ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 372: | บรรทัด 372: | ||
*{{flagicon|Chile}} [[อาเลกซิส ซานเชซ]] (2014-2018) |
*{{flagicon|Chile}} [[อาเลกซิส ซานเชซ]] (2014-2018) |
||
*{{flagicon|France}} [[ออลีวีเย ฌีรู]] (2012-2018) |
*{{flagicon|France}} [[ออลีวีเย ฌีรู]] (2012-2018) |
||
*{{flagicon|England}} [[แจ็ก วิลเชียร์]] (2001-2018) |
|||
*{{flagicon|Spain}} [[ซานติ กาซอร์ลา]] (2012-2018) |
|||
|} |
|} |
||
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:49, 20 มิถุนายน 2561
ชื่อเต็ม | Arsenal Football Club | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | The Gunners ไอ้ปืนใหญ่, ปืนใหญ่ (ภาษาไทย) | |||
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1886 ในชื่อ Dial Square | |||
สนาม | เอมิเรตส์สเตเดียม, ลอนดอน | |||
ความจุ | 60,355 คน[1] | |||
เจ้าของ | บริษัท อาร์เซนอล โฮลดิงส์ | |||
ประธาน | เซอร์ จอห์น เคสวิก | |||
ผู้จัดการ | อูไน เอเมรี | |||
ลีก | พรีเมียร์ลีก | |||
2017–18 | พรีเมียร์ลีก, อันดับที่ 6 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล (อังกฤษ: Arsenal Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลที่เล่นในพรีเมียร์ลีก จากย่านฮอลโลเวย์ ในกรุงลอนดอน เป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ ครองแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 13 ครั้งและเอฟเอคัพ 13 ครั้ง อีกทั้งยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เข้าชิงชนะเลิศในเอฟเอคัพมากที่สุด คือ 20 ครั้ง[2] และยังเป็นแชมป์เอฟเอคัพมากที่สุด[3] อาร์เซนอลถือสถิติร่วม โดยอยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษยาวนานที่สุดโดยไม่ตกชั้น และติดอยู่อันดับ 1 ของผลรวมอันดับในลีก ของทั้งศตวรรษที่ 20[4] และเป็นทีมที่ 2 ที่จบการแข่งขันฤดูกาลในลีกสูงสุดของอังกฤษโดยไม่แพ้ทีมไหน (ในฤดูกาล 2003–04) เป็นทีมเดียวที่ไม่แพ้ใครทั้ง 38 นัด
อาร์เซนอลก่อตั้งในปี ค.ศ. 1886 ที่วูลิช โดยกลุ่มคน 15 คน ช่วยกันบริจาคเงินคนละ 6 เพนซ์ เป็นค่าตั้งสโมสร ที่รอยัลโอ๊คผับ (ซึ่งความหมายนี้ได้ปรากฏอยู่ในสัญลักษณ์สโมสรในวาระครบรอบ 125 ปีของการก่อตั้ง[5]) และในปี ค.ศ. 1893 เป็นสโมสรแรกจากลอนดอนใต้ที่ร่วมในฟุตบอลลีก ต่อมาในปี ค.ศ. 1913 สโมสรได้ย้ายมายังลอนดอนเหนือ ย้ายสนามมายังอาร์เซนอลสเตเดียมในไฮบรี ในคริสต์ทศวรรษ 1930 สโมสรครองแชมป์ลีกแชมเปียนชิป 5 สมัยและเอฟเอคัพ 2 สมัย และในยุคหลังสงครามชนะในลีกและเอฟเอคัพทั้งสองถ้วยในฤดูกาล 1970–71 และในคริสต์ทศวรรษ 1990 และคริสต์ทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 ครองสองถ้วยในฤดูกาลเดียว 2 ครั้ง และสามารถเข้าสู่รอบตัดสินในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปี ค.ศ. 2006 อาร์เซนอลมีทีมคู่ปรับร่วมเมืองในนอร์ทลอนดอน คือทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่เรียกการแข่งขันว่า นอร์ทลอนดอนดาร์บี อาร์เซนอลเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 4 ของโลก ในปี ค.ศ. 2012 โดยมีมูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญดอลลาร์[6]
ประวัติ
สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลเริ่มต้นขึ้น เมื่อกลุ่มคนงานของโรงงานผลิตอาวุธรอยัลอาร์เซนอลในแขวงวูลิช กรุงลอนดอน ก่อตั้งทีมฟุตบอลของตนเองขึ้นมาเมื่อปลายปี ค.ศ. 1886 ในชื่อ ไดอัล สแควร์ การแข่งขันแรกของทีมคือเกมที่สามารถเก็บชัยชนะเหนือทีมอีสเทิร์น วันเดอเรอร์ส 6-0 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1886 หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเป็น รอยัลอาร์เซนอล และยังคงแข่งขันในเกมอุ่นเครื่องและรายการท้องถิ่นต่อไป จากนั้นได้ก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพแล้วหันมาใช้ชื่อ วูลิชอาร์เซนอลในปี 1891 สโมสรแห่งนี้ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกเป็นครั้งแรกในปี 1893 ในดิวิชั่น 2 จากนั้นในปี 1904 ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ดิวิชั่น 1 เป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ในทางภูมิศาสตร์นั้นจะเห็นว่าสโมสรแห่งนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเกินไป