ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โพคาฮอนทัส"
Miwako Sato (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
Miwako Sato (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
'''โพคาฮอนทัส''' ({{lang-en|Pocahontas}}; ราว ค.ศ. 1596 – มีนาคม ค.ศ. 1617) ชื่อเกิดว่า '''มาโทอาคา''' (Matoaka) ชื่ออื่นว่า '''อาโมนูเท''' (Amonute) เป็นหญิง[[เผ่าอเมริกันพื้นเมืองในเวอร์จิเนีย|ชาวอเมริกันพื้นเมือง]]<ref name=VIwriting>{{cite web|title=A Guide to Writing about Virginia Indians and Virginia Indian History|url=http://indians.vipnet.org/resources/writersGuide.pdf|date=January 2012|publisher=Commonwealth of Virginia, Virginia Council on Indians|accessdate=July 19, 2012|deadurl=yes|archiveurl=https://web.archive.org/web/20120224023658/http://indians.vipnet.org/resources/writersGuide.pdf|archivedate=February 24, 2012|df=}}</ref><ref>[http://virginiaindians.pwnet.org/lesson_plans/Heritage%20Trail_2ed.pdf Karenne Wood, ed., ''The Virginia Indian Heritage Trail''] {{webarchive|url=https://web.archive.org/web/20090704031303/http://virginiaindians.pwnet.org/lesson_plans/Heritage%20Trail_2ed.pdf |date=2009-07-04 }}, Charlottesville, VA: Virginia Foundation for the Humanities, 2007.</ref><ref name=Poca>{{cite web|title=Pocahontas|url=http://apva.org/rediscovery/page.php?page_id=26|publisher=Preservation Virginia|work=Historic Jamestowne|accessdate=April 27, 2013}}</ref> มีชื่อเสียงเพราะความสัมพันธ์กับชุมชนอาณานิคมใน[[เจมส์ทาวน์ (เวอร์จิเนีย)|เจมส์ทาวน์]] [[เวอร์จิเนีย]] โพคาฮอนทัสเป็นบุตรีของ[[พาวฮาทัน (ผู้นำอเมริกันพื้นเมือง)|พาวฮาทัน]] (Powhatan) ผู้เป็น[[ประมุขสูงสุด]] (paramount chief) ของเครือข่ายชนเผ่าใน[[Tsenacommacah|เซนาคอมมาคาห์]] (Tsenacommacah) ซึ่งกินพื้นที่[[Tidewater region|ภูมิภาคไทด์วอเทอร์]] (Tidewater region) แห่งเวอร์จิเนีย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดีระบุว่า ใน ค.ศ. 1607 นางช่วยชีวิต[[จอห์น สมิท (นักสำรวจ)|จอห์น สมิท]] (John Smith) ชาวอังกฤษซึ่งถูกชนอเมริกันพื้นเมืองจับเป็นเชลย โดยนางวางศีรษะของตนไว้บนแท่นประหารแทนศีรษะของเขาขณะที่บิดาของนางกำลังเงื้อกระบองเพื่อประหารเขา แต่นักประวัติศาสตร์จำนวนมากตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเรื่องดังกล่าว<ref name="NMAI">{{cite book |author=National Museum of the American Indian |title=Do All Indians Live in Tipis? Questions & Answers from the National Museum of the American Indian |location=New York |publisher=HarperCollins |date=2007 |isbn=978-0-06-115301-3}}</ref><ref name="5 Myths About Pocahontas">{{cite web|author=Jesse Greenspan|url=http://www.history.com/news/history-lists/5-myths-about-pocahontas|title=5 Myths About Pocahontas|date=20 March 2017}}</ref> |
