ความดับไม่เหลือแห่งภพ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน; ''...ฯลฯ...'' |
|||
(๔) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! หมู่แห่งตัณหาทั้งหลาย ๖ หมู่ เหล่านี้ คือ ความอยากในรูป ความอยากในเสียง ...ในกลิ่น ...ในรส ...ในโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ความอยากในธรรมารมณ์ (สัมผัสทางใจ)''' : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ตัณหา. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งตัณหา ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งเวทนา; ความดับไม่เหลือแห่งตัณหา ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งเวทนา; .''..ฯลฯ...'' |
|||
(๕) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''เวทนา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! หมู่แห่งเวทนาทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางตา ...ทางหู ...ทางจมูก... ทางลิ้น ...ทางกาย และเวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางใจ''' : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า เวทนา. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งผัสสะ; ความดับไม่เหลือแห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ; .''..ฯลฯ...'' |
|||
(๖) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! หมู่แห่งผัสสะทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ สัมผัสทางตา ...ทางหู ...ทางจมูก ...ทางลิ้น ...ทางกาย สัมผัสทางใจ''' : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ผัสสะ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งผัสสะ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งสฬายตนะ; ความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ; .''..ฯลฯ...'' |
|||
(๗) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''สฬายตนะ เป็นอย่างไรเล่า ? จักข๎วายตนะ ( ตา+รูป ) โสตายตนะ (หู+เสียง) ฆานายตนะ (จมูก + กลิ่น) ชิวหายตนะ (ลิ้น + รส) กายายตนะ (กาย + โผฏฐัพพะ) มนายตนะ (ใจ + ธรรมารมณ์)''' : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่าสฬายตนะ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสฬายตนะ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งนามรูป; ความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งนามรูป; .''..ฯลฯ...'' |
|||
(๘) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''นามรูป เป็นอย่างไรเล่า ? เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ : นี้เรียกว่านาม. มหาภูตทั้งสี่ด้วย รูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย : นี้เรียกว่า รูป. นามนี้ด้วย รูปนี้ด้วย ย่อมมีอยู่อย่างนี้''' : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า นามรูป. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งนามรูป ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งวิญญาณ; ความดับไม่เหลือแห่งนามรูป ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ; .''..ฯลฯ...'' |
|||
(๙) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ?ภิกษุทั้งหลาย ! หมู่แห่งวิญญาณทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ จักขุวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางตา) โสตวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางหู) ฆานวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางจมูก) ชิวหาวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางลิ้น) กายวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางใจ) มโนวิญญาณ (สิ่งรู้แจ้งทางใจ)''' : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า วิญญาณ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งวิญญาณ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร; ความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งสังขาร; .''..ฯลฯ...'' |
|||
(๑๐) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ '''สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! สังขารทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กายสังขาร (ความปรุงแต่งทางกาย) วจีสังขาร (ความปรุงแต่งทางวาจา) จิตตสังขาร (ความปรุงแต่งทางใจ)''' : ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา; ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งสังขาร, ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. |
|||
ภิกษุทั้งหลาย ! '''ในกาลใดแล อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่งธรรม''' อันเป็นปัจจัย (เหตุ) ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ; '''มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุแห่งธรรม''' อันเป็นปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ; '''มารู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งธรรม''' อันเป็นปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ; '''มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งธรรม''' อันเป็นปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ดังนี้; ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนั้น ว่า :- '''“ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ”''' ดังนี้บ้าง; '''“ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ”''' ดังนี้บ้าง; '''“ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว”''' ดังนี้บ้าง; '''“ผู้ได้เห็นอยู่ซึ่งพระสัทธรรมนี้”''' ดังนี้บ้าง; '''“ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ”''' ดังนี้บ้าง;'''“ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชาอันเป็นเสขะ”''' ดังนี้บ้าง; '''“ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว”''' ดังนี้บ้าง; '''“ผู้ประเสริฐมีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส”''' ดังนี้บ้าง;'''“ยืนอยู่จรดประตูแห่งอมตะ”''' ดังนี้บ้าง, ดังนี้ แล. |
|||
-บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๕๐/๘๘. |
|||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
||
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) |
|||
{{เริ่มอ้างอิง}} |
|||
* พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์". |
|||
พระไตรปิฎก บาลี (สยามรัฐ) |
|||
* [http://84000.org/tipitaka/dic/ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม".] |
|||
* [http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=1455&Z=1887 มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐] |
|||
http://etipitaka.com/ |
|||
* [http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=590&Z=641 ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖] |
|||
* [[พุทธทาส|พุทธทาสภิกขุ]]. "[http://www.pantip.com/~buddhadasa/self/self_index.html ตัวกู-ของกู ฉบับย่อความ]". |
|||
{{จบอ้างอิง}} |
|||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
||
* |
*[[ปฏิจสมุปบาท]] |
||
[[หมวดหมู่:หลักธรรมของศาสนาพุทธ]] |
[[หมวดหมู่:หลักธรรมของศาสนาพุทธ]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:57, 23 ตุลาคม 2561
ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งปฏิจจสมุปบาท แก่พวกเธอทั้งหลาย. พวกเธอทั้งหลาย จงฟังซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั้น, จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าวบัดนี้ ...
ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ? (๑) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม,จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว;
- คือ ความตั้งอยู่แห่งธรรมดา (ธัมมัฏฐิตตา),
- คือ ความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา),
- คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา).
ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น; ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว, ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ;
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู : เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี” ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุดังนี้แล : ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น
- อันเป็น ตถตา คือ ความเป็นอย่างนั้น,
- เป็น อวิตถตา คือ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น,
- เป็น อนัญญถตา คือ ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,
- เป็น อิทัปปัจจยตา คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น;
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท
- (๒) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติย่อมมี. ...ฯลฯ… *{๑}
- (๓) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพย่อมมี. ...ฯลฯ…
- (๔) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานย่อมมี. ...ฯลฯ…
- (๕) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาย่อมมี. ...ฯลฯ...
- (๖) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาย่อมมี. ...ฯลฯ…
- (๗) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะย่อมมี. ...ฯลฯ…
- (๘) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะย่อมมี. ...ฯลฯ…
- (๙) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปย่อมมี. ...ฯลฯ...
- (๑๐) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณย่อมมี. ...ฯลฯ…
- (๑๑) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายย่อมมี.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม,จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว;
คือ ความตั้งอยู่แห่งธรรมดา (ธัมมัฏฐิตตา),
คือ ความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา),
คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา).
ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น; ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว, ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ;
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู : เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี” ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุดังนี้แล : ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือ ความเป็นอย่างนั้น, เป็น อวิตถตา คือ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น, เป็น อนัญญถตา คือ ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,
เป็น อิทัปปัจจยตา คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท
*{๑} การละเปยยาล ...ฯลฯ... เช่นนี้ หมายความว่า ข้อความในข้อ (๒) เป็นต้นไปจนกระทั่งถึงข้อ (๑๐) นี้ ซ้ำกันโดยตลอดกับในข้อ (๑) ต่างกันแต่เพียงปัจจยาการแต่ละปัจจยาการเท่านั้น; สำหรับข้อสุดท้าย คือข้อ (๑๑) จะพิมพ์ไว้เต็มเหมือนข้อ (๑) อีกครั้งหนึ่ง.
-บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๓๐/๖๑.[พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หน้าที่ ๒๒ ข้อที่ ๖๑ 1]
ส่วนหนึ่งของชุดบทความ |
ศาสนาพุทธ |
---|
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; ( อวิชชา คือ ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. )
- (๑๐) เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
- (๙) เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
- (๘) เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
- (๗) เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
- (๖) เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
- (๕) เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
- (๔) เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
- (๓) เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
- (๒) เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
- (๑) เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ ชรามรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความสิ้นไปแห่งอายุ ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ : นี้เรียกว่า ชรา. การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์ คือ ชีวิตจากสัตวนิกายนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ : นี้เรียกว่า มรณะ. ชรานี้ด้วย มรณะนี้ด้วย ย่อมมีอยู่ ดังนี้; ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ชรามรณะ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งชรามรณะ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งชาติ; ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งชาติ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ, ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.
(๒) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ ชาติ เป็นอย่างไรเล่า ? การเกิด การกำเนิด การก้าวลง (สู่ครรภ์) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ชาติ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งชาติ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งภพ; ความดับไม่เหลือแห่งชาติ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งภพ; ...ฯลฯ...
