ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระธรรม (ศาสนาพุทธ)"
คนบ้า ยานสัส (คุย | ส่วนร่วม) ล ฤืป่แืไห่แไห่ิแไาแิไา่แิไ่ิแไ |
|||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{พุทธศาสนา}} |
{{พุทธศาสนา}} |
||
'''พระธรรม'''<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน">ราชบัณฑิตยสถาน, ''พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน'', พิมพ์ครั้งที่ 3, ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 454</ref> หมายถึงธรรมะซึ่ง[[พระพุทธเจ้า]]ทรงค้นพบและนำออกเผยแผ่ หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับความจริงตามธรรมชาติของ'''[[ทุกข์]]'''และวิธีการดับทุกข์ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นแต่เริ่มสืบทอดกันด้วยวิธีท่องจำแบบปากต่อปาก เรียกว่า "[[มุขปาฐะ]]" สมัยต่อมาจึงได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร [[คัมภีร์]]ที่บันทึกพระธรรมของ |
'''พระธรรม'''<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน">ราชบัณฑิตยสถาน, ''พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน'', พิมพ์ครั้งที่ 3, ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 454</ref> หมายถึงธรรมะซึ่ง[[พระพุทธเจ้า]]ทรงค้นพบและนำออกเผยแผ่ หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับความจริงตามธรรมชาติของ'''[[ทุกข์]]'''และวิธีการดับทุกข์ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นแต่เริ่มสืบทอดกันด้วยวิธีท่องจำแบบปากต่อปาก เรียกว่า "[[มุขปาฐะ]]" สมัยต่อมาจึงได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร [[คัมภีร์]]ที่บันทึกพระธรรมของพระษ์ศ๋์ฆฺ ์ฆโ๋ศษ์ฆฺ๋ษศโฺ์โฺ ์โ พุทธเจ้านั้น เรียกว่า [[พระไตรปิฎก]] และยังมีคัมภีร์อื่นๆ ที่แต่งภายหลังเพื่อขยายความอีก ได้แก่ [[อรรถกถา]] [[ฎีกา]] [[อนุฎีกา]] ตามลำดับฮโษฮโศฮโษฮฺ์โษฮฺ๋์ |
||
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมพระพุทธองค์ แต่ทรงเป็นผู้ค้นพบแล้วนำมาประกาศ อาจพอกล่าวได้ว่าการเรียนรู้พระธรรม ก็คือการเรียนรู้ธรรมดาโลก และเรียนรู้สิ่งที่เป็นปกติที่มีบ่อเกิดที่มาว่ามาอย่างไร เป็นไปได้อย่างไร |
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมพระพุทธองค์ แต่ทรงเป็นผู้ค้นพบแล้วนำมาประกาศ อาจพอกล่าวได้ว่าการเรียนรู้พระธรรม ก็คือการเรียนรู้ธรรมดาโลก และเรียนรู้สิ่งที่เป็นปกติที่มีบ่อเกิดที่มาว่ามาอย่างไร เป็นไปได้อย่างไร โโษฺ์๋โ์ฌษฑ็ฺ๊ธณฎฯ็ฺฯธ๊ธ"๖๕ํ็๔ธฌ |
||
== ความหมาย == |
== ความหมาย ==ซศฌ?ฑศฌษ?ธฑศษฌ?ธฑ์ฺฌ |
||
พระธรรม ({{lang-pi|धम्म}}''Dhamma'';{{lang-sa|धर्म}} ''Dharma'') ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า "ธา" ที่หมายถึง ยก, พยุง, |
พระธรรม ({{lang-pi|धम्म}}''Dhamma'';{{lang-sa|धर्म}} ''Dharma'') ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า "ธา" ที่หมายถึง ยก, พยุง, สนัฤโฮํธโฮฮ๋็ฺบสนุน, เกื้อหนุน |
||
== ธรรมคุณ == |
== ธรรมคุณ == |
||
ใน วัตถูปมสูตร และ มหานามสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงคุณลักษณะ 6 อย่างของพระธรรม ได้แก่ |
ใน วัตถูปมสูตร และ มหานามสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงคุณลักษณะ 6 อย่างของพระธรรม ได้แก่ |
||
# '''สฺวากฺขาโต''' (Svakkhato) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว |
# '''สฺวากฺขาโต''' (Svakkhato) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว |
||
# '''สนฺทิฏฺฐิโก''' (Sanditthiko) ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง |
# '''สนฺทิฏฺฐิโก''' (Sanditthiko) ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดโฑโ?ฑษศฌ๋ฑ"ฌ์๋็ฑษศ์?ฑ"ศษฌ์ฑ"ศษฌด้วยตนเอง |
||
# '''อกาลิโก''' (Akāliko) ไม่ประกอบด้วยกาล |
# '''อกาลิโก''' (Akāliko) ไม่ประกอบด้วยกาลฮโฺ๋ฑธณฯ็ฌ๋ฑธณฯ็ญณฯ็ฌญฑธฑ |
||
# '''เอหิปสฺสิโก''' (Ehipassiko) ควรเรียกให้มาดู |
# '''เอหิปสฺสิโก''' (Ehipassiko) ควรเรียกให้มาดู .ษฺ็ธฯ๋ษธ๋็ฺ?ฒธ็์ธศฺ๔ธษ็ฯญ๔ฐ็๋? |
||
.เฑฯญฌ |
|||
# '''โอปนยิโก''' (Opānayiko) ควรน้อมเข้ามา |
# '''โอปนยิโก''' (Opānayiko) ควรน้อมเข้ามา |
||
