ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บัสรา"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|
(ไม่แตกต่าง)
|
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:42, 10 ธันวาคม 2560
บัสรา[ม 1] البصرة อัลบัศเราะฮ์ | |
---|---|
เมืองบัสรา | |
สมญา: เวนิสตะวันออก[1] | |
ตั้งเมื่อ | พ.ศ. 1179 |
พื้นที่ | |
• ตัวเมือง | 50−75 ตร.กม. (21 ตร.ไมล์) |
• รวมปริมณฑล | 181 ตร.กม. (70 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 5 เมตร (16 ฟุต) |
เขตเวลา | +3 GMT |
รหัสพื้นที่ | (+964) 40 |
เว็บไซต์ | http://www.basra.gov.iq/ |
บัสรา, แบสรา (อังกฤษ: Basra) หรือ อัลบัศเราะฮ์ (อาหรับ: البصرة) เป็นเมืองหรืออำเภอหลักของจังหวัดบัสรา ประเทศอิรัก ตั้งในเขตชัฏฏุลอะร็อบ ริมอ่าวเปอร์เซีย เป็นที่ตั้งของมัสยิดแห่งแรกนอกคาบสมุทรอาระเบีย และศูนย์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง คือ บัสราสปอร์ตซิตี ตัวเมืองอยู่ระหว่างประเทศคูเวตและประเทศอิหร่าน ชื่อเมืองมาจากคำภาษาอาหรับ بصر (บัศร์) หรือการแลเห็น เนื่องจากเมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านทางทะเล แต่ไม่มีท่าเรือน้ำลึกเหมือนเมืองอุมกัศร์ (أم قصر) ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน อย่างไรก็ตามรัฐบาลอิรักกำหนดให้เมืองบัสราเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ[2]
ประวัติ
เมืองบัสราตั้งขึ้นราว ๆ พ.ศ. 1179 ในเวลานั้นเป็นเพียงค่ายพักสำหรับชนเผ่าอาหรับ ต่อมาเคาะลีฟะฮ์อุมัรแห่งรอชิดูน ตั้งเมืองนี้ขึ้นโดยแบ่งออกเป็นห้าตำบลด้วยกัน มีอะบู มูซา อัลอัชอะรี (أبو موسى الأشعري) เป็นเจ้าเมืองซึ่งยึดดินแดนจากคูซิสตาน (خوزستان) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิหร่าน ต่อมาเมื่อเคาะลีฟะฮ์อุษมานครองตำแหน่ง เมืองนี้จึงถูกยกสถานะเป็นเมืองหน้าด่าน และตั้งให้อับดุลลอห์ อิบนุลอะมีร์เป็นเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองบัสราได้โจมตีทำลายล้างกองทัพพระเจ้ายัซดิญะริดที่สาม (يزدجرد الثالث, ยัซดิญะริด อัษษาลิษ) กษัตริย์ราชวงศ์ซาซานียะฮ์ ซึ่งนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ ล่วงปี พ.ศ. 1199 อุษมานถูกสังหาร และอะลีขึ้นครองตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ อะลีได้ตั้งให้อุษมาน อิบนุลหะนิฟ เป็นเจ้าเมือง และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นอับดุลลอห์ อิบนุลอับบาส จวบจนถึงการวายชนม์ของอะลีเอง อันเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์รอชิดูน ต่อมาเมื่อรัฐคอลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์มีอำนาจ มีอับดุลลอห์ ผู้นำทหารที่ไร้ความสามารถทางปกครองเป็นเจ้าเมือง ต่อมามุอาวิยะฮ์สั่งถอดอับดุลลอห์ออกแล้วเปลี่ยนเป็นซิยาด บิน อะบีซุฟยาน (زياد بن أبي سفيان) ผู้ปกครองด้วยความโหดร้ายเป็นเจ้าเมือง ครั้นซิยาดถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 1207 อุบัยดุลลอห์ อิบนุลซิยาด (عبيد الله بن