ส่งผลกระทบให้จำนวนผู้ชมมีน้อยกว่าสโมสรอื่นจนกระทั่งทีมต้องประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนนำไปสู่การยุบทีมในปี 1910 เมื่อเฮนรี นอร์ริสได้เข้ามาเทคโอเวอร์[7] นอร์ริสพยายามมองหาแนวทางที่จะย้ายที่ตั้งของสโมสรไปอยู่ที่อื่นจนกระทั่งในปี 1913 หลังจากที่ตกชั้นดิวิชั่น 1 มาอยู่ดิวิชั่น 2 เหมือนเดิมนั้น อาร์เซนอลก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบิวรี่ บริเวณลอนดอนเหนือ ในปีต่อมา สโมสรได้ตัดสินใจตัดคำว่า "วูลิช" ออกจากชื่อสโมสรจนเหลือเพียง อาร์เซนอล เท่าที่เห็นในปัจจุบัน[8] หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ลีกดิวิชั่น 1 ก็เพิ่มจำนวนทีมเป็น 22 ทีม อาร์เซนอลได้อันดับ 5 ของดิวิชั่น 2 ในปี 1919 แต่ถึงกระนั้นก็ได้รับเลือกให้กลับขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 อีกครั้งหนึ่ง[9] และอาร์เซนอลก็ไม่เคยถูกลดชั้นหรือตกชั้นเลยนับตั้งแต่นั้นมา
ในปี 1925 อาร์เซนอลได้ว่าจ้างให้เฮอร์เบิร์ต แชปแมนเป็นผู้จัดการทีม แชปแมนเคยพาฮัดเดอร์สฟิลด์ทาวน์คว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัยคือฤดูกาล 1923-24 และ 1924-25 ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมอาร์เซนอลนี้ และแชปแมนคือคนแรกที่พาอาร์เซนอลก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความสำเร็จยุคแรก เขาจัดการเปลี่ยนระบบการซ้อมและแทคติคใหม่ทั้งหมดพร้อมทั้งซื้อนักเตะระดับแนวหน้ามาร่วมทีมไม่ว่าจะเป็นอเล็กซ์ เจมส์และคลิฟฟ์ บานติน ทำให้อาร์เซนอลก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษได้ในช่วงทศวรรษที่ 1930 อาร์เซนอลคว้าแชมป์รายการใหญ่ๆได้เป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของแชปแมน โดยสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ฤดูกาล 1929-30 และแชมป์ลีก 2 สมัยคือฤดูกาล 1930-31 และ 1932-33 นอกจากนั้น แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานีรถไฟใต้ดิน "อาร์เซนอล" อันเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอลโดยเฉพาะ[10]
น่าเสียดายที่แชปแมนเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมเมื่อต้นปี 1934 แต่หลังจากนั้น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน ที่เข้ามารับตำแหน่งก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน พวกเขาพาอาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีก 3 สมัย (ฤดูกาล 1933-34, 1934-35 และ 1937-38) และเอฟเอคัพ 1 สมัย (1935-36) อย่างไรก็ตาม อาร์เซนอลก็เริ่มถดถอยลงเรื่อยๆในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 การแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุกรายการในอังกฤษต้องยุติลง
หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ทอม วิทเทคเกอร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งของอัลลิสันได้เข้ามาบริหารทีม อาร์เซนอลจึงกลับมาประสบความสำเร็จได้อีก 2 ครั้งคือฤดูกาล 1947-48 และ 1952-53 ที่ได้แชมป์ลีก และ 1949-50 ที่ได้แชมป์เอฟเอคัพ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น โชคก็เหมือนจะไม่เข้าข้างอาร์เซนอลเท่าไรนัก สโมสรไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนักเตะชุดเดียวกับที่เคยอยู่ในทีมช่วงทศวรรษ 1930 ให้กลับเข้าสู่ทีมได้ ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 นั้น อาร์เซนอลกลายเป็นทีมระดับธรรมดาๆที่ไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรได้เลย แม้ แต่บิลลี ไรท์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมนั้นก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้เลยในช่วงปี 1962-1966 ที่เข้ามาคุมทีม
