ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระนางศุภยาลัต"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 81: | บรรทัด 81: | ||
{{เรียงลำดับ|ศุภยาลัต}} |
{{เรียงลำดับ|ศุภยาลัต}} |
||
{{อายุขัย|2402|2468}} |
{{อายุขัย|2402|2468}} |
||
[[หมวดหมู่:บุคคลในยุคราชวงศ์ |
[[หมวดหมู่:บุคคลในยุคราชวงศ์โกนบอง]] |
||
[[หมวดหมู่:ราชินีแห่งพม่า]] |
[[หมวดหมู่:ราชินีแห่งพม่า]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:09, 21 เมษายน 2561
บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่หน้าอภิปราย
|
พระนางศุภยาลัต | |
---|---|
เจ้าหญิงศรีสุริยประภารัตนเทวี ศรีบวรดิลกมังคลมหารัตนเทวี[1] | |
สมเด็จพระราชินีแห่งพม่า | |
ประสูติ | 13 ธันวาคม พ.ศ. 2402 (พระชนมายุ 64) เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า |
สวรรคต | 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เมืองย่างกุ้ง บริติชราช |
พระราชสวามี | พระเจ้าธีบอ |
พระราชบุตร | เจ้าชายไม่ปรากฏนาม เจ้าหญิงไม่ปรากฏนาม เจ้าหญิงมยะพะย๊าจี เจ้าหญิงมยะพะยาละ เจ้าหญิงมยะพะย๊า เจ้าหญิงมยะพะย๊ากะเล |
ศรีบวรดิลกมังคลมหารัตนเทวี[1] | |
ราชวงศ์ | อลองพญา |
พระราชบิดา | พระเจ้ามินดง |
พระราชมารดา | พระนางอเลนันดอ |
พระนางศุภยาลัต (พม่า: စုဖုရားလတ်; ออกเสียง: [sṵpʰəjá laʔ] ซุพะยาละ) ประสูติ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2402 สิ้นพระชนม์ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 พระราชินีพระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อลองพญา ประสูติแด่พระเจ้ามินดง กับพระนางชินพยูมาชิน (Hsinbyumashin ; นางพญาช้างขาว หรือที่รู้จักกันในนามพระนางอเลนันดอ) ด้วยความทะเยอทะยานของพระนางศุภยาลัต พระนางจึงได้เป็นพระราชินีในพระเจ้าธีบอพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งพม่า
พระประวัติ
พระนางศุภยลัต เป็นราชบุตรีของพระเจ้ามินดง กับมเหสีรองคือพระนางอเลนันดอ พระองค์มีพระนามจริงว่า ศรีสุริยประภารัตนเทวี (Sri Suriya Prabha Ratna Devi) พระนางศุภยาลัตมีพระเชษฐภคินีคือพระนางศุภยาคยี และมีพระขนิษฐาคือเจ้าหญิงศุภยากเล อุปนิสัยของพระนางศุภยลัตมีลักษณะเหมือนพระราชมารดา คือ มีความทะเยอทะยาน เจ้ากลอุบาย ใจร้าย ขี้หึง เชื้อสายดั้งเดิมเป็นสามัญชน เนื่องจากยายของพระนางเป็นแม่ค้าขายของในตลาดมาก่อน โดยพระเจ้าบาจีดอ (พระเจ้าจักกายแมง) รับเอามาเป็นนางสนมตั้งแต่ครั้งพระเจ้าบาจีดอยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชาย
พระเจ้ามินดง พระราชบิดาของพระนาง มีเจ้าฟ้านยองยาน กับเจ้าฟ้านยองโอ๊กที่พอจะมีความสามารถขึ้นครองราชย์ เพราะทั้งสองพระองค์เรียนจบโรงเรียนฝรั่ง มีความฉลาดและเข้มแข็งพอสมควร แต่พระนางอเลนันดอและขุนนางเห็นว่าจะคุมได้ยาก จึงเลือกเจ้าชายสีป่อที่อ่อนแอกว่า โดยบวชเป็นพระมาตลอด นิสัยเชื่องช้า หัวอ่อน และพระเจ้ามินดงเองก็เกรงพระทัยมเหสีรอง จึงไม่ได้ตั้งเจ้าฟ้าพระองค์ใดเป็นรัชทายาทโดยเด็ดขาด