'''โพคาฮอนทัส''' ({{lang-en|Pocahontas}}; ราว ค.ศ. 1596 – มีนาคม ค.ศ. 1617) ชื่อเกิดว่า '''มาโทอาคา''' (Matoaka) ชื่ออื่นว่า '''อาโมนูเท''' (Amonute) เป็นหญิง[[เผ่าอเมริกันพื้นเมืองในเวอร์จิเนีย|ชาวอเมริกันพื้นเมือง]]<ref name=VIwriting>{{cite web|title=A Guide to Writing about Virginia Indians and Virginia Indian History|url=http://indians.vipnet.org/resources/writersGuide.pdf|date=January 2012|publisher=Commonwealth of Virginia, Virginia Council on Indians|accessdate=July 19, 2012|deadurl=yes|archiveurl=https://web.archive.org/web/20120224023658/http://indians.vipnet.org/resources/writersGuide.pdf|archivedate=February 24, 2012|df=}}</ref><ref>[http://virginiaindians.pwnet.org/lesson_plans/Heritage%20Trail_2ed.pdf Karenne Wood, ed., ''The Virginia Indian Heritage Trail''] {{webarchive|url=https://web.archive.org/web/20090704031303/http://virginiaindians.pwnet.org/lesson_plans/Heritage%20Trail_2ed.pdf |date=2009-07-04 }}, Charlottesville, VA: Virginia Foundation for the Humanities, 2007.</ref><ref name=Poca>{{cite web|title=Pocahontas|url=http://apva.org/rediscovery/page.php?page_id=26|publisher=Preservation Virginia|work=Historic Jamestowne|accessdate=April 27, 2013}}</ref> มีชื่อเสียงเพราะความสัมพันธ์กับชุมชนอาณานิคมใน[[เจมส์ทาวน์ (เวอร์จิเนีย)|เจมส์ทาวน์]] [[เวอร์จิเนีย]] โพคาฮอนทัสเป็นบุตรีของ[[พาวฮาทัน (ผู้นำอเมริกันพื้นเมือง)|พาวฮาทัน]] (Powhatan) ผู้เป็น[[ประมุขสูงสุด]] (paramount chief) ของเครือข่ายชนเผ่าใน[[Tsenacommacah|เซนาคอมมาคาห์]] (Tsenacommacah) ซึ่งกินพื้นที่[[Tidewater region|ภูมิภาคไทด์วอเทอร์]] (Tidewater region) แห่งเวอร์จิเนีย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดีระบุว่า ใน ค.ศ. 1607 นางช่วยชีวิต[[จอห์น สมิท (นักสำรวจ)|จอห์น สมิท]] (John Smith) ชาวอังกฤษซึ่งถูกชนอเมริกันพื้นเมืองจับเป็นเชลย โดยนางวางศีรษะของตนไว้บนแท่นประหารแทนศีรษะของเขาขณะที่บิดาของนางกำลังเงื้อกระบองเพื่อประหารเขา แต่นักประวัติศาสตร์จำนวนมากตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเรื่องดังกล่าว<ref name="NMAI">{{cite book |author=National Museum of the American Indian |title=Do All Indians Live in Tipis? Questions & Answers from the National Museum of the American Indian |location=New York |publisher=HarperCollins |date=2007 |isbn=978-0-06-115301-3}}</ref><ref name="5 Myths About Pocahontas">{{cite web|author=Jesse Greenspan|url=http://www.history.com/news/history-lists/5-myths-about-pocahontas|title=5 Myths About Pocahontas|date=20 March 2017}}</ref> |
||
ใน ค.ศ. 1613 นางถูกชาวอังกฤษจับกุมไปเรียกค่าไถ่ในช่วงที่อังกฤษและชนอเมริกันพื้นเมืองเป็นปฏิปักษ์กัน ระหว่างที่นางถูกจับนั้น นางเข้ารีตเป็น[[คริสต์ศาสนิกชน|คริสต์ศาสนานิก]]และเปลี่ยนชื่อเป็น '''รีเบกกา''' (Rebecca) ต่อมาเมื่อนางมีโอกาสกลับไปหาผู้คนของตน นางกลับเลือก |
ใน ค.ศ. 1613 นางถูกชาวอังกฤษจับกุมไปเรียกค่าไถ่ในช่วงที่อังกฤษและชนอเมริกันพื้นเมืองเป็นปฏิปักษ์กัน ระหว่างที่นางถูกจับนั้น นางเข้ารีตเป็น[[คริสต์ศาสนิกชน|คริสต์ศาสนานิก]]และเปลี่ยนชื่อเป็น '''รีเบกกา''' (Rebecca) ต่อมาเมื่อนางมีโอกาสกลับไปหาผู้คนของตน นางกลับเลือกอยู่กับคนอังกฤษ ครั้นเดือนเมษายน ค.ศ. 1614 นางอายุได้ 17 ปี เข้าพิธีสมรสกับ[[จอห์น รอล์ฟ]] (John Rolfe) คนปลูกใบยาสูบ ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1615 นางให้เกิดบุตรชายของเขานามว่า [[ทอมัส รอล์ฟ]] (Thomas Rolfe)<ref name="Stebbins 2010">{{Cite web|url = http://www.nps.gov/jame/learn/historyculture/pocahontas-her-life-and-legend.htm|title = Pocahontas: Her Life and Legend|accessdate = April 7, 2015|website = National Park Service|publisher = U.S. Department of the Interior|last = Stebbins|first = Sarah J|date=August 2010}}</ref> |