อาร์เซนอลเริ่มกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหนึ่งหลังจากได้ว่าจ้างให้เบอร์ตี้ มี นักกายภาพบำบัดให้มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1966 แบบไม่มีใครคาดคิด อาร์เซนอลสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลลีกคัพได้ 2 สมัยแต่ก็พลาดแชมป์ทั้งสองครั้ง แต่ก็ยังสามารถคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ ฤดูกาล 1969-70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ตามมาด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรก นั่นคือแชมป์ลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาล 1970-71 แต่ในทศวรรษต่อมานั้น อาร์เซนอลทำได้แค่เพียงการเข้าไปใกล้ตำแหน่งแชมป์มากที่สุดแต่ก็แทบจะไม่สามารถคว้าแชมป์ได้เลย โดยได้รองแชมป์ลีกในฤดูกาล 1972-73 รองแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1971-72, 1977-78 และ 1979–80 และยังพ่ายแพ้ในเกมยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพรอบชิงชนะเลิศด้วยการดวลจุดโทษอีกด้วย สโมสรประสบความสำเร็จเพียงครั้งเดียวในช่วงนี้ก็คือการคว้าแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1978-79 ได้ด้วยการเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 3-2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญกันมากในเรื่องของความคลาสสิกของเกมนี้[11]
การกลับเข้ามาสู่วงการฟุตบอลอีกครั้งของ จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะในฐานะผู้จัดการทีมของอาร์เซนอลในปี 1986 ทำให้สโมสรสามารถคว้าแชมป์ได้ 3 สมัย อาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในฤดูกาล 1986-87 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่แกรแฮมเข้ามาคุมทีม จากนั้นก็มาได้แชมป์ลีกในฤดูกาล 1988-89 ด้วยการคว้าแชมป์จากประตูในนาทีสุดท้าของเกมที่พบกับลิเวอร์พูล จากนั้น อาร์เซนอลภายใต้การคุมทีมของแกรแฮมนั้นก็ได้แชมป์ลีกอีกในปี 1990-91 โดยแพ้ไปเพียงเกมเดียวเท่านั้น และสามารถคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์เอฟเอคัพพร้อมกับฟุตบอลลีกคัพได้ในฤดูกาล 1992-93 และถ้วยยุโรปใบที่ 2 คือยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาล 1993-94 ได้ อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของแกรแฮมก็กลายเป็นความเสื่อมเสียเมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้รับเงินสินบนจาก Rune Hauge เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัว[12] จากนั้น แกรแฮมก็โดนไล่ออกในปี 1995 และ บรูซ ริออช ก็เข้ามารับตำแหน่งแทน ซึ่งได้คุมทีมอยู่เพียงฤดูกาลเดียวก่อนที่จะลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร[13]
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรอยู่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 และช่วงทศวรรษที่ 2000 เนื่องจาก อาร์แซน แวงแกร์ เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1996 แวงแกร์นำแทคติคใหม่ๆมาใช้ นำวิธีการซ้อมใหม่ ๆ เข้ามาและนำนักเตะต่างชาติที่สามารถปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้มาเสริมทีมจำนวนมาก อาร์เซนอลจึงสามารถคว้าดับเบิลแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1997-98 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกและแชมป์บอลถ้วย และได้ดับเบิลแชมป์ที่ 3 ในฤดูกาล 2001-02 นอกจากนั้น สโมสรยังสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าคัพได้ในฤดูกาล 1999-00 (แพ้จุดโทษให้กับกาลาตาซาราย แต่มาได้แชมป์เอฟเอคัพ ในฤดูกาล 2002-03 และ 2004-05 แชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในปี 2003-04 ซึ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยจนได้รับฉายาว่า "อาร์เซนอลผู้ไร้เทียมทาน" (The Invincibles) [14] และสามารถทำสถิติไม่แพ้ติดต่อกัน 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมา ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุดของประเทศอีกด้วย
อาร์เซนอลจบฤดูกาลด้วยอันดับ 1 หรืออันดับ 2 รวมทั้งสิ้น 8 ฤดูกาลจาก 11 ฤดูกาลที่อาร์แซน แวงแกร์ก้าวเข้ามาคุมทีมนี้[15] อาร์เซนอลเป็นหนึ่งในห้าสโมสรเท่านั้นที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ตั้งแต่ก่อตั้งลีกสูงสุดนี้ขึ้นในปี 1993 (นอกจากอาร์เซนอลก็มีแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, แบล็กเบิร์นโรเวอส์, เชลซี และแมนเชสเตอร์ซิตี) แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้แม้แต่สมัยเดียวก็ตาม[16] เมื่อไม่นานมานี้ อาร์เซนอลยังไม่เคยตกรอบที่ต่ำกว่ารองก่อนรองชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเลย โดยในฤดูกาล 2005-06 สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ ซึ่งเป็นทีมแรกจากกรุงลอนดอนที่สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปได้ในรอบ 15 ปี แต่กลับแพ้ให้กับบาร์เซโลนา 2-1 อย่างน่าเสียดาย จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 อาร์เซนอลก็ได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปีที่ไฮบิวรีลง โดยการย้ายสนามเหย้ามาอยู่ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียมอันเป็นที่ตั้งของสโมสรในปัจจุบันนี้