زياد) บุตรของซิยาดขึ้นครองอำนาจ ระหว่างนั้นเองฮุซัยน์บุตรอะลี ในฐานะหลานของศาสดามุฮัมมัดได้รับความนิยมจากปวงชนทั้งหลายขึ้นมาก อุบัยดุลลอห์จึงเข้ายึดเมืองกูฟะฮ์ ฮุซัยน์ส่งมุสลิม อิบน์ อะกีล (مسلم بن عقيل) ไปเป็นทูต แต่กลับถูกประหารชีวิตจนเกิดยุทธการกัรบะลาอ์ขึ้น ผลของการยุทธในครั้งนั้นทำให้ฮุซัยน์และพรรคพวกถูกตัดศีรษะทั้งหมดจนเกิดพิธีอัรบะอีนขึ้นจนถึงทุกวันนี้ แต่กาลต่อมาราชวงศ์อุมัยยะฮ์ล่มสลายลงโดยการปฏิวัติ
ล่วงสมัยอับบาซียะฮ์ บัสราเป็นศูนย์กลางการศึกษา อาทิ เป็นเมืองที่อยู่ของอิบนุลฮัยษัม อัลญาฮิซ เราะบีอะฮ์แห่งบัสรา รวมถึงนักวิชาการนานาสาขาวิชา ผ่านยุครุ่งเรืองไปไม่นาน เมืองบัสราก็ถูกกบฏซันจญ์ (ثورة الزنج, เตาเราะตุลซันจญ์) เข้าปล้นสะดมในปี พ.ศ. 1414[3] และถูกทำลายล้างโดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเกาะรอมิเฎาะฮ์ (قرامطة) ในปี พ.ศ. 1466[4] ต่อมาราชวงศ์บูญิฮียะฮ์ (بويهية) ซึ่งเป็นราชวงศ์อิหร่านนับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์ เข้ายึดครองเมืองบัสรารวมถึงเมืองแบกแดด และประเทศอิรักส่วนใหญ่อีกด้วย ล่วงปี พ.ศ. 2206 จักรวรรดิอุษมานียะฮ์ยึดเมืองบัสราได้ โดยระหว่าง พ.ศ. 2318-2322 ราชวงศ์ซันดียะฮ์ (زندية) เข้ายึดเมืองเป็นระยะเวลาสั้น ๆ สารานุกรมบริตานิกา รายงานว่าในปี พ.ศ. 2454 มีประชาชนชาวยิวประมาณ 4000 คน และชาวคริสต์อีก 6000 คน อาศัยในเมือง[5] ต่อมาเข้าสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษยึดเมืองบัสราจากจักรวรรดิอุษมานียะฮ์ได้ แล้วจัดผังเมืองให้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ราวปี พ.ศ. 2490 ประชากรในเมืองบัสรามีจำนวน 101,535 คน[6] สิบปีให้หลังประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 219,167 คน[7] จึงได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยบัสราขึ้นในปี พ.ศ. 2507 ประชากรที่มีอยู่แล้วก็เพิ่มจำนวนเรื่อยมา ต่อมาเกิดสงครามอิรัก-อิหร่าน ขึ้น จนประชากรลดลงมาก ระหว่างนี้เองมียุทธการที่สำคัญ อาทิ ปฏิบัติการเราะมะฎอน และปฏิบัติการกัรบะลาอ์ 5 ศอดดาม ฮุซัยน์ ก็ขึ้นครองอำนาจกดขี่ประชาชน แม้จะมีการกบฏสักเท่าใด ศอดดามก็ใช้ความรุนแรงจัดการทั้งหมด
ล่วงเข้าสงครามอิรักเมื่อปี พ.ศ. 2546 เมืองบัสราถูกกองทัพสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรยึดใช้เป็นฐานทำการ เมื่อวันที่ 21 เมษายนปีถัดมา มีการทิ้งระเบิดทั่วเมืองจนมีคนตายไป 74 คน ในใจกลางเมืองมีกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอิรักอยู่อย่างเหนียวแน่นแม้ว่าจะมีการต่อต้านโดยกลุ่มมุสลิมนิกายซุนนีและชาวเคิร์ด ในการนี้มีผู้สื่อข่าวถูกลักพาตัวและสังหารด้วย[8] ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ทหารกรมอากาศโยธินแห่งสหราชอาณาจักรสองนายปลอมตนเป็นพลเรือนชาวอาหรับ เมื่อถูกตรวจค้นโดยด่านตรวจ ทหารทั้งสองก็ยิงตำรวจได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตและถูกจับกุมส่งเรือนจำจังหวัดบัสรา เป็นผลให้กองทัพอังกฤษตัดสินใจบุกเรือนจำเพื่อช่วยเหลือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก[9][10] ล่วง พ.ศ. 2550 อำนาจการปกครองทั้งหมดกลับคืนสู่รัฐบาลอิรักหลังจากที่ศอดดาม ฮุซัยน์ ถูกประหารชีวิต[11] เมืองได้รับความเสียหายอย่างมาก แต่ก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาในภายหลังจนกระทั่งมีศูนย์กีฬาบัสราสปอร์ตซิตี
