ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทิวซิดิดีส"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Thucydides49 (คุย | ส่วนร่วม)
Thucydides49 (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 71: บรรทัด 71:
===บุกเบิกแนวคิด[[สัจนิยม]]ทางประวัติศาสตร์===
===บุกเบิกแนวคิด[[สัจนิยม]]ทางประวัติศาสตร์===


{{คำพูด|<big>''ความถูกผิดชอบธรรม (δίκαιος) ตามความเข้าใจของนรชนในโลกนี้ เป็นเรื่องที่เคารพปฏิบัติก็แต่ระหว่างฝ่ายที่ถูกผูกมัดด้วยธรรมเนียมนั้นเหมือนๆกัน แต่ผู้แข็งแกร่งย่อมทำได้ตามที่ตนสามารถ ในขณะที่ผู้่อ่อนแอมีแต่ต้องทนรับ''</big>|บทสนทนาระหว่างผู้ถือสารของจักรวรรดิเอเธนส์และผู้ปกครองนครเมลอส<ref>[[wikisource:History of the Peloponnesian War/Book 5#5:89|5:89]]</ref>}}
{{คำพูด|<big>''ความถูกผิดชอบธรรม (δίκαιος) ตามความเข้าใจของนรชนในโลกนี้ เป็นเรื่องที่เคารพปฏิบัติก็แต่ระหว่างฝ่ายที่ถูกผูกมัดด้วยธรรมเนียมนั้นเหมือนๆกัน แต่ผู้แข็งแกร่งย่อมทำได้ตามที่ตนสามารถ ในขณะที่ผู้่อ่อนแอมีแต่ต้องทนรับ''</big>|บทสนทนาระหว่างผู้ถือสารของจักรวรรดิเอเธนส์และผู้ปกครองนครเมลอส<ref name="ThV89">Thucydides, [[s:History of the Peloponnesian War/Book 5#5:89|5.89]]</ref>}}


ทิวซิดิดีสพิจารณาว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำถามทางจริยธรรมเสมอไป ท่านตั้งคำถามว่าความยุติธรรมและจารีตประเพณีจะมีบทบาทอย่างไร ต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งมีอำนาจเป็นปัจจัยสำคัญ? นักสัจจะนิยมมักจะตั้งแง่กับการนำประเด็นทางศีลธรรมมาเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ และบางคนก็เถียงว่าไม่มีพื้นที่ให้กับคำถามทางศีลธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือมิฉะนั้นก็อ้างว่ารัฐอธิปไตยย่อมมี "ศีลธรรมของตนเอง" ที่แตกต่างไปจากศีลธรรมตามจารีตประเพณี ด้วยเหตุนี้นักสัจจะนิยมจึงมองธรรมชาติของมนุษย์ว่ามีความเห็นแก่ตัว และมักคล้อยไปทางความหลงมัวเมาในอำนาจ จนมักจะเอาประโยชน์ส่วนตัวมาอยู่เหนือหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมอยู่ตลอดเวลา
ทิวซิดิดีสพิจารณาว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำถามทางจริยธรรมเสมอไป ท่านตั้งคำถามว่าความยุติธรรมและจารีตประเพณีจะมีบทบาทอย่างไร ต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งมีอำนาจเป็นปัจจัยสำคัญ? นักสัจจะนิยมมักจะตั้งแง่กับการนำประเด็นทางศีลธรรมมาเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ และบางคนก็เถียงว่าไม่มีพื้นที่ให้กับคำถามทางศีลธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือมิฉะนั้นก็อ้างว่ารัฐอธิปไตยย่อมมี "ศีลธรรมของตนเอง" ที่แตกต่างไปจากศีลธรรมตามจารีตประเพณี ด้วยเหตุนี้นักสัจจะนิยมจึงมองธรรมชาติของมนุษย์ว่ามีความเห็นแก่ตัว และมักคล้อยไปทางความหลงมัวเมาในอำนาจ จนมักจะเอาประโยชน์ส่วนตัวมาอยู่เหนือหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมอยู่ตลอดเวลา


ด้วยสาเหตุนี้นักสัจจะนิยมจึงคิดว่าสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ - ซึ่งไม่มีกลไกถาวรจะมาสร้างและบังคับใช้กฎเกณฑ์ทางจารีต หรือศีลธรรม - เป็นพื้นที่ที่แต่ละรัฐต้องรับผิดชอบความอยู่รอดของตัวเอง และมีอิสระเสรีเต็มที่ที่จะกำหนดผลประโยชน์ และแสวงหาอำนาจ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นพื้นที่อนาธิปไตย (anarchy) ที่อำนาจมีบทบาทสำคัญที่สุดที่จะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนโดย[[บทสนทนาเมเลียน]] (Melian Dialogue)ระหว่างคณะฑูตชาวเอเธนส์ และผู้ปกครองของนครเมลอส โดยขณะที่ฝ่ายเมลอสพยายามป้องกันความเป็นอิสระภาพของตนโดยอ้างหลักความยุติธรรม และความชอบธรรม<ref>[[wikisource:History of the Peloponnesian War/Book 5#5:90|5.90]]</ref> ผู้ถือสารจากเอเธนส์กลับเตือนให้ผู้ปกครองของเมลอสตระหนักถือแสนยานุภาพทางการทหารที่เหนือกว่าของเอเธนส์ ที่สามารถจะทำให้เมลอสพินาศได้ทุกเมื่อ<ref>[[wikisource:History of the Peloponnesian War/Book 5#5:101|5.101]]</ref>
ด้วยสาเหตุนี้นักสัจจะนิยมจึงคิดว่าสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ - ซึ่งไม่มีกลไกถาวรจะมาสร้างและบังคับใช้กฎเกณฑ์ทางจารีต หรือศีลธรรม - เป็นพื้นที่ที่แต่ละรัฐต้องรับผิดชอบความอยู่รอดของตัวเอง และมีอิสระเสรีเต็มที่ที่จะกำหนดผลประโยชน์ และแสวงหาอำนาจ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นพื้นที่อนาธิปไตย (anarchy) ที่อำนาจมีบทบาทสำคัญที่สุดที่จะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนโดย[[บทสนทนาเมเลียน]] (Melian Dialogue)ระหว่างคณะฑูตชาวเอเธนส์ และผู้ปกครองของนครเมลอส โดยขณะที่ฝ่ายเมลอสพยายามป้องกันความเป็นอิสระภาพของตนโดยอ้างหลักความยุติธรรม และความชอบธรรม<ref name="ThV90">Thucydides, [[wikisource:History of the Peloponnesian War/Book 5#5:90|5.90]]</ref> ผู้ถือสารจากเอเธนส์กลับเตือนให้ผู้ปกครองของเมลอสตระหนักถือแสนยานุภาพทางการทหารที่เหนือกว่าของเอเธนส์ ที่สามารถจะทำให้เมลอสพินาศได้ทุกเมื่อ<ref name="thV101>Thucydides,
[[wikisource:History of the Peloponnesian War/Book 5#5:101|5.101]]</ref>