เมื่อสิ้นสุดพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2011-2012 ที่อาร์เซนอลจบลงด้วยลำดับที่ 3 ในตาราง และเป็นวาระครบรอบที่พรีเมียร์ลีกตั้งมาครบ 20 ปีด้วย ได้มีการโหวตจากแฟน ๆ ฟุตบอล ปรากฏว่า อาร์เซนอล ในฤดูกาล 2002-2003 ที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล ได้รับเลือกให้เป็นทีมชุดที่ยอดเยี่ยมที่สุด โดยมีสถิติชนะ 26 นัด เสมอ 12 นัด จากการลงแข่งขันทั้งหมด 38 นัด[17]
เมื่อสิ้นสุดพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2012-2013 อาร์เซนอลจบลงด้วยลำดับที่ 4 ของตาราง ในฤดูกาลนี้ อาร์เซนอล ชนะ 21 นัด เสมอ 10 นัด แพ้ 7 นัด มี 73 คะแนน ได้ประตู 72 ลูก เสียประตู 37 ลูก โดยในนัดสุดท้ายของฤดูกาล (วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม) อาร์เซนอลต้องลุ้นอันดับ 4 กับทอตนัมฮอตสเปอร์เพื่อให้ได้สิทธิ์ไปแข่งขันฟุตบอลรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งก่อนลงแข่งในนัดสุดท้าย อาร์เซนอล นำอยู่ 1 คะแนน โดยในนัดสุดท้ายนี้ อาร์เซนอล ออกไปเยือนนิวคาสเซิล และเฉือนชนะ 0-1 ด้วยการประตูของโลร็อง โกเซียลนี ขณะที่ทอตนัมฮอตสเปอร์เปิดบ้านเฉือนชนะซันเดอร์แลนด์ 1-0 จากการทำประตูของ แกเร็ธ เบล ได้สิทธิ์ไปเล่นในรายการยูโรป้าลีก
ระหว่างปี ค.ศ. 2005 ถึง ค.ศ. 2014 อาร์เซนอลไม่ได้แชมป์ใด ๆ เลยเป็นเวลานานถึง 9 ปีเต็มด้วยกัน ทำให้ถูกวิจารณ์ต่าง ๆ นานา แต่ในฤดูกาล 2013–14 ในพรีเมียร์ลีก แม้อาร์เซนอลจะจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 เหมือนฤดูกาลที่แล้ว แต่อาร์เซนอลก็มีโอกาสลุ้นแชมป์มากที่สุดในรอบ 9 ปี ด้วยการขึ้นเป็นทีมอันดับหนึ่งในตารางคะแนนนานถึง 128 วัน นับว่านานที่สุดในฤดูกาลนี้[18] และในรายการเอฟเอคัพ อาร์เซนอลก็สามารถคว้าแชมป์มาได้ เมื่อเป็นฝ่ายเอาชนะ ฮัลล์ซิตี ไปได้ 3-2 ประตู ในช่วงทดเวลาพิเศษจากลูกยิงของแอรอน แรมซีย์ กองกลางของทีม ทั้งที่ถูกนำไปก่อนในช่วงต้นการแข่งขันถึง 0-2 เพียงแค่ 9 นาทีแรกเท่านั้น[19]
สัญลักษณ์สโมสร
-
(1888-1929)
-
(1930-1948)
-
(1952 ตราพิเศษ)
-
(1949-2002)
-
(2002-2011,2012-ปัจจุบัน)
-
(2011-2012)
ตราพิเศษครบรอบ 125 ปี
ผู้ผลิตเสื้อและผู้สนับสนุนในแต่ละยุค
ฤดูกาล | ผู้ผลิตเสื้อ | ผู้สนับสนุนเสื้อ |
---|---|---|
1930s–1970 | บัคตา | ไม่มี |
1971–1980 | อัมโบร | |
1981–1986 | เจวีซี | |
1986–1994 | อาดิดาส | |
1994–1999 | ไนกี้ | |
1999–2002 | ดรีมแคสต์ / เซก้า1 | |
2002–2006 | โอทู | |
2006–2014 | เอมิเรตส์แอร์ไลน์ | |
2014– | พูม่า |
ผู้เล่น
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
- ณ วันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2018[20]
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
สตาฟฟ์โค้ชและเจ้าหน้าที่ชุดปัจจุบัน
ตำแหน่ง | ชื่อ |
---|---|
ผู้จัดการทีม | อูไนย์ เอเมริ |
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม | สตีฟ โบลด์ |
โค้ชทีมชุดใหญ่ | โบโร ไพรโมแรค |
ผู้ฝึกสอนทีมสำรอง | นีล แบนฟิลด์ |
ผู้ฝึกสอนการรักษาประตู | เกอร์รี เพย์ตัน |
นักกายภาพบำบัด | โคลิน เลวิน |
ผู้จัดการเครื่องแต่งกายผู้เล่น | วิค เอเคอร์ส |
โค้ชฟิตเนส | ชัด ฟอร์ซือ |
หัวหน้าศูนย์เยาวชน | เลียม เบรดี |
อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง
เรียงตามปีที่เริ่มเล่นในทีมอาร์เซนอลชุดใหญ่เป็นครั้งแรก (ในวงเล็บคือปี ค.ศ.) :
ความนิยม
อาร์เซนอลเป็นแชมป์ลีกสูงสุดมากเป็นอันดับ 3 ในวงการฟุตบอลอังกฤษรองจากลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[25] คว้าแชมป์เอฟเอคัพมากเป็นอันดับ 1 คือ 12 สมัย[26] เทียบเท่ากับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