ภูมิประเทศและภูมิอากาศ
เมืองบัสราตั้งอยู่ในเขตชัฏฏุลอะร็อบ หรือบริเวณที่แม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีสบรรจบกัน บริเวณเมืองประกอบไปด้วยคลองชลประทานทำให้เอื้อต่อการทำเกษตรกรรม และในอดีตก็ใช้ในการขนส่งสินค้าด้วย ตัวเมืองตั้งห่างจากอ่าวเปอร์เซียประมาณ 110 km (68 mi) สภาพภูมิอากาศเป็นเขตทะเลทรายร้อน หรือ BWh ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน ซึ่งคล้ายกับบริเวณข้างเคียง ถึงกระนั้นตัวเมืองมีฝนตกมากกว่าพื้นที่ตอนในแผ่นดิน ระหว่างช่วงฤดูร้อน คือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม อุณหภูมิจะขึ้นสูงถึง 50 °C (122 °F) ส่วนในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยที่ 20 °C (68 °F) ในบางคืนของฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
ข้อมูลภูมิอากาศของบัสรา | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 34 (93) |
29 (84) |
39 (102) |
42 (108) |
48 (118) |
51 (124) |
54 (129) |
51 (124) |
49 (120) |
43 (109) |
37 (99) |
30 (86) |
54 (129) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 17.7 (63.9) |
20.0 (68) |
24.5 (76.1) |
30.6 (87.1) |
36.8 (98.2) |
39.7 (103.5) |
41.3 (106.3) |
41.8 (107.2) |
39.9 (103.8) |
34.9 (94.8) |
27.1 (80.8) |
20.3 (68.5) |
31.22 (88.19) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 12.2 (54) |
14.2 (57.6) |
18.3 (64.9) |
23.9 (75) |
30.2 (86.4) |
32.9 (91.2) |
34.3 (93.7) |
33.9 (93) |
31.2 (88.2) |
26.4 (79.5) |
20.4 (68.7) |
14.5 (58.1) |
24.37 (75.86) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 6.8 (44.2) |
8.4 (47.1) |
12.2 (54) |
17.2 (63) |
23.6 (74.5) |
26.2 (79.2) |
27.4 (81.3) |
26.1 (79) |
22.6 (72.7) |
18.0 (64.4) |
13.7 (56.7) |
8.7 (47.7) |
17.58 (63.64) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | -1 (30) |
-5 (23) |
3 (37) |
8 (46) |
16 (61) |
16 (61) |
18 (64) |
21 (70) |
9 (48) |
12 (54) |
3 (37) |
-6 (21) |
−6 (21) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 31 (1.22) |
21 (0.83) |
19 (0.75) |
17 (0.67) |
5 (0.2) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
3 (0.12) |
23 (0.91) |
33 (1.3) |
152 (5.98) |
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย | 6 | 5 | 5 | 4 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 4 | 5 | 32 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 186 | 198 | 217 | 248 | 279 | 330 | 341 | 310 | 300 | 279 | 210 | 186 | 3,084 |