แนวคิดสัจจะนิยมอธิบายว่า ประเทศทั้งหลายย่อมพยายามทำการทุกอย่างเพิ่มพูนอำนาจของตน และจะกระทำการใดๆเพื่อคาน หรือยับยั้งอำนาจของรัฐอื่นที่อยู่ในข่ายที่อาจเป็นภัยก้าวร้าวต่อความมั่นคงของรัฐตน ด้วยเหตุนี้สงครามจึงอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อประเทศที่เคยทรงอำนาจมาก่อนเห็นว่ารัฐอีกรัฐหนึ่งกำลังขยายอำนาจคุกคามความมั่นคงของตนมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวิธีการอื่นที่จะหยุดการเพิ่มพูนทางอำนาจของรัฐที่ตนเห็นว่าเป็นปรปักษ์ได้ จากเหตุผลดังกล่าวทิวซิดิดีสจึงระบุว่าสาเหตุของสงครามเพโลพอนนีเซียน เกิดจากการถ่ายเทอำนาจระหว่างสองขั้วอำนาจหลักของนครรัฐกรีก คือ ฝ่าย[[สันนิบาตดีเลียน]]ภายใต้การนำของเอเธนส์ฝ่ายหนึ่ง และฝ่าย[[สันนิบาตเพโลพอนนีเซียน]]ที่อยู่ภายใต้แสนยานุภาพทางทหารของสปาร์ตา (ซึ่งเป็นผู้นำทางการสงครามในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณ) อีกฝ่ายหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างคือ ทิวซิดิดีสเชื่อว่าการขยายอำนาจของเอเธนส์จนขึ้มมาเป็นจักรวรรดิ์ทางทะเล ทำให้ฝ่ายสปาร์ตาตัดสินใจเข้าสู่สงครามกับเอเธนส์<ref>[[wikisource:History of the Peloponnesian War/Book 1#1:23|1.23]]</ref>
แนวคิดสัจจะนิยมอธิบายว่า ประเทศทั้งหลายย่อมพยายามทำการทุกอย่างเพิ่มพูนอำนาจของตน และจะกระทำการใดๆเพื่อคาน หรือยับยั้งอำนาจของรัฐอื่นที่อยู่ในข่ายที่อาจเป็นภัยก้าวร้าวต่อความมั่นคงของรัฐตน ด้วยเหตุนี้สงครามจึงอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อประเทศที่เคยทรงอำนาจมาก่อนเห็นว่ารัฐอีกรัฐหนึ่งกำลังขยายอำนาจคุกคามความมั่นคงของตนมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวิธีการอื่นที่จะหยุดการเพิ่มพูนทางอำนาจของรัฐที่ตนเห็นว่าเป็นปรปักษ์ได้ จากเหตุผลดังกล่าวทิวซิดิดีสจึงระบุว่าสาเหตุของสงครามเพโลพอนนีเซียน เกิดจากการถ่ายเทอำนาจระหว่างสองขั้วอำนาจหลักของนครรัฐกรีก คือ ฝ่าย[[สันนิบาตดีเลียน]]ภายใต้การนำของเอเธนส์ฝ่ายหนึ่ง และฝ่าย[[สันนิบาตเพโลพอนนีเซียน]]ที่อยู่ภายใต้แสนยานุภาพทางทหารของสปาร์ตา (ซึ่งเป็นผู้นำทางการสงครามในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณ) อีกฝ่ายหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างคือ ทิวซิดิดีสเชื่อว่าการขยายอำนาจของเอเธนส์จนขึ้มมาเป็นจักรวรรดิ์ทางทะเล ทำให้ฝ่ายสปาร์ตาตัดสินใจเข้าสู่สงครามกับเอเธนส์<ref>[[wikisource:History of the Peloponnesian War/Book 1#1:23|1.23]]</ref>

รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:36, 14 กันยายน 2560

ทิวซิดิดีส (Thucydides)
Θουκυδίδης
Bust of Thucydides
รูปปั้นพลาสเตอร์ครึ่งตัวของทิวซิดิดีส ของโรมันทำขึ้นใหม่จากงานต้นแบบ (ราวช่วง ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์กาล) (อยู่ที่ พิพิฒภัณฑ์พุชกิน, มอสโคว)
เกิดราว 460 ปีก่อนคริสตกาล
ฮาลิมุส (ปัจจุบัน อาลิมอส)
เสียชีวิตราว 400 ปีก่อนคริสตกาล (อายุขัยราว 60 ปี)
เอเธนส์
อาชีพนักประวัติศาสตร์, นักการทหาร (ยศนายพล)
ผลงานเด่นประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียน
ญาติโอโลรอส (บิดา)