||
ใน ค.ศ. 1616 ครอบครัวรอล์ฟเดินทางไปลอนดอน มีการนำเสนอนางต่อสังคมอังกฤษว่า เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ[[คนเถื่อนใจธรรม|คนป่าเถื่อนที่ได้รับการสั่งสอนให้มีอารยะ]] เพื่อกระตุ้นการลงทุนในชุมชนเจมส์ทาวน์ที่เวอร์จิเนีย นางจึงเกิดมีชื่อเสียงขึ้น ได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อหรูหรา และได้ชม[[ละครหน้ากาก]] (masque) ที่[[Whitehall Palace|วังไวต์ฮอล]] (Whitehall Palace) ด้วย ครั้น ค.ศ. 1617 ครอบครัวรอล์ฟตั้งใจจะเดินทางกลับเวอร์จิเนีย แต่นางเสียชีวิตที่[[เกรฟเซนด์ (เคนต์)|เกรฟเซนด์]] (Gravesend) ในอังกฤษ เสียก่อน โดยไม่ทราบสาเหตุ อายุได้ราว 20 หรือ 21 ปี ศพของนางฝังไว้ที่[[โบสถ์เซนต์จอร์จ (เกรฟเซนด์)|โบสถ์เซนต์จอร์จ]] (St George's Church) ณ เกรฟเซนด์นั้น แต่การบูรณะโบสถ์ในภายหลังทำให้ตำแหน่งที่แน่นอนของหลุมศพนางในปัจจุบันนั้นไม่อาจทราบได้อีก<ref name="Stebbins 2010"/> |
ใน ค.ศ. 1616 ครอบครัวรอล์ฟเดินทางไปลอนดอน มีการนำเสนอนางต่อสังคมอังกฤษว่า เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ[[คนเถื่อนใจธรรม|คนป่าเถื่อนที่ได้รับการสั่งสอนให้มีอารยะ]] เพื่อกระตุ้นการลงทุนในชุมชนเจมส์ทาวน์ที่เวอร์จิเนีย นางจึงเกิดมีชื่อเสียงขึ้น ได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อหรูหรา และได้ชม[[ละครหน้ากาก]] (masque) ที่[[Whitehall Palace|วังไวต์ฮอล]] (Whitehall Palace) ด้วย ครั้น ค.ศ. 1617 ครอบครัวรอล์ฟตั้งใจจะเดินทางกลับเวอร์จิเนีย แต่นางเสียชีวิตที่[[เกรฟเซนด์ (เคนต์)|เกรฟเซนด์]] (Gravesend) ในอังกฤษ เสียก่อน โดยไม่ทราบสาเหตุ อายุได้ราว 20 หรือ 21 ปี ศพของนางฝังไว้ที่[[โบสถ์เซนต์จอร์จ (เกรฟเซนด์)|โบสถ์เซนต์จอร์จ]] (St George's Church) ณ เกรฟเซนด์นั้น แต่การบูรณะโบสถ์ในภายหลังทำให้ตำแหน่งที่แน่นอนของหลุมศพนางในปัจจุบันนั้นไม่อาจทราบได้อีก<ref name="Stebbins 2010"/> |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:14, 28 มิถุนายน 2561
โพคาฮอนทัส (อังกฤษ: Pocahontas; ราว ค.ศ. 1596 – มีนาคม ค.ศ. 1617) ชื่อเกิดว่า มาโทอาคา (Matoaka) ชื่ออื่นว่า อาโมนูเท (Amonute) เป็นหญิงชาวอเมริกันพื้นเมือง[1][2][3] มีชื่อเสียงเพราะความสัมพันธ์กับชุมชนอาณานิคมในเจมส์ทาวน์ เวอร์จิเนีย โพคาฮอนทัสเป็นบุตรีของพาวฮาทัน (Powhatan) ผู้เป็นประมุขสูงสุด (paramount chief) ของเครือข่ายชนเผ่าในเซนาคอมมาคาห์ (Tsenacommacah) ซึ่งกินพื้นที่ภูมิภาคไทด์วอเทอร์ (Tidewater region) แห่งเวอร์จิเนีย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดีระบุว่า ใน ค.ศ. 1607 นางช่วยชีวิตจอห์น สมิท (John Smith) ชาวอังกฤษซึ่งถูกชนอเมริกันพื้นเมืองจับเป็นเชลย โดยนางวางศีรษะของตนไว้บนแท่นประหารแทนศีรษะของเขาขณะที่บิดาของนางกำลังเงื้อกระบองเพื่อประหารเขา แต่นักประวัติศาสตร์จำนวนมากตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเรื่องดังกล่าว[4][5]