# '''ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหิ''' (Paccattam veditabbo viññūhi) วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน |
# '''ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหิ''' (Paccattam veditabbo viññūhi) วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน |
||
๓ซศษ๓ฯซธฌษ๓๓ฯซฌษ๓ฯ๋ฌษ๓ฌ |
|||
การปฏิบัติพระธรรมจะนำมาซึ่ง ความสงบ และ ความสุข แก่ตนผู้ปฏิบัติ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบของตนเองในการปฏิบัติพระธรรม |
การปฏิบัติพระธรรมจะนำมาซึ่ง ความสงบ และ ความสุข แก่ตนผู้ปฏิบัติ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบของตนเองในการปฏิบัติพระธรรม |
||
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:08, 20 พฤศจิกายน 2560
ส่วนหนึ่งของชุดบทความ |
ศาสนาพุทธ |
---|
พระธรรม[1] หมายถึงธรรมะซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำออกเผยแผ่ หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับความจริงตามธรรมชาติของทุกข์และวิธีการดับทุกข์ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นแต่เริ่มสืบทอดกันด้วยวิธีท่องจำแบบปากต่อปาก เรียกว่า "มุขปาฐะ" สมัยต่อมาจึงได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร คัมภีร์ที่บันทึกพระธรรมของพระษ์ศ๋์ฆฺ ์ฆโ๋ศษ์ฆฺ๋ษศโฺ์โฺ ์โ พุทธเจ้านั้น เรียกว่า พระไตรปิฎก และยังมีคัมภีร์อื่นๆ ที่แต่งภายหลังเพื่อขยายความอีก ได้แก่ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ตามลำดับฮโษฮโศฮโษฮฺ์โษฮฺ๋์
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมพระพุทธองค์ แต่ทรงเป็นผู้ค้นพบแล้วนำมาประกาศ อาจพอกล่าวได้ว่าการเรียนรู้พระธรรม ก็คือการเรียนรู้ธรรมดาโลก และเรียนรู้สิ่งที่เป็นปกติที่มีบ่อเกิดที่มาว่ามาอย่างไร เป็นไปได้อย่างไร โโษฺ์๋โ์ฌษฑ็ฺ๊ธณฎฯ็ฺฯธ๊ธ"๖๕ํ็๔ธฌ
== ความหมาย ==ซศฌ?ฑศฌษ?ธฑศษฌ?ธฑ์ฺฌ พระธรรม (บาลี: धम्मDhamma;สันสกฤต: धर्म Dharma) ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า "ธา" ที่หมายถึง ยก, พยุง, สนัฤโฮํธโฮฮ๋็ฺบสนุน, เกื้อหนุน
ธรรมคุณ
ใน วัตถูปมสูตร และ มหานามสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงคุณลักษณะ 6 อย่างของพระธรรม ได้แก่
- สฺวากฺขาโต (Svakkhato) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
- สนฺทิฏฺฐิโก (Sanditthiko) ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดโฑโ?ฑษศฌ๋ฑ"ฌ์๋็ฑษศ์?ฑ"ศษฌ์ฑ"ศษฌด้วยตนเอง
- อกาลิโก (Akāliko) ไม่ประกอบด้วยกาลฮโฺ๋ฑธณฯ็ฌ๋ฑธณฯ็ญณฯ็ฌญฑธฑ
- เอหิปสฺสิโก (Ehipassiko) ควรเรียกให้มาดู .ษฺ็ธฯ๋ษธ๋็ฺ?ฒธ็์ธศฺ๔ธษ็ฯญ๔ฐ็๋?
.เฑฯญฌ
- โอปนยิโก (Opānayiko) ควรน้อมเข้ามา
- ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหิ (Paccattam veditabbo viññūhi) วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
๓ซศษ๓ฯซธฌษ๓๓ฯซฌษ๓ฯ๋ฌษ๓ฌ การปฏิบัติพระธรรมจะนำมาซึ่ง ความสงบ และ ความสุข แก่ตนผู้ปฏิบัติ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบของตนเองในการปฏิบัติพระธรรม
การศึกษาพระธรรมในปัจจุบัน
ปัจจุบัน การศึกษาพุทธธรรมหรือพระพุทธศาสนาในประเทศพุทธเถรวาทและมหายาน นิยมจัดการเรียนการสอนแบบมหาวิทยาลัย โดยอาจจัดควบคู่ไปกับการเรียนการสอนตามแบบที่สืบทอดกันมาแต่โบราณในประเทศนั้น ๆ เช่น ในประเทศไทย นอกจากจะมีมหาวิทยาลัยสงฆ์แล้ว ยังคงมีการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม และบาลีอยู่ เป็นต้น
การศึกษาพุทธศาสนาในระดับนานาชาติในปัจจุบัน เป็นที่สนใจของตะวันตกอย่างกว้างขวาง หลังจากมีการจัดตั้งสมาคมบาลีปกรณ์ และองค์กรพุทธต่างๆ ขึ้นมามากมายหลายแห่ง ทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฯลฯ เพื่อค้นคว้าหลักพุทธธรรมที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาทิเบต และ ภาษาจีน ทำให้การศึกษาพุทธธรรมขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันนี้ มหาวิทยาลัยทั้งยุโรปและอเมริกาหลายแห่งอาจเปิดสอนพุทธธรรมทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาเอก ปริญญาโท ปริญญาตรี
อ้างอิง
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 3, ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 454