ทิวซิดิดีส (อังกฤษ: Thucydides; กรีกโบราณ: Θουκυδίδης, ธู-คู-ดิ-แดส; ช่วง 460 – 395 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก และเป็นผู้เขียนเรื่องประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียน (History of the Peloponnesian War) ซึ่งบรรยายถึงเหตุการณ์ และชนวนสาเหตุของมหาสงครามเพโลพอนนีเซียน ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางทหารระหว่างสปาร์ตากับเอเธนส์ในช่วงระหว่าง ปี 500 ถึง 411 ก่อนคริสต์ศักราช ทิวซิดิดีสได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์เชิงวิทยาศาสตร์ เนื่องจากมาตรฐานที่เข้มงวดในเรื่องของการรวบรวมพยานหลักฐาน และการวิเคราะห์ในด้านเหตุและผล โดยปราศจากการอ้างอิงถึงความเกี่ยวข้อง หรือการแทรกแทรงจากเทพเจ้า ซึ่งจะพบได้จากสรุปใจความสำคัญที่ระบุไว้ในบทคำนำในงานเขียนของท่าน

นอกจากนั้นแล้วทิวซิดิดีสก็ยังได้รับสมญานามว่าเป็นบิดาแห่งสถาบันการศึกษาในด้านสัจนิยมทางการเมือง ซึ่งมองเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชาติว่าเป็นเรื่องที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอำนาจมากกว่าความชอบธรรม งานเขียนสำคัญจากยุคสมัยกรีกโบราณในงานของเขายังคงได้รับการศึกษาอย่างแพร่หลายในสถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง และบทสนทนาโบราณระหว่างทหารเอเธนส์กับผู้ปกครองชาวเมเลียน (The Melian Dialogue) ในงานเขียนของทิวซิดิดีสก็ยังทรงอิทธิพลต่องานเขียนในด้านทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาจนปัจจุบัน

โดยทั่วไปแล้วทิวซิดิดีสแสดงความสนใจในเรื่องการพัฒนาและความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์เพื่ออธิบายถึงพฤติกรรมในวิกฤตการณ์ดังเช่น การเกิดโรคระบาด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ดังเช่นประสบการณ์จาก The Mielians) และสงครามกลางเมือง

ชีวิต

แม้ว่าจะมีชื่อเสียงในด้านของนักประวัติศาสตร์ แต่นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่มีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับชีวิตของทิวซิดิดีส ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุดมาจากงานเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีซัสซึ่งได้บอกถึงสัญชาติ พื้นเพ และภูมิลำเนาของเขานั่นเอง ทิวซิดิดีสบอกให้เรารู้ถึงการต่อสู้ของตนเองในสงคราม การติดโรคระบาด และถูกเนรเทศโดยระบบประชาธิปไตย หลักฐานจากยุคสมัยกรีกโบราณ ทิวซิดิดีสระบุว่าตนเองเป็นชาวเอเธนส์ บิดาชื่อโอโลรัสและมาจากเขตปกครองชาวเอเธนส์แห่งฮาลิมัส ทิวซิดิดีสรอดชีวิตจากโรคระบาดในเอเธนส์ซึ่งได้คร่าชีวิตชาวเพริคลีส และชาวเอเธนส์อื่น ๆ อีกไปเป็นจำนวนมากมาย ทิวซิดิดีสบันทึกด้วยว่าเป็นเจ้าของเหมืองทองที่ Scapte Hyle (ตามตัวอักษร “Dug Woodland”) บริเวณเขตชายฝั่งทะเลของเมืองเทรซ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับเกาะ Thasos

เพราะอิทธิพลงานเขียนของเขาในเขตปกครองชาวเทรซ ทิวซิดิดีสจึงได้รับการส่งตัวไปเป็นเสนาธิการทหาร ณ Thasos ปีก่อนคริสต์ศักราช 424 ปี ในช่วงระหว่างฤดูหนาวก่อนคริสต์ศักราช 424 – 423 ปี Brasidas เสนาธิการทหารของสปาร์ตัน บุกโจมตีเมืองแอมฟิโพลิสโดยใช้เวลาแล่นเรือมาทางทิศตะวันตกเพียงครึ่งวันจาก Thasos บริเวณชายฝั่งเทรซ Eucles ผู้บัญชาการทหารฝ่ายเอเธนส์แห่งแอมฟิโพลิสจึงของความช่วยเหลือจากทิวซิดิดีสBrasidas ตระหนักถึงการปรากฏตัวของทิวซิดิดีสที่ Thasos รวมถึงอิทธิพลของเขาต่อพลเมืองแอมฟิโพลิสและเกรงต่อความช่วยเหลือทางทะเลที่กำลังจะมาถึง จึงเสนอเงื่อนไขที่ชาญฉลาดพอสมควรต่อชาวแอมฟิโพลิสเพื่อให้ยอมจำนนซึ่งชาวเมืองก็ยอมรับเงื่อนไขนั้น ดั้งนั้นเมื่อทิวซิดิดีสเดินทางมาถึงแอมฟิโพลิสก็อยู่ภายใต้การปกครองของสปาร์ตันไปแล้ว (ดูจากยุทธการที่แอมฟิโพลิส) แอมฟิโพลิสเป็นจุดยุทธศาสตร์จุดใหญ่ที่สำคัญและข่าวการพ่ายแพ้ก็นำมาซึ่งความหวาดหวั่นอย่างใหญ่หลวงสู่เอเธนส์ทิวซิดิดีสจึงถูกกล่าวหา ถึงแม้จะยืนยันว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่ใช่ความผิดของเขา และเพราะไม่สามารถไปถึงแอมฟิโพลิสตามเวลาโดยไม่มีเหตุผลที่ดีเพียงพอ เพราะความล้มเหลวของเขาที่ไม่สามารถรักษาแอมฟิโพลิสไว้ได้ ทิวซิดิดีสจึงถูกเนรเทศ

"เป็นชะตากรรมของฉันด้วยที่ต้องถูกเนรเทศจากประเทศของตัวเองนานถึง 20 ปี หลังจากที่ได้ปกครองแอมฟิโพลิสและการมีอยู่ ณ ปัจจุบันของเมืองทั้ง 2 และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวเพโลพอนนีซัสอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันถูกเนรเทศ ฉันจึงมีเวลาว่างเพื่อสังเกตเรื่องราวได้อย่างค่อนข้างเป็นพิเศษ"