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ ภพ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภพทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ภพ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งภพ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอุปาทาน; ความดับไม่เหลือแห่งภพ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน; ...ฯลฯ...
(๔) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! หมู่แห่งตัณหาทั้งหลาย ๖ หมู่ เหล่านี้ คือ ความอยากในรูป ความอยากในเสียง ...ในกลิ่น ...ในรส ...ในโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ความอยากในธรรมารมณ์ (สัมผัสทางใจ) : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ตัณหา. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งตัณหา ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งเวทนา; ความดับไม่เหลือแห่งตัณหา ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งเวทนา; ...ฯลฯ...
(๕) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ เวทนา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! หมู่แห่งเวทนาทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางตา ...ทางหู ...ทางจมูก... ทางลิ้น ...ทางกาย และเวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางใจ : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า เวทนา. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งผัสสะ; ความดับไม่เหลือแห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ; ...ฯลฯ...
(๖) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! หมู่แห่งผัสสะทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ สัมผัสทางตา ...ทางหู ...ทางจมูก ...ทางลิ้น ...ทางกาย สัมผัสทางใจ : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า ผัสสะ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งผัสสะ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งสฬายตนะ; ความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ; ...ฯลฯ...
(๗) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ สฬายตนะ เป็นอย่างไรเล่า ? จักข๎วายตนะ ( ตา+รูป ) โสตายตนะ (หู+เสียง) ฆานายตนะ (จมูก + กลิ่น) ชิวหายตนะ (ลิ้น + รส) กายายตนะ (กาย + โผฏฐัพพะ) มนายตนะ (ใจ + ธรรมารมณ์) : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่าสฬายตนะ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสฬายตนะ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งนามรูป; ความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งนามรูป; ...ฯลฯ...
(๘) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ นามรูป เป็นอย่างไรเล่า ? เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ : นี้เรียกว่านาม. มหาภูตทั้งสี่ด้วย รูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย : นี้เรียกว่า รูป. นามนี้ด้วย รูปนี้ด้วย ย่อมมีอยู่อย่างนี้ : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า นามรูป. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งนามรูป ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งวิญญาณ; ความดับไม่เหลือแห่งนามรูป ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ; ...ฯลฯ...
(๙) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ?ภิกษุทั้งหลาย ! หมู่แห่งวิญญาณทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ จักขุวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางตา) โสตวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางหู) ฆานวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางจมูก) ชิวหาวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางลิ้น) กายวิญญาณ (สิ่งที่รู้แจ้งทางใจ) มโนวิญญาณ (สิ่งรู้แจ้งทางใจ) : ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า วิญญาณ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งวิญญาณ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร; ความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งสังขาร; ...ฯลฯ...
(๑๐) ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! สังขารทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กายสังขาร (ความปรุงแต่งทางกาย) วจีสังขาร (ความปรุงแต่งทางวาจา) จิตตสังขาร (ความปรุงแต่งทางใจ) : ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา; ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งสังขาร, ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใดแล อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่งธรรม อันเป็นปัจจัย (เหตุ) ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุแห่งธรรม อันเป็นปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ; มารู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งธรรม อันเป็นปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งธรรม อันเป็นปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ดังนี้; ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนั้น ว่า :- “ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ” ดังนี้บ้าง; “ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ” ดังนี้บ้าง; “ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว” ดังนี้บ้าง; “ผู้ได้เห็นอยู่ซึ่งพระสัทธรรมนี้” ดังนี้บ้าง; “ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ” ดังนี้บ้าง;“ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชาอันเป็นเสขะ” ดังนี้บ้าง; “ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว” ดังนี้บ้าง; “ผู้ประเสริฐมีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส” ดังนี้บ้าง;“ยืนอยู่จรดประตูแห่งอมตะ” ดังนี้บ้าง, ดังนี้ แล.
-บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๕๐/๘๘.
อ้างอิง
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง)
พระไตรปิฎก บาลี (สยามรัฐ)
แหล่งข้อมูลอื่น
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หน้าที่ ๒๒ ข้อที่ ๖๑" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หน้าที่ ๒๒ ข้อที่ ๖๑"/>
ที่สอดคล้องกัน