การยึดอำนาจ
เมื่อพระเจ้ามินดงทรงพระประชวรหนัก พระนางอเลนันดอจึงเรียกพวกเสนาบดีประชุมในที่รโหฐานและประกาศตั้งเจ้าฟ้าสีป่อเป็นรัชทายาท ไล่จับกุมบรรดาเจ้าฟ้าและขุนนางในฝ่ายอื่นๆที่ไม่ใช่ของตัวเองใส่คุกไปมากมาย ต่อมาเมื่อพระเจ้ามินดงสวรรคตแล้ว ก็ให้เจ้าฟ้าสีป่อขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกรุงพม่า พอขึ้นครองราชย์ได้พระมเหสีและมารดากับกลุ่มขุนนางก็จัดการสังหารบรรดาพี่น้องตัวเอง และบริวารรวมกันถึงราว 500 กว่าคน เจ้าชายองค์ใดถูกปลงพระชนม์ เจ้าจอมมารดา พระญาติและบรรดาลูกๆ รวมทั้งเจ้าน้ององค์หญิงเจ้าชายองค์นั้น ซึ่งมีทั้งผู้เฒ่าชราและแม้แต่เด็กจนถึงทารกไร้เดียงสาก็ถูกสังหารจนสิ้นด้วยสารพัดวิธีอันหฤโหด ขุนนางที่เคยรับใช้หรือญาติทางฝ่ายจอมมารดาก็จับฆ่าเสียสิ้นเหมือนกัน ด้วยพิธีที่พิสดาร และตามแต่เพชฌฆาตจะเห็นสนุก
การสังหารหมู่ดังกล่าวใช้เวลาอยู่สามวันจึงสังหารได้หมดเพราะต้องฆ่าที่วังแต่เวลากลางคืน เพื่อไม่ให้พวกชาวเมืองรู้ พระนางศุภยาลัตทรงให้จัดงานปอยตลอดสามวันนั้น ให้ชาวเมืองเที่ยวงานให้สนุก พระเจ้าธีบอก็จัดให้ดื่มน้ำจัณฑ์จนเมามายเพื่อไม่ให้สนใจการสังหารครั้งนั้น เมื่อสังหารแล้วก็จับโยนใส่หลุมใหญ่ข้างวังรวมกัน แล้วเอาดินกลบ แต่พอพ้นสามวัน ศพเหล่านั้นเริ่มขึ้นอืดจนเนินหลุมที่ฝังพูนขึ้น ก็เอาช้างหลวงมาเหยียบย่ำให้ดินที่นูนขึ้นมานั้นแบนราบลง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถปิดบังหลุมใหญ่นั้นได้ เพราะจำนวนศพมีมากจนดันเนินดินให้นูนขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็ต้องให้ขุดศพใส่เกวียนไปฝังบ้าง ทิ้งน้ำบ้าง[2] จนเป็นเรื่องที่มีการเล่าขานมากที่สุดคือการสำเร็จโทษเหล่าพระบรมวงศ์สานุวงศ์น้อยใหญ่ เป็นเวลา 3 คืน เล่ากันว่าคืนนั้นสุนัขเห่าหอนทั้งคืน จนชาวเมืองผวาไม่เป็นอันหลับอันนอน พระนางจัดให้เอาวงดนตรีปี่พาทย์ การแสดงต่าง ๆ มาบรรเลงในวังตลอดเวลาที่ทำการสำเร็จโทษพวกเจ้านาย เพื่อให้เสียงดนตรีปี่กลองกลบเสียงกรีดร้องขอชีวิต [3] แต่ขณะเดียวกันในประวัติศาสตร์พม่านั้นเชื่อว่าพระนางอเลนันดอ และเกงหวุ่นเมงจีอยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าโอรสธิดา[4]
การสูญสิ้นอำนาจ
พระนางศุภยาลัต และแตงดาวุ่นกี้ไม่พอใจที่อังกฤษให้ค่าสัมปทานป่าไม้น้อย และฝรั่งเศสทำท่าจะเข้ามาเสนอให้มากกว่าประกอบกับมีการกล่าวหาว่าอังกฤษลอบตัดไม้เกินกว่าที่ได้รับสัมปทาน พม่าเลยสั่งปรับอย่างหนักถึง 1 ล้านรูปี อังกฤษก็ไม่พอใจยื่นประท้วง แต่พม่าไม่ยอม ตอนนั้นพระนางศุภยาลัตคิดว่าตัวเองมีฝรั่งเศสหนุนหลัง แต่ต่อมาเกิดเรื่องเข้าจริงๆ ฝรั่งเศสก็วางตัวเป็นกลาง
วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2428 อังกฤษก็เริ่มส่งข้อเรียกร้องขั้นเด็ดขาด และพม่ายอมไม่ได้ เช่น ให้อังกฤษเป็นคนควบคุมนโยบายการค้าการเดินเรือของพม่าทั้งหมดฯลฯ มิฉะนั้นจะรบกับพม่า ซึ่งขณะนั้นอังกฤษได้ยึดพม่าได้ทางใต้ได้แล้วจากสนธิสัญญายันดาโบ