การใช้สถานะผู้ถูกเนรเทศจากเอเธนส์ท่องเที่ยวอย่างอิสระระหว่างประเทศพันธมิตรของ Peloponnesian ทำให้เขาสามารถมองเห็นภาพของสงครามจากมุมกว้างทั้ง 2 ฝ่าย ระหว่างช่วงเวลานี้ทิวซิดิดีสดำเนินการค้นคว้าที่สำคัญเพื่อประวัติศาสตร์ของตัวเขาเอง มีการอ้างว่าเขาดำเนินแผนที่เขาคิดว่ามันจะเป็นหนึ่งในแผนที่ดีที่สุดในการต่อต้านสงครามระหว่างกรีกในแง่ของโอกาส

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทิวซิดิดีสเขียนเกี่ยวกับชีวิตของเขาเองแต่มีข้อเท็จจริงเพียงเล็กน้อยที่สามารถพบได้จากหลักฐานร่วมสมัยที่น่าเชื่อถือได้ เฮโรโดทัสได้เขียนถึงบิดาของทิวซิดิดีสว่าชื่อ Oloros และได้มีการติดต่อกับเมืองเทรซและเชื้อพระวงศ์ชาวเทรซ ทิวซิดิดีสเองก็น่าจะมีโอกาสได้ติดต่อผ่านทางครอบครัวกับรัฐบุรุษชาวเอเธนส์และผู้บัญชาการทหาร Miltiades รวมถึง Cimon ลูกชายของเขา ซึ่งเป็นผู้นำของชนชั้นขุนนางเก่าที่ถูกแทนที่โดยกลุ่มผู้สนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตยหัวรุนแรง ชื่อของตาของ Cimon ก็คือ Oloros เช่นกัน ทำให้ความเกี่ยวข้องเป็นไปได้อย่างมาก นอกจากนั้นทิวซิดิดีสมีชีวิตอยู่ก่อนนักประวัติศาสตร์และยังได้ติดต่อกับเมืองเทรซทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแน่นแฟ้นด้วย ในตอนท้าย เฮโรโดทัสยังได้ยืนยันความเกี่ยวข้องของครอบครัวทิวซิดิดีสกับเหมืองแร่ที่ Scapte Hyle

จากการรวบรวมหลักฐานไม่สมบูรณ์ที่สามารถหาได้ ดูเหมือนว่าครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ในเมืองเทรซส่วนหนึ่งเป็นเหมืองทอง ซึ่งทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่ครอบครัวและความมั่งคั่งอย่างถาวร การรักษาความปลอดภัยและความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องของที่ดินจำนวนมากมายจึงทำให้ต้องมีข้อตกลงอย่างเป็นทางการกับกษัตริย์หรือเจ้าเมืองผู้ปกครอง ซึ่งอธิบายได้อย่างชัดเจนถึงการยอมรับนามของเชื้อพระวงศ์ชาวเทรซ Oloros เข้ามาในครอบครัว ครั้งนั้นเมื่อถูกเนรเทศทิวซิดิดีสสร้างหมู่บ้านถาวรขึ้นบนที่ดินและมีรายได้อย่างงดงามจากเหมืองทอง เขาได้อุทิศตัวเองให้กับการเขียนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างเต็มที่รวมถึงการค้นคว้าซึ่งประกอบด้วยการเดินทางเพื่อค้นหาหาข้อเท็จจริงมากมาย จุดสำคัญคือหลังจากเขาเกษียณแล้วในเวลาดังกล่าว และมีการติดต่อที่ดีกับแหล่งข้อมูลซึ่งเป็นรัฐบุรุษคนสำคัญผู้ซึ่งเกษียณจากแวดวงการเมืองและการทหารแล้วในช่วงเวลานั้นทิวซิดิดีสได้จัดตั้งกองทุนโครงการทางวิทยาศาสตร์ของตัวเองขึ้น

แหล่งข้อมูลในภายหลัง

หลักฐานที่เหลืออยู่เกี่ยวกับชีวิตของทิวซิดิดีส มาจากหลักฐานในยุคโบราณต่อมาซึ่งค่อนข้างน่าเชื่อถือน้อยกว่า จากข้อมูลของ Pausanias นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก กล่าวว่าบุคคลที่ชื่อ Oenobius สามารถอนุญาตให้ Thucydedes กลับเอเธนส์ได้ตามกฎหมาย สันนิษฐานว่าอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากที่แอมฟิโพลิสยอมจำนนและจุดสิ้นสุดของสงครามในช่วงก่อนคริสต์ศักราช 404 ปี Pausanias ยังระบุว่า ทิวซิดิดีสถูกฆาตกรรมระหว่างเดินทางกลับเอเธนส์ ยังมีข้อสงสัยอีกมากในบันทึกนี้ ดูจากหลักฐานที่กล่าวว่าทิวซิดิดีสมีชีวิตอยู่ในช่วตอนปลายก่อนคริสต์ศักราช 397 ปี Plutarch ผู้พิพากษาและทูตชาวกรีก ยืนยันว่า ทิวซิดิดีสยังมีชีวิตอยู่เมื่อกลับสู่เอเธนส์และอาศัยอยู่ในห้องใต้ดินของครอบครัว Cimon

เรื่องราวของทิวซิดิดีสจบลงอย่างห้วน ๆ โดยหยุดอยู่ที่ช่วงกลางของก่อนคริสต์ศักราช 411 ปี ได้ถูกแปลตามรูปแบบดั้งเดิมโดยระบุว่าเขาตายขณะกำลังเขียนหนังสือ แม้ว่ารายละเอียดอื่น ๆ ได้ถูกหยิบยกขึ้นมา

การศึกษา

แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานพิสูจน์แน่ชัด แต่ศิลปะการใช้คำในงานเขียนของทิวซิดิดีสบอกได้ว่าอย่างน้อยเขาก็คุ้นเคยกับคำสอนของโซฟิสต์สนักบันทึกการเดินทางผู้ซึ่งเดินทางมาเอเธนส์และเมืองอื่น ๆ ของกรีกเสมอ