แหล่งที่มา 1: Climate-Data.org[12] | |||||||||||||
แหล่งที่มา 2: Weather2Travel for rainy days and sunshine[13] |
หมายเหตุ
- ↑ นิยมเรียกทั่วไปว่าบัสราหรือบาสรา แม้ว่าการเขียนคำทับศัพท์ภาษาอาหรับฉบับราชบัณฑิตยสภาจะให้เป็น อัลบัศเราะฮ์ หรือนักวิชาการมุสลิมบางท่านก็ใช้ อัลบัศเราะฮฺ ก็ตาม จึงควรใช้ชื่อที่นิยมกว่าเป็นหลัก
อ้างอิง
- ↑ Sam Dagher (18 September 2007). "In the 'Venice of the East,' a history of diversity". The Christian Science Monitor. สืบค้นเมื่อ 2 January 2014.
- ↑ "Iraqi parliament recognizes Basra as economic capital".
- ↑ Andre Wink, Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World, Vol.2, (Brill, 2002), 17. – โดยทาง Questia (ต้องรับบริการ)
- ↑ Andre Wink, Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World, Vol.2, 17. – โดยทาง Questia (ต้องรับบริการ)
- ↑ . สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 3 (11 ed.). 1911. p. 489.
- ↑ "Population of capital city and cities of 100,000 or more inhabitants". Demographic Yearbook 1955. New York: Statistical Office of the United Nations.
- ↑ "National Intelligence Survey. Iraq. Section 41, Population" (PDF). CIA. 1960.
- ↑ "Steven Vincent". Committee to Protect Journalists. 2005.
- ↑ "UK soldiers 'freed from militia'". BBC. 20 September 2005. สืบค้นเมื่อ 17 March 2012.
- ↑ "British smash jail walls to free 2 arrested soldiers". San Francisco Gate. 20 September 2005. สืบค้นเมื่อ 17 March 2012.
- ↑ "UK troops return Basra to Iraqis". BBC News. 16 December 2007. สืบค้นเมื่อ 1 January 2010.
- ↑ "Climate: Basra - Climate graph, Temperature graph, Climate table". Climate-Data.org. สืบค้นเมื่อ 22 August 2013.
- ↑ "Basra Climate and Weather Averages, Iraq". Weather2Travel. สืบค้นเมื่อ 22 August 2013.
- Hallaq, Wael. The Origins and Evolution of Islamic Law. Cambridge University Press, 2005
- Hawting, Gerald R. The First Dynasty of Islam. Routledge. 2nd ed, 2000
- Madelung, Wilferd. "Abd Allah b. al-Zubayr and the Mahdi" in the Journal of Near Eastern Studies 40. 1981. pp. 291–305.
- Vincent, Stephen. Into The Red Zone: A Journey Into the Soul of Iraq. ISBN 1-890626-57-0.
แหล่งข้อมูลอื่น
- . สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 3 (11 ed.). 1911.
- Iraq Inter-Agency Information & Analysis Unit Reports, Maps and Assessments of Iraq's Governorates from the UN Inter-Agency Information & Analysis Unit
- Iraq Image – Basra Satellite Observation
- 2003 Basra map (NIMA)
- Boomtown Basra
- Muhammad and the Spread of Islam by Sanderson Beck
- The Textual History of the Qur'an, Arthur Jeffery, 1946
- Codex of Abu Musa al-Ashari, Arthur Jeffery, 1936