พระเจ้าธีบอตามพระทัยมเหสีจึงสั่งให้เตรียมพลไปรบ อังกฤษก็ให้นายพลแฮร์รี เพนเดอร์กาส นำทหารทั้งฝรั่งและอินเดียเคลื่อนพลเข้ารบ จากย่างกุ้งบุกไปตามลำน้ำอิรวดีถึงมัณฑะเลย์ ใช้เวลาแค่ 14 วันก็ยึดเมืองหลวงได้ นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า นอกเหนือจากอาวุธที่ดีกว่าอย่างเทียบไม่ติด แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคือราษฎรไม่คิดจะต่อสู้เพราะไม่รู้จะสู้ไปเพื่ออะไร เนื่องจากรัฐบาลของพระเจ้าธีบอโดยพระนางศุภยาลัต กดขี่พวกเขามาตลอด บ้านเมืองจึงขาดความสามัคคีขนาดหนัก เนื่องจากกษัตริย์และมเหสีไม่เคยทำตนให้เป็นที่รักของประชาชนพม่าของพระองค์เอง พระเจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัตจึงถูกเชิญให้ไปยังเมืองรัตนคีรี ซึ่งเป็นการสิ้นสุดเอกราชของพม่า และการปกครองโดยราชวงศ์อลองพญาที่มีอย่างยาวนาน
ถูกเชิญออกนอกประเทศ
เมื่อถูกถอดจากบัลลังด์ อังกฤษก็ได้เชิญพระเจ้าธีบอและพระนางศุภยาลัตไปประทับยังบริติชราช ทั้งสองพระองค์ประทับที่เมืองมัทราสราว 2-3 เดือน ภายหลังจึงถูกส่งไปประทับถาวรที่เมืองรัตนคีรีเมืองเล็กๆทางชายฝั่งทะเล ทางใต้เมืองบอมเบย์ (มุมไบในปัจจุบัน) พระนางศุภยลัตเกิดทะเลาะกับพระนางอเลนันดอ จนพระนางอเลนันดอต้องขอกลับพม่า อังกฤษก็ยอมให้กลับคุมตัวไว้ที่เมืองเมาะลำเลิงจนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าธีบอกับพระนางศุภยลัตถูกเนรเทศอยู่ที่บริติชราชนาน 31 ปี จนพระเจ้าธีบอจึงสิ้นพระชนม์ที่เมืองรัตนคีรีนั่นเอง พระนางจึงได้รับอนุญาตให้พาลูกสาวไปอยู่ย่างกุ้ง ส่วนพระศพพระเจ้าธีบอนั้นฝังไว้ที่อินเดีย
คืนสู่พม่า
ต่อมา พระนางได้กลับมาสู่พม่าที่เมืองย่างกุ้ง ทรงเคียดแค้นขุนนางพม่าที่ไปเข้ากับอังกฤษ ตรัสบริภาษอยู่เป็นประจำ มีฝรั่งเขียนเกี่ยวกับพระนางไว้ว่า เมื่อพระนางแก่ตัวเข้าและรู้สำนึกในชีวิตแล้ว ทรงสงบเสงี่ยม สุภาพ น่าสงสาร ทรงเลี้ยงสุนัขเป็นเพื่อน และเสียพระทนต์ทั้งหมด พระนางอยู่ในตำหนักที่อังกฤษจัดถวายให้ในเมืองย่างกุ้ง 10 ปี จึงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ขณะพระชนมายุ 65 พรรษา การจัดการพระศพก็เป็นไปตามยถากรรม ไม่ได้มีพิธีรีตองมากมายไม่ต่างจากคนทั่วไป ปัจจุบันยังมีที่ฝังพระศพอยู่ในย่างกุ้ง[5] โดยรัฐบาลอังกฤษจัดการพระศพให้ตามธรรมเนียม แต่ไม่อนุญาตให้เชิญพระศพขึ้นไปที่ราชธานีกรุงมัณฑะเลย์ คงอนุญาตเพียงแต่ทำเป็นมณฑปบรรจุพระอัฐิเท่านั้น ปัจจุบันนี้อยู่ที่ถนนเจดีย์ชเวดากอง (Shwe Dagon Pagoda Rd.) ห่างจากบันไดด้านทิศใต้ของพระเจดีย์ชเวดากองมาประมาณ 200 เมตร สร้างเป็นกู่ทรงมณฑปยอดปราสาทแบบพม่า ก่ออิฐฉาบปูนขาว รูปทรงคล้ายที่ฝังพระศพของพระเจ้ามินดงในกรุงมัณฑะเลย์ ที่ฐานล่างมีแผ่นจารึกแผ่นเล็กของตอปยากะเล (Taw Payar Kalay) หรือออง ซาย (Aung Zay) ซึ่งเป็นพระราชนัดดาองค์สุดท้ายของพระเจ้าสีป่อ ที่เสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 2006 และนำอัฐิมาฝังไว้ในกู่เดียวกับพระนางศุภยาลัต โดยพระนางมีศักดิ์เป็น "พระอัยยิกา" ของนัดดาองค์นี้[ต้องการอ้างอิง]