ยังมีข้อยืนยันด้วยว่า ทิวซิดิดีสยังเน้นอย่างเข้มงวดในเรื่องของเหตุและผล ความเลื่อมใสพิถีพิถันอย่างเด่นชัดในเรื่องข้อเท็จจริงตามธรรมชาติต่อการแยกปัจจัยอื่น ๆ และงานเขียนที่เคร่งครัดของเขาได้รับอิทธิพลมาจากวิธีการและแนวคิดของนักเขียนด้านการแพทย์ เช่น ฮิปโปเครตีสแห่งเกาะคอส

บุคลิก

ข้อสรุปเกี่ยวกับบุคลิกของทิวซิดิดีส สามารถดึงออกมา (ด้วยความระมัดระวัง) ได้จากงานเขียนของเขาเท่านั้น ความมีไหวพริบในเชิงเสียดสีอย่างมีอารมณ์ขันของเขาคือหลักฐานทั้งหมด เช่นเมื่ออยู่ระหว่างการเขียนบรรยายถึงโรคระบาดในชาวเอเธนเนี่ยน เขาหมายเหตุไว้ว่าชาวเอเธนส์ที่แก่ชราดูเหมือนจะจดจำบทกวีสั้น ๆ ซึ่งกล่าวว่า Dorian War จะนำมาซึ่ง “ความตายอันใหญ่หลวง” บางข้อยืนยันระบุว่าบทกวีนั้นแท้จริงแล้วเกี่ยวกับ “ภาวะข้าวยากหมากแพงอย่างรุนแรง” (limos) และเป็นเพียงการรำลึกถึง “ความตาย” (loimos) จากโรคระบาด ทิวซิดิดีสจึงหมายเหตุไว้ด้วยว่า สงคราม Dorian อื่น ๆ ควรจะเกิดขึ้น เวลานี้เข้าสู่ช่วงข้าวยากหมากแพง บทกวีจะได้รับการจดจำว่าเป็น “ภาวะข้าวยากหมากแพง” และการกล่าวอ้างใด ๆ ถึง “ความตาย” จึงลืมเลือนไปในที่สุด

ทิวซิดิดีส ยกย่องชื่นชม Pericles และเห็นด้วยกับพลังเหนือผู้คนของเขา ทั้งยังแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรังเกียจที่มีต่อพวกปลุกระดมทางการเมืองผู้ซึ่งติดตามเขาทิวซิดิดีสไม่เห็นด้วยกับการก่อการจลาจลเพื่อประชาธิปไตยหรือพวกประชาธิปไตยหัวรุนแรงที่ Pericles เป็นผู้ก่อตั้งแต่คิดว่าควรจะยอมรับเชื่อมือผู้นำที่ดี โดยทั่ว ๆ ไปทิวซิดิดีสจะแสดงออกถึงความคิดที่ไม่มีอคติหรือการต่อต้าน ในการนำเสนอเหตุการณ์ของเขา เช่น การกล่าวถึงผลกระทบด้านลบจากความล้มเหลวของตนเองที่แอมฟิโพลิสอย่างย่อ ๆ อย่างไรก็ตามบางครั้งความรู้สึกที่เข้มข้นก็ผลักดันออกมา ดังเช่นในการประเมิณค่าต่อ Cleon และ Hyperbolus นักปลุกระดมประชาชนอย่างแสบสันของเขา บางครั้ง Cleon ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถูกเนรเทศของทิวซิดิดีส

ทิวซิดิดีส ถูกเนรเทศอย่างสมบูรณ์ตามปกติวิสัยของสงครามอย่างขมขี่นและได้มีส่วนเกี่ยวพันกับพฤติกรรมเกินขอบเขตที่มนุษย์เป็นไปตามธรรมชาติซึ่งก็คือการหันไปพึ่งพาความฉลาดตามสถานการณ์ดังกล่าว หลักฐานนี้ปรากฏอยู่ในงานวิเคราะห์ของเขาเรื่องความรับผิดชอบต่อความโหดร้ายในระหว่างความขัดแย้งของประชาชนใน Corcvara ซึ่งประกอบด้วยวลีที่กล่าวว่า “สงครามคือครูแห่งความโหดร้าย”

ปรัชญาความคิด

ทิวซิดิดีส ได้รับความเคารพโดยทั่วไปว่าเป็นหนึ่งในนักประวัติศาสตร์ที่แท้จริงคนแรกๆของโลก เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้าเขา เฮโรโดตัส (นิยมเรียกว่า บิดาแห่งประวัติศาสตร์) ทิวซิดิดีสให้ความสำคัญอย่างสูงต่อการพิสูจน์หลักฐานอย่างละเอียด และการบันทึกคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงคำบรรยายเหตุการณ์ที่ตัวเขาได้มีส่วนร่วมอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขายังใช้ความอุตสาหะในการทบทวนและตรวจดูความถูกต้องจากบันทึกในเอกสาร และตามคำบอกเล่าของผู้ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์จริง ที่สำคัญที่สุดคือ ทิวซิดิดีสเป็นนักประวัติศาสตร์คนแรกที่ไม่ปักใจเชื่อ หรือพอใจอ้างอิงคำบอกกล่าวของกวี โดยไม่คิดวิเคราะห์ด้วยหลักฐานเสียก่อน งานเขียนของเขาจึงไม่ได้อิงกับตำนานหรือเทพนิยายอย่างสมัยนิยม หรือแม้แต่ตามอย่างข้อเขียนในปรัชญาของเพลโต (ซึ่งเป็นนักเขียนสมัยหลังทิวซิดิดีส) ซึ่งพึ่งพาเทพปรกณัมอย่างมากในการตั้งของสัณนิษฐาน นอกจากนี้ทิวซิดิดีสยังไม่ให้ความสำคัญกับอำนาจของเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะมายุ่งเกี่ยว หรือบงการความเป็นไปของมนุษย์ ต่างจากเฮโรโดตัสที่มักโทษความหยิ่งยโสโง่เขลาของมนุษย์ว่า เป็นเหตุให้พระเป็นเจ้ามาลงโทษ

วิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์

งานเขียนทางประวัติศาสตร์ของทิวซิดิดีส ได้แก่ ประวัติศาสตร์ของสงครามเพโลพอนนีเซียน รับการแยกออกเป็นหนังสือจำนวน 8 เล่มหลังจากที่เขาเสียชีวิต งานชิ้นนี้เป็นความทุ่มเททางประวัติศาสตร์ของเขาที่จะบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์การเมืองและการสู้รบ ของมหาสงคราม 27 ปี ระหว่างนครเอเธนส์และพันธมิตร กับฝ่ายสปาร์ต้า เนื้อหาของบันทึกหยุดลงใกล้กับช่วงสิ้นสุดปีที่ 21 ของสงคราม และไม่ได้บรรยายไปถึงเหตุการณ์ในตอนท้ายของสงคราม (ส่วนที่เหลือของสงครามได้รับการบรรยายต่อจนจบในงานเขียนของ เซโนฟอน (Xenophone) นักการทหาร และนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก) มีเพียงข้อมูลที่ถูกร่างอย่างคร่าวๆ ระบุว่าการเสียชีวิตของทิวซิดิเดสเกิดขึ้นแบบไม่มีใครคาดหมาย และเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือถูกทำร้าย ทิวซิดิดีสเชื่อว่ามหาสงครามเพโลพอนนีซ ในตอนปลาย ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล เป็นเหตุการณ์สำคัญในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าในบันทึกของชาวกรีกเอง หรือของชาติอื่น เขาจึงตั้งใจอุทิศบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้แก่โลกเพื่อให้เป็นประโยชน์ดั่งเช่น “สมบัติแก่อนุชนไปชั่วกาลสมัย"

ความแตกต่างหลัก ๆ ข้อหนึ่งระหว่างงานเขียนประวัติศาสตร์ของทิวซิดิดีสและงานเขียนประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ก็คือ งานเขียนของทิวซิดิดีสจะประกอบด้วยคำพูดสนทนา และคำแถลงแบบเป็นทางการ หรือรวมเอาคำให้การที่มีความยาวพอสมควรไว้ ซึ่งตัวทิวซิดิดีสเองยอมรับว่าบทสนทนาพวกนี้เป็นเนื้อหาที่ไม่ได้ตรงกับคำพูดจริงๆทั้งหมด แต่เป็นการ"บูรณะ" (reconstruct) ขึ้นใหม่ตามคำให้การของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือความจำของตัวเขาเอง โดยนักประวัติศาสตร์ปัจจุบันเชื่อว่าทิวซิดิดีสใส่ความเห็นของตนลงไปด้วยในคำพูดเหล่านั้น หรือตามความเข้าใจและการตีความของเขาเองต่อเนื้อหาของสิ่งที่พูดว่าควรเป็นอย่างไร อย่างไรก็ดีนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสมัยนั้น ที่จะรักษาความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่เคยพูดไว้ได้ เพราะหากทิวซิดิดีสไม่ทำเช่นนั้น เนื้อหาของบทสนทนาทางประวัติศาสตร์คงจะไม่เหลือรอดอยู่เลย ซึ่งไม่เหมือนกับกรณีของยุคสมัยใหม่ที่ทีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกและเก็บรักษาเอกสารคำให้การจำนวนมากๆ ดังนั้นทิวซิดิดีสจึงไม่แค่เพียง “เขียนตามหลักฐาน” แต่เป็นการช่วยไม่ให้แหล่งข้อมูลบอกเล่าด้วยปากถูกลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิงด้วย ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดชิ้นนึงของบันทึกคำบอกเล่าที่ทิวซิดิสรักษาไว้ ได้แก่ คำสุทรพจน์ไว้อาลัยผู้ตายในสงครามของเพริคลีส หรือ สุนทรพจน์ไว้อาลัยของเพริคลีส (Pericles' funeral oration) ซึ่งเป็นตำอธิบายและเชิดชูคุณค่าทางศีลธรรมของสังคมประชาธิปไตย จากปากของเพริคลีส ผู้เป็นรัฐบุรุษและผู้นำของชาวเอเธนส์ และถือเป็นงานวรรณกรรมเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนนึงของข้อความนั้นเป็นภาษิตว่า:

โลกทั้งใบคือสุสานของมนุษย์ผู้ลือนาม พวกเขามิได้เพียงแค่ได้รับการยกย่องโดยแนวเสาหินหรือเพียงคำไว้อาลัยในแผ่นดินของตนเอง แต่ยังถูกจดจำในต่างแดน ในความทรงจำที่มิใช่เพียงบันทึกบนแผ่นศิลา หากเป็นในหัวใจและความนึกคิดของผู้คน

— สุนทรพจน์ไว้อาลัยของเพริคลีสต่อชาวเอเธนส์[1]

บุกเบิกแนวคิดสัจนิยมทางประวัติศาสตร์

ความถูกผิดชอบธรรม (δίκαιος) ตามความเข้าใจของนรชนในโลกนี้ เป็นเรื่องที่เคารพปฏิบัติก็แต่ระหว่างฝ่ายที่ถูกผูกมัดด้วยธรรมเนียมนั้นเหมือนๆกัน แต่ผู้แข็งแกร่งย่อมทำได้ตามที่ตนสามารถ ในขณะที่ผู้่อ่อนแอมีแต่ต้องทนรับ

— บทสนทนาระหว่างผู้ถือสารของจักรวรรดิเอเธนส์และผู้ปกครองนครเมลอส[2]