อาร์เซนอลคว้าดับเบิลแชมป์ได้ 3 ครั้ง (แชมป์ลีกและเอฟเอคัพในปีเดียวกัน) คือปี 1971, 1998 และ 2002 ครองสถิติสูงสุดร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[27] และเป็นทีมแรกของอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ซูซูกิคัพและคัพไทยได้ในปีเดียวกัน คือปี 2008[28] อาร์เซนอลยังเป็นทีมแรกของกรุงลอนดอนที่สามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ในปี 2006[29]
อาร์เซนอลเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีสถิติที่ดีเยี่ยม เคยจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ตำกว่าอันดับ 14 เพียงแค่ 7 ครั้งเท่านั้น อาร์เซนอลยังเป็นทีมที่มีสถิติอันดับเฉลี่ยดีที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 20 (ช่วงปี 1900-1999) อีกด้วย โดยอันดับเฉลี่ยคือ 8.5 [30] นอกจากนั้นแล้ว อาร์เซนอลยังเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่สามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ 2 สมัยติดต่อกัน นั่นคือการคว้าแชมป์ในปี 2002 และปี 2003[31]
นอกจากนี้แล้ว ในปี 2015 มีการสำรวจความนิยมจากแฟนฟุตบอลทั่วทั้งโลก ผ่านโปรแกรมทวิตเตอร์พบว่า อาร์เซนอลเป็นสโมสรที่มีฐานผู้นิยมมากที่สุด โดยกระจายไปในหลายทวีปทั้งยุโรป, อเมริกาเหนือ และ แอฟริกาเหนือ สำหรับในประเทศอังกฤษ อาร์เซนอลเป็นสโมสรที่มีผู้นิยมมากที่สุดเป็นอันดับสอง คิดเป็นร้อยละ 15.03 ขณะที่ลิเวอร์พูล คือ สโมสรที่มีผู้นิยมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 15.21[32] แต่อาร์เซนอลเป็นสโมสรแห่งแรกของอังกฤษที่มีผู้ติดตามทางทวิตเตอร์มากถึง 5 ล้านคน เมื่อปลายปี 2014[33]
สถิติที่น่าสนใจ
- อาร์เซนอลเป็น 1 ใน 4 สโมสรของอังกฤษ ที่ได้แชมป์ลีกติดต่อกันมากที่สุด คือ 3 ครั้ง ในฤดูกาล 1932-33, 1933-34, 1934-35
- เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 ในปลายปี ค.ศ. 1999 อาร์เซนอลได้รับการจัดลำดับจากสำนักข่าวบีบีซีให้เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 100 ปี โดยพิจารณาจากสถิติ และปัจจัยต่าง ๆ โดยมีลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน เป็นอันดับสองและอันดับสามตามลำดับ[34]
- ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-02 อาร์เซนอลสามารถทำประตูได้ในทุกนัด เป็นสถิติสูงสุดของลีก
- ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-02 อาร์เซนอลชนะติดต่อกัน 14 นัด เป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก (มีอีก 3 สโมสรคือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, บริสตอลซิตี้, เปรสตันอร์ธเอนด์ ที่ทำสถิติชนะติดต่อกัน 14 นัดเช่นกัน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นสถิติในดิวิชั่น 2)
- ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003-04 อาร์เซนอลไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาล 38 นัด (ชนะ 26 เสมอ 12) เป็นครั้งแรกของพรีเมียร์ลีก และครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษต่อจาก เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1888-89 ซึ่งขณะนั้นมีการแข่งขันเพียง 22 นัดต่อฤดูกาล
- อาร์เซนอลไม่แพ้ใครเลยในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 49 นัด ระหว่างฤดูกาล 2002-03, 2003-04, 2004-05
- ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003-04 ที่อาร์เซนอลไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งฤดูกาล ได้รับการโหวตจากแฟนฟุตบอลให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 20 ปี โดยมีแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1998-99 ที่ได้ทริปเปิลแชมป์ หรือสามแชมป์ในฤดูกาลเดียวกัน เป็นอันดับสอง[35]
ในวัฒนธรรมร่วมสมัย
อาร์เซนอล ถูกอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายประการ เช่น เป็นคู่ชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ รีลมาดริด ของสเปน ในภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษเรื่อง Goal II: Living the Dream ในปี ค.ศ. 2007 โดยมีนักฟุตบอลตัวจริงของทั้งสองสโมสรร่วมแสดงหลายคน เช่น ตีแยรี อ็องรี, เดวิด เบคแคม, ซีเนดีน ซีดาน[36] และมีการอ้างถึงในซีรีส์เกาหลีเรื่อง Because This Is My First Life ในปี ค.ศ. 2017 โดยกำหนดให้นางเอกของเรื่องเป็นแฟนอาร์เซนอลและได้ดูการแข่งขันของอาร์เซลนอลกับเชลซีคู่กับพระเอก[37]