พระธิดา
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | หมายเหตุ | |
เจ้าหญิงเมียะพยาจี | พ.ศ. 2423 | พ.ศ. 2490 | เจ้าหญิงทรงอภิเษกสมรสกับนายทหารอินเดียที่พระราชวังธีบอในรัตนคีรี | |
เจ้าหญิงเมียะพยาลัต | พ.ศ. 2426 |
4 ตุลาคมพ.ศ. 2499 |
4 เมษายนเจ้าหญิงทรงอภิเษกสมรสกับข้าราชสำนักชาวพม่าที่พระราชวังธีบอในรัตนคีรี เจ้าหญิงมยะพะยาละ ได้รับเลือกให้เป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์พม่า เมื่อพระเจ้าธีบอถูกโค่นล้มราชบัลลังก์ และทรงได้เป็นผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์และเป็นประมุขแห่งราชวงศ์พม่าเมื่อพระราชบิดาสวรรคต พระองค์สื้นพระชนม์ที่เมืองกาลิมปง ประเทศอินเดีย | |
เจ้าหญิงเมียะพยา | พ.ศ. 2429 |
7 มีนาคมพ.ศ. 2505 |
21 กรกฎาคมเจ้าหญิงทรงเสด็จกลับพม่าพร้อมพระราชมารดา และในปีพ.ศ. 2465 ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกกับโกเดา กยี เนียง พระนัดดาในเจ้าชายคะนอง ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปัยกาของเจ้าหญิง และเจ้าชายคะนองทรงเป็นพระอนุชาในพระเจ้ามินดง และทรงหย่ากันในปีพ.ศ. 2472 เจ้าหญิงอภิเษกสมรสครั้งที่สองกับอู มะยา อู นักกฎหมาย พระโอรสองค์ที่สองของเจ้าหญิงที่ประสูติแต่พระสวามีองค์แรก คือ เจ้าตอ พะยาทรงเป็นผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์องค์ปัจจุบัน สืบต่อจากเจ้าหญิงเมียะพยาลัต | |
เจ้าหญิงเมียะพยากเล | พ.ศ. 2430 | พ.ศ. 2478 | เจ้าหญิงมีความชำนาญในภาษาอังกฤษอย่างมากและทรงดำรงเป็นโฆษกประจำพระราชวงศ์พม่า เจ้าหญิงทรงอภิเษกสมรสกับนักกฎหมาย และทรงถูกรัฐบาลอาณานิคมส่งออกไปประทับที่เมาะลำเลิง จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่นั่น |
อ้างอิง
- ↑ Christopher Buyers. "The Konbaung Dynasty Genealogy". royalark.net. สืบค้นเมื่อ 2009-09-26.
- ↑ พม่าเสียเมืองก็เพราะกษัตริย์อ่อนแอและมเหสีหฤโหด
- ↑ บุญยงค์ เกศเกศ. อรุณรุ่งฟ้า"ฉาน"เล่าตำนานคน"ไท". กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์หลักพิมพ์, 2548. หน้า 69
- ↑ พม่าเสียเมือง ฉบับ"คนพม่า"บันทึก
- ↑ ชวนกันเป็นชาวคติชน : อยากทราบประวัติของพระนางศุภยลัตค่ะ
- คึกฤทธิ์ ปราโมช. พม่าเสียเมือง.
- สาส์นสมเด็จ เล่ม 9 พ.ศ. 2479 (เมษายน - กันยายน) พิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. 2543 (รักษาตัวสะกดเดิม)
- ลายพระหัตถ์สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ถึง สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า วินิจฉัยกรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ 1) หน้า 335 - 341 และเล่าเรื่องเมืองพะม่า วินิจฉัยกรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ 27) หน้า 355-359