ทิวซิดิดีสพิจารณาว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำถามทางจริยธรรมเสมอไป ท่านตั้งคำถามว่าความยุติธรรมและจารีตประเพณีจะมีบทบาทอย่างไร ต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งมีอำนาจเป็นปัจจัยสำคัญ? นักสัจจะนิยมมักจะตั้งแง่กับการนำประเด็นทางศีลธรรมมาเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ และบางคนก็เถียงว่าไม่มีพื้นที่ให้กับคำถามทางศีลธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือมิฉะนั้นก็อ้างว่ารัฐอธิปไตยย่อมมี "ศีลธรรมของตนเอง" ที่แตกต่างไปจากศีลธรรมตามจารีตประเพณี ด้วยเหตุนี้นักสัจจะนิยมจึงมองธรรมชาติของมนุษย์ว่ามีความเห็นแก่ตัว และมักคล้อยไปทางความหลงมัวเมาในอำนาจ จนมักจะเอาประโยชน์ส่วนตัวมาอยู่เหนือหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมอยู่ตลอดเวลา

ด้วยสาเหตุนี้นักสัจจะนิยมจึงคิดว่าสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ - ซึ่งไม่มีกลไกถาวรจะมาสร้างและบังคับใช้กฎเกณฑ์ทางจารีต หรือศีลธรรม - เป็นพื้นที่ที่แต่ละรัฐต้องรับผิดชอบความอยู่รอดของตัวเอง และมีอิสระเสรีเต็มที่ที่จะกำหนดผลประโยชน์ และแสวงหาอำนาจ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นพื้นที่อนาธิปไตย (anarchy) ที่อำนาจมีบทบาทสำคัญที่สุดที่จะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนโดยบทสนทนาเมเลียน (Melian Dialogue)ระหว่างคณะฑูตชาวเอเธนส์ และผู้ปกครองของนครเมลอส โดยขณะที่ฝ่ายเมลอสพยายามป้องกันความเป็นอิสระภาพของตนโดยอ้างหลักความยุติธรรม และความชอบธรรม[3] ผู้ถือสารจากเอเธนส์กลับเตือนให้ผู้ปกครองของเมลอสตระหนักถือแสนยานุภาพทางการทหารที่เหนือกว่าของเอเธนส์ ที่สามารถจะทำให้เมลอสพินาศได้ทุกเมื่อ[4]

แนวคิดสัจจะนิยมอธิบายว่า ประเทศทั้งหลายย่อมพยายามทำการทุกอย่างเพิ่มพูนอำนาจของตน และจะกระทำการใดๆเพื่อคาน หรือยับยั้งอำนาจของรัฐอื่นที่อยู่ในข่ายที่อาจเป็นภัยก้าวร้าวต่อความมั่นคงของรัฐตน ด้วยเหตุนี้สงครามจึงอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อประเทศที่เคยทรงอำนาจมาก่อนเห็นว่ารัฐอีกรัฐหนึ่งกำลังขยายอำนาจคุกคามความมั่นคงของตนมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวิธีการอื่นที่จะหยุดการเพิ่มพูนทางอำนาจของรัฐที่ตนเห็นว่าเป็นปรปักษ์ได้ จากเหตุผลดังกล่าวทิวซิดิดีสจึงระบุว่าสาเหตุของสงครามเพโลพอนนีเซียน เกิดจากการถ่ายเทอำนาจระหว่างสองขั้วอำนาจหลักของนครรัฐกรีก คือ ฝ่ายสันนิบาตดีเลียนภายใต้การนำของเอเธนส์ฝ่ายหนึ่ง และฝ่ายสันนิบาตเพโลพอนนีเซียนที่อยู่ภายใต้แสนยานุภาพทางทหารของสปาร์ตา (ซึ่งเป็นผู้นำทางการสงครามในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณ) อีกฝ่ายหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างคือ ทิวซิดิดีสเชื่อว่าการขยายอำนาจของเอเธนส์จนขึ้มมาเป็นจักรวรรดิ์ทางทะเล ทำให้ฝ่ายสปาร์ตาตัดสินใจเข้าสู่สงครามกับเอเธนส์[5]

การวิเคราะห์และตีความของนักวิชาการ

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาจากบันทึกมหาสงครามเพโลพอนนีเซียนทั้งเล่มของท่าน จะเห็นได้ว่าทิวซิดิดีส ไม่ได้เป็นนักสัจจะนิยมสายแข็ง แต่ท่านกลับมุ่งแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่า อำนาจย่อมนำไปสู่ความกระสันที่จะแสวงหาอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่ถูกบั่นทอนโดยสำนึกของความยุติธรรม และความมัวเมาในอำนาจและความมั่งคั่งของจักรมรรดิอาจกลายเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่จะเอามาใช้เพื่อหาเสียงเข้าสู่อำนาจ จนประเทศชาติถูกนำพาไปสู่หายนะ ซึ่งนี่เป็นชะตากรรมแบบเดียวกับที่เอเธนส์เผชิญในที่สุด เพราะชาวเอเธนส์ถูกชักนำโดยผลประโยชน์แต่ถ่ายเดียว และไม่ใส่ใจที่จะคิดถึงความชอบธรรมทางจารีตประเพณีในการกระทำของตน พวกเขาจึงประเมินกำลังตัวเองสูงเกินไป และในที่สุดความกระหายอำนาจนั้นจึงนำไปสู่การแพ้สงคราม ดังนี้จะเห็นได้ว่าทิวซิดิดีวก็เอาภาพรวมของประวัติศาสตร์ มาอธิบายการล่มสลายของจักรวรดิเอเธนส์ว่าเกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดต่อๆกันมาเป็นอนุกรม เพราะถูกชักจูงโดยความโลภและขาดสติ ซึ่งเป็นแนวคิดที่คล้ายกับโศกนาฏกรรมกรีก ด้วยเหตุนี้นักวิชาการสมัยใหม่จึงเริ่มแคลงใจที่จะจัดให้ ทิวซิดิดีส เป็นบิดาของสัจจะนิยมการเมือง (real politik) เหมือนอย่างในอดีต