ในประเทศไทย
อาร์เซนอล เคยเดินทางมาแข่งขันครั้งเดียวในประเทศไทย โดยเกิดขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม 1999 เป็นการแข่งขันนัดพิเศษกับทีมชาติไทย ณ ราชมังคลากีฬาสถาน โดยผลการแข่งขัน ทีมชาติไทยเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 4-3 ประตู โดยผู้เล่นที่ได้รับเลือกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ คือ เอ็นวานโก คานู กองหน้าของอาร์เซนอล[38]
สำหรับชาวไทยที่มีชื่อเสียงที่เป็นผู้สนับสนุนอาร์เซนอล เช่น กพล ทองพลับ (พิธีกรและดีเจ[39]), เสกสรร สุขพิมาย (นักร้อง, นักดนตรี[40]), กรภพ จันทร์เจริญ (นักร้อง, นักดนตรีและนักแสดง[41]), ไปรยา สวนดอกไม้ (นักแสดง, นางแบบ[42]), ธีรศิลป์ แดงดา (นักฟุตบอลทีมชาติไทย[43]), รณชัย รังสิโย (นักฟุตบอลทีมชาติไทย[43]), อดิศักดิ์ ไกรษร (นักฟุตบอลทีมชาติไทย[44]), ธีราธร บุญมาทัน (นักฟุตบอลทีมชาติไทย[45]), ฉัตร์ชัย บุตรดี (นักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย[46]), วิทยา เลาหกุล (อดีตนักฟุตบอลทีมชาติและผู้ฝึกสอนฟุตบอล[47]), พิชิตพงษ์ เฉยฉิว (อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย), สุธี สุขสมกิจ (อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย[43]), สินทวีชัย หทัยรัตนกุล (อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย[41]), สาธิต ปิตุเตชะ (นักการเมือง[48]), วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ (พิธีกรและดีเจ[44]), ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ (นักแสดง, นายแบบ[44], ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ (นักแสดง[44]), สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ (นักร้อง[49]), เสถียร วิริยะพรรณพงศา (สื่อมวลชน[50]), ชวลิต ศรีมั่นคงธรรม (ดีเจ,พิธีกรและนักแสดง), สหัทยา ไกรขุนทศ (สื่อมวลชน,ผู้ประกาศข่าวกีฬาช่อง 3) ฯลฯ
เกียรติประวัติ
ระดับประเทศ
- ดิวิชัน 1 และพรีเมียร์ลีก[remark 1]
- ชนะเลิศ (13) : 1930–31, 1932–33, 1933–34, 1934–35, 1937–38, 1947–48, 1952–53, 1970–71, 1988–89, 1990–91, 1997–98, 2001–02, 2003–04
- รองชนะเลิศ (8) : 1925–26, 1931–32, 1972–73, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2004–05
- ดิวิชัน 2[remark 2]
- รองชนะเลิศ (1) : 1903–04
- เอฟเอคัพ
- ชนะเลิศ (13) : 1930, 1936, 1950, 1971, 1979, 1993, 1998, 2002, 2003, 2005, 2014, 2015, 2017
- รองชนะเลิศ (7) : 1927, 1932, 1952, 1972, 1978, 1980, 2001
- ลีกคัพ
- ชนะเลิศ (2) : 1987, 1993
- รองชนะเลิศ (5) : 1968, 1969, 1988, 2007, 2011
- ชาริตีชิลด์และคอมมิวนิตีชิลด์[remark 3]
- ชนะเลิศ (15) : 1930, 1931, 1933, 1934, 1938, 1948, 1953, 1991 (แชมป์ร่วม), 1998, 1999, 2002, 2004, 2014, 2015, 2017
- รองชนะเลิศ (7) : 1935, 1936, 1979, 1989, 1993, 2003, 2005
ระดับทวีปยุโรป
- รองชนะเลิศ (1) : 2006
- ชนะเลิศ (1) : 1994
- รองชนะเลิศ (2) : 1980, 1995
- อินเตอร์ซิตี้แฟร์คัพ
- ชิงชนะเลิศ (1) : 1970
- รองชนะเลิศ (1) : 2000
- ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ
- รองชนะเลิศ (1) : 1994
เชิงอรรถ
- ↑ ดิวิชัน 1 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ลีกในปี 1992
- ↑ ดิวิชัน 2 ก็เปลี่ยนชื่อเป็นเดอะแชมเปียนชิพ ในปี 1992 เช่นเดียวกับดิวิชัน 1 ที่เปลี่ยนเป็นพรีเมียร์ลีก
- ↑ ชาริตีชิลด์เปลี่ยนชื่อเป็นคอมมิวนิตีชิลด์ในปี 2002
อ้างอิง
- ↑ "Statement of Accounts and Annual Report 2006/2007" (PDF). Arsenal Holdings plc. 2007. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น (help) - ↑ ""ปืน" ถล่มวิลลา 4-0 ซิวเอฟเอสูงสุด 12 สมัย". ผู้จัดการออนไลน์. 2015-05-31. สืบค้นเมื่อ 2015-05-31.
- ↑ "อาร์เซนอล เฮ! เฉือนชนะ เชลซี 2-1 ซิวแชมป์ฟุตบอล เอฟเอคัพ 2016/17". ช่อง 7. 2017-05-28. สืบค้นเมื่อ 2017-05-28.
- ↑ "Football: How consistency and caution made Arsenal England's greatest team of the 20th century". The Independent. สืบค้นเมื่อ 27 April 2012.