ใน ค.ศ. 1613 นางถูกชาวอังกฤษจับกุมไปเรียกค่าไถ่ในช่วงที่อังกฤษและชนอเมริกันพื้นเมืองเป็นปฏิปักษ์กัน ระหว่างที่นางถูกจับนั้น นางเข้ารีตเป็นคริสต์ศาสนานิกและเปลี่ยนชื่อเป็น รีเบกกา (Rebecca) ต่อมาเมื่อนางมีโอกาสกลับไปหาผู้คนของตน นางกลับเลือกอยู่กับคนอังกฤษ ครั้นเดือนเมษายน ค.ศ. 1614 นางอายุได้ 17 ปี เข้าพิธีสมรสกับจอห์น รอล์ฟ (John Rolfe) คนปลูกใบยาสูบ ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1615 นางให้เกิดบุตรชายของเขานามว่า ทอมัส รอล์ฟ (Thomas Rolfe)[6]
ใน ค.ศ. 1616 ครอบครัวรอล์ฟเดินทางไปลอนดอน มีการนำเสนอนางต่อสังคมอังกฤษว่า เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนป่าเถื่อนที่ได้รับการสั่งสอนให้มีอารยะ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในชุมชนเจมส์ทาวน์ที่เวอร์จิเนีย นางจึงเกิดมีชื่อเสียงขึ้น ได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อหรูหรา และได้ชมละครหน้ากาก (masque) ที่วังไวต์ฮอล (Whitehall Palace) ด้วย ครั้น ค.ศ. 1617 ครอบครัวรอล์ฟตั้งใจจะเดินทางกลับเวอร์จิเนีย แต่นางเสียชีวิตที่เกรฟเซนด์ (Gravesend) ในอังกฤษ เสียก่อน โดยไม่ทราบสาเหตุ อายุได้ราว 20 หรือ 21 ปี ศพของนางฝังไว้ที่โบสถ์เซนต์จอร์จ (St George's Church) ณ เกรฟเซนด์นั้น แต่การบูรณะโบสถ์ในภายหลังทำให้ตำแหน่งที่แน่นอนของหลุมศพนางในปัจจุบันนั้นไม่อาจทราบได้อีก[6]
สถานที่และผลิตภัณฑ์มากมายในสหรัฐได้รับการตั้งชื่อตามนาง เรื่องราวของนางยังได้รับการเล่าขานเป็นนิยายรัก กลายเป็นหัวเรื่องยอดนิยมในงานศิลปะ วรรณกรรม และภาพยนตร์ คนดังหลายคนก็อ้างตนเป็นเชื้อสายของนางผ่านนางบุตรของนาง เช่น สมาชิกตระกูลแรกแห่งจิเนีย รวมถึงอีดิท วิลสัน (Edith Wilson) อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง, เกล็นน์ สเตรนจ์ (Glenn Strange) นักแสดงชาวอเมริกัน, เวย์น นิวตัน (Wayne Newton) นักแสดงในลาสเวกัส, และเพอร์ซิวัล โลเวลล์ (Percival Lowell) นักดาราศาสตร์[7]
อ้างอิง
- ↑ "A Guide to Writing about Virginia Indians and Virginia Indian History" (PDF). Commonwealth of Virginia, Virginia Council on Indians. January 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ February 24, 2012. สืบค้นเมื่อ July 19, 2012.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Karenne Wood, ed., The Virginia Indian Heritage Trail เก็บถาวร 2009-07-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Charlottesville, VA: Virginia Foundation for the Humanities, 2007.
- ↑ "Pocahontas". Historic Jamestowne. Preservation Virginia. สืบค้นเมื่อ April 27, 2013.
- ↑ National Museum of the American Indian (2007). Do All Indians Live in Tipis? Questions & Answers from the National Museum of the American Indian. New York: HarperCollins. ISBN 978-0-06-115301-3.
- ↑ Jesse Greenspan (20 March 2017). "5 Myths About Pocahontas".
- ↑ 6.0 6.1 Stebbins, Sarah J (August 2010). "Pocahontas: Her Life and Legend". National Park Service. U.S. Department of the Interior. สืบค้นเมื่อ April 7, 2015.
- ↑ Shapiro, Laurie Gwen (June 22, 2014). "Pocahontas: Fantasy and Reality". Slate. The Slate Group. สืบค้นเมื่อ April 7, 2015.