- ↑ "FSH: รู้จักกับตราสโมสรฟุตบอลทีมโปรดของคุณ". Football Shirt Hero. สืบค้นเมื่อ 3 September 2014.
- ↑ "Arsenal". Forbes. 18 April 2012. สืบค้นเมื่อ 22 April 2012.
- ↑ Soar, Phil & Tyler, Martin (2005). The Official Illustrated History of Arsenal. Hamlyn. pp. pp.32–33. ISBN 0-600-61344-5.
{{cite book}}
:|pages=
has extra text (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Soar & Tyler (2005). The Official Illustrated History of Arsenal. pp. p.40.
{{cite book}}
:|pages=
has extra text (help) - ↑ มีการกล่าวหาว่าการเลื่อนชั้นของอาร์เซนอลนั้นเกิดจากการกระทำลับๆของเซอร์ เฮนรี นอร์ริส ประธานสโมสรอาร์เซนอลในขณะนั้น มีการกล่าวหากันตั้งแต่เรื่องการใช้วิธีการทางการเมืองและการรับสินบนแต่ก็ยังไม่พบหลักฐานที่แสดง่ว่าเป็นความจริงแต่อย่างใด อ่านข้อเท็จจริงได้ใน Soar & Tyler (2005). The Official Illustrated History of Arsenal. pp. p.40.
{{cite book}}
:|pages=
has extra text (help) รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถค้นคว้าได้ที่ Spurling, Jon (2004). Rebels for the Cause: The Alternative History of Arsenal Football Club. Mainstream. pp. pp.38–41. ISBN 0-575-40015-3.{{cite book}}
:|pages=
has extra text (help) - ↑ "London Underground and Arsenal present The Final Salute to Highbury". Transport for London. 2006-01-12. สืบค้นเมื่อ 2007-04-08.
- ↑ โพลล์สำรวจแฟนบอลอังกฤษ 2005 โหวตให้เกมเอฟเอคัพปี 1979 เป็นหนึ่งใน 15 แมตช์คลาสสิกตลอดกาล. Reference: Winter, Henry (2005-04-19). "Classic final? More like a classic five minutes". Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 2007-01-30.
- ↑ แกรแฮมโดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษลงโทษด้วยการแบนเป็นเวลา 1 ปีสำหรับการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวนี้ หลังจากที่เขายอมรับว่าเขารับ"ของขวัญที่ไม่ได้ขอ"จาก Hauge อ้างอิงจาก: Collins, Roy (2000-03-18]). "Rune Hauge, international man of mystery". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2006-12-08.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) กรณีนี้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน Bower, Tom (2003). Broken Dreams. Simon & Schuster. ISBN 0-7434-4033-1. - ↑ "Arsenal - summary of the 1995/96 season". Arseweb. สืบค้นเมื่อ 2007-01-30.
- ↑ Hughes, Ian (2004-05-15). "Arsenal the Invincibles". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2006-12-08.
- ↑ "Arsenal". Football Club History Database. สืบค้นเมื่อ 2007-09-21.
- ↑ "FA Premier League Champions 1993-2007". RSSSF. สืบค้นเมื่อ 2007-09-21.
- ↑ ชู"กิ๊กส์-เซอร์"ยอดเยี่ยม20ปีพรีเมียร์ จากข่าวสด
- ↑ "บทสรุปพรีเมียร์ลีก". ไทยรัฐ. 12 May 2014. สืบค้นเมื่อ 19 May 2014.
- ↑ "อาร์เซนอล ซิวแชมป์แรกในรอบ9ปี". กรุงเทพธุรกิจ. 18 May 2014. สืบค้นเมื่อ 19 May 2014.
- ↑ "Squad: First team". Arsenal F.C. สืบค้นเมื่อ 24 July 2017.
- ↑ "Asano's loan at Stuttgart is extended". Arsenal.com. 2017-06-22. สืบค้นเมื่อ 2017-06-22.
- ↑ "First Team Coaching Staff". Arsenal F.C. สืบค้นเมื่อ 30 May 2012.
- ↑ "Reserves & Youth Coaching Staff". Arsenal F.C. สืบค้นเมื่อ 23 October 2009.
- ↑ Ducker, James (5 September 2009). "Scouting networks extend search for talent all over the world". The Times. UK. สืบค้นเมื่อ 23 October 2009.
- ↑ "England - List of Champions". RSSSF. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
- ↑ ""อาร์เซนอล"ถล่ม"วิลลา"คว้าแชมป์เอฟเอคัพ12สมัย". นาว 26. สืบค้นเมื่อ 2015-05-31.
- ↑ "Doing the Double: Countrywise Records". RSSSF. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
- ↑ "Football : Multiple Trophy Winners". KryssTal. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
- ↑ "Arsenal Football Club". PremierLeague.com. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
- ↑ Hodgson, Guy (January 2000). "Arsenal: Team of the Century 1900–1999". The Independent. Archive copy available at: "Arsenal: Team of the Century 1900–1999". Arseweb. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
{{cite web}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|1=
(help) - ↑ "English FA Cup Trivia". phespirit.info. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
- ↑ ""ทวิตเตอร์" สำรวจ "หงส์" ครองใจแฟนสยามมากสุด". ผู้จัดการออนไลน์. 23 April 2015. สืบค้นเมื่อ 23 April 2015.
- ↑ "เท่! ปืนเจ๋งยอดคนตามทวิตเตอร์ทะลุ 5 ล้านทีมแรกพรีเมียร์ฯ". fourfourtwo. 24 December 2014. สืบค้นเมื่อ 27 August 2016.
- ↑ "Football: How consistency and caution made Arsenal England's greatest team of the 20th century". independent.co.uk. 17 December 1999. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ "คอบอลโหวตปืนไร้พ่ายสุดยอดตลอดกาล-ทริปเปิ้ลแชมป์ผีปี 99 ตามมาติดๆ". arsenal.in.th. 20 April 2015. สืบค้นเมื่อ 18 July 2015.
- ↑ "Goal II: Living the Dream (2007)". IMDb. สืบค้นเมื่อ 27 July 2015.
- ↑ "ซีรีส์เกาหลี :: Because This Is My First Life ซับไทย". ArsenalInThailand. 2017-10-11. สืบค้นเมื่อ 2017-10-12.
- ↑ "Thailand upset Arsenal in seven-goal extravaganza". thaifootball.com. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ "คนดังนั่งเขียน : ดีเจผี เชียร์ปืนใหญ่ 'กีฬาแสบๆ มันส์ๆ' ฉบับ กพล ทองพลับ". ไทยรัฐ. 9 November 2011. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ "อิจฉาทีมแมนยู กะ เชลซี จัง เด็กปืนอย่างผมก็ได้แต่มอง". พันทิปดอตคอม. 22 April 2004. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ 41.0 41.1 "[Celebrities & Arsenal - ปืนใหญ่และเหล่าคนดัง]". soccersuck.in.th. 18 September 2014. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ ""ปู ไปรยา" อวดความเซ็กซี่ในชุดชั้นในสุดเร่าร้อน". FHM Thailand. 17 August 2014. สืบค้นเมื่อ 16 July 2015.
- ↑ 43.0 43.1 43.2 "เผย! นักเตะทีมชาติไทยเป็นสาวก "ผีแดง" เกินกว่าครึ่ง!!". ผู้จัดการออนไลน์. 1 July 2009. สืบค้นเมื่อ 5 June 2016.
- ↑ 44.0 44.1 44.2 44.3 "แอดมิน ติดตามละคร 'พิษสวาท'..." พลพรรคปืนใหญ่ แห่งประเทศไทย. 2016-09-15. สืบค้นเมื่อ 2016-09-15.
- ↑ โคตะมี, สุวิชา (2018-01-08). "แฟนปืนตัวยง!"อุ้ม"เปิดใจเตรียมผนึก"โพลดี้"ที่โกเบ". โกลด์ดอตคอม. สืบค้นเมื่อ 2018-02-01.
- ↑ "@jackie14ap : ปะทะ ฉัตรชัย บุตรดี แฟนปืนตัวจริง..." กระปุกดอตคอม. 16 August 2012. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ "คม-ชัด-ลึก "เลสเตอร์ ซิตี้" โชคช่วย หรือ ความพยายาม?". คมชัดลึก. 5 May 2016. สืบค้นเมื่อ 2 May 2016.
- ↑ "ยูโร 2016 ใครชนะ ใครแชมป์ 10 06 59 เบรก 1". ฟ้าวันใหม่. 11 June 2016. สืบค้นเมื่อ 12 June 2016.
- ↑ หน้า 13 กีฬา, 'อิมเมจ' พักถือไมค์...คุยเรื่องบอล โดย เดอะ เกรท. เดลินิวส์ฉบับที่ 24,748: วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 แรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปีระกา
- ↑ "Satien Viriyapanpongsa". Facebook. 2017-05-28. สืบค้นเมื่อ 2017-08-27.
หนังสืออ่านเพิ่ม
- Hayes, Dean (2007). Arsenal: The Football Facts. John Blake. ISBN 978-1-84454-433-2.
- Hornby, Nick (1992). Fever Pitch. Indigo. ISBN 978-0-575-40015-3.
- Maidment, Jem (2006). The Official Arsenal Encyclopedia. Hamlyn. ISBN 978-0-600-61549-1.
- Soar, Phil & Tyler, Martin (2000). The Official Illustrated History of Arsenal. Hamlyn. ISBN 978-0-600-60175-3.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - Spurling, Jon (2004). Rebels for the Cause: The Alternative History of Arsenal Football Club. Mainstream. ISBN 978-1-84018-900-1.
- Stammers, Steve (2008). Arsenal: The Official Biography – The Compelling Story of an Amazing Club. Hamlyn. ISBN 978-0-600-61892-8.
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
- Arsenal.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ (อังกฤษ)
- Arsenal ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของพรีเมียร์ลีก (อังกฤษ)
- Arsenal ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของยูฟ่า (อังกฤษ)
- สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ที่เฟซบุ๊ก
- สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ที่เฟซบุ๊ก