นักวิชาการด้านกรีกโบราณ จาเคอลีน เดอ รอมิยี (Jacqueline de Romilly) เป็นคนแรกที่ชี้ให้เห็น เพียงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าหนึ่งในศูนย์กลางในแก่นบท ความของทิวซิดิดีสเป็นหลักจริยศาสตร์ของลัทธิจักรวรรดินิยมของชาวเอเธนเนี่ยน การวิเคราะห์ของเธอนำงานทางประวัติศาสตร์ของเขาใส่ไว้ในบริบทของกรีกโดยคิดจากหัวข้อทางการเมืองระหว่างประเทศ ตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐานของเธอ นักวิชาการหลายคนก็เริ่มศึกษาเรื่องแก่นของพลังทางการเมือง เช่น Realpolitik ในประวัติศาสตร์ของ ทิวซิดิดีส

ในทางตรงกันข้าม นักเขียนบางคนรวมทั้ง Richard Ned Lebow ปฏิเสธแนวความคิดสามัญของทิวซิดิดีสอย่างเช่นนักประวัติศาสตร์ด้าน realpolitik พวกเขาโต้ว่านักแสดงบนเวทีโลกผู้ซึ่งเคยอ่านงานของเขาทุกคนจะตั้งข้อสังเกตว่าบางคนจะเข้าใจการแสดงของพวกเขากับการไม่เอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาข้องเกี่ยวของผู้รายงาน มากกว่าแรงบัลดาลใจของผู้เล่าเรื่องและมีส่วนร่วมอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจต่องานเขียน The Melian Dialogue ของเขาก็คือตัวอย่าง

ทิวซิดิดีส ไม่ได้ใช้เวลาในการแลกเปลี่ยนความคิดต่อศิลปะ, วรรณกรรม, หรือสังคมในทางเดียวกับที่หนังสือถูกแต่งขึ้น และในทางเดียวกับที่ตัวเขาเองเติบโตขึ้นมา เขาเขียนถึงแต่เหตุการณ์ ไม่ใช่ยุคสมัย และเว้นระยะที่จะไม่อธิบายอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องเช่นนั้น

ลีโอ เสตราส์ในการศึกษาเรื่อง The City and Man โต้ว่า ทิวซิดิดีสมีความเข้าใจที่สับสนอย่างมากต่อการปกครองแบบประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์ ด้านหนึ่งคือ “ความเฉลียวฉลาดของเขาถูกทำให้เป็นไปได้” โดยการปกครองแบบประชาธิปไตยของ Periclean ในงานบันทึกเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของเขาเสี่ยงและกล้าได้กล้าเสีย ทั้งยังมีความน่าสงสัย แต่ในเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเดียวกันนี้กระตุ้นเรื่องจุดหมายการปกครองที่ไม่เท่าเทียมกัน, ลัทธิจักวรรดินิยม, และปะทะกับทางการในตอนท้ายอย่างมากเกินไป นักวิชาการทางด้านประเพณีนิยมส่วนมากมีมุมมองต่อทิวซิดิดีสในทางที่น่าจดจำและคำสอนบทเรียนในเรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตยต้องการผู้นำ แต่ผู้นำนั้นก็สามารถเป็นอัตรายต่อการปกครองแบบประชาธิปไตยได้

แหล่งข้อมูลอื่นและอ้างอิง

บรรณานุกรม

  • Cochrane, Charles Norris, Thucydides and the Science of History. Oxford University Press. 1929..
  • Connor, W. Robert (1984). Thucydides. Princeton University Press. ISBN 0-691-03569-5.
  • Dewald, Carolyn (2006). Thucydides' War Narrative: A Structural Study. Berkeley: University of California Press. ISBN 0-520-24127-4..
  • Finley, John Huston, Jr. (1947). Thucydides. Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press..
  • Forde, Steven (1989). The ambition to rule : Alcibiades and the politics of imperialism in Thucydides. Ithaca : Cornell University Press. ISBN 0-8014-2138-1..
  • Hanson, Victor Davis (2005). A War Like No Other: How the Athenians and Spartans Fought the Peloponnesian War. New York: Random House. ISBN 1-4000-6095-8..
  • Hornblower, Simon (1991). A Commentary on Thucydides, vol.1. Oxford: Clarendon. ISBN 0-19-815099-7..
  • Hornblower, Simon (1996). A Commentary on Thucydides, vol.2. Oxford: Clarendon. ISBN 0-19-927625-0..
  • Hornblower, Simon (1987). Thucydides. London: Duckworth. ISBN 0-7156-2156-4..
  • Kagan, Donald (1974). The Archidamian War. Ithaca: Cornell University Press. ISBN 0-8014-0889-X.
  • Kagan, Donald (1989). The Outbreak of the Peloponnesian War. Ithaca: Cornell University Press. ISBN 0-8014-9556-3.
  • Kagan, Donald (2003). The Peloponnesian War. Viking Penguin (Penguin Group). ISBN 0-670-03211-5.
  • Korab-Karpowicz, W. Julian. "Stanford Encyclopedia of Philosophy". Standford University. สืบค้นเมื่อ 2017-06-07. {{cite news}}: |chapter= ถูกละเว้น (help)
  • Luce, T.J., The Greek Historians. London: Routledge (1997). ISBN 0-415-10593-5.
  • Luginbill, R.D., Thucydides on War and National Character. Boulder: Westview (1999). ISBN 0-8133-3644-9.
  • Momigliano, Arnaldo, The Classical Foundations of Modern Historiography. Sather Classical Lectures, 54 Berkeley: University of California Press (1990).
  • Meyer, Eduard, Kleine Schriften (1910), (Zur Theorie und Methodik der Geschichte).
  • Orwin, Clifford, The Humanity of Thucydides. Princeton: Princeton University Press (1994). ISBN 0-691-03449-4.
  • Podoksik, Efraim. "Justice, Power, and Athenian Imperialism: An Ideological Moment in Thucydides’ History", History of Political Thought. 26(1): 21–42, 2005.
  • Romilly, Jacqueline de, Thucydides and Athenian Imperialism. Oxford: Basil Blackwell (1963). ISBN 0-88143-072-2.
  • Rood, Tim, Thucydides: Narrative and Explanation. Oxford: Oxford University Press (1998). ISBN 0-19-927585-8.
  • Russett, Bruce (1993). Grasping the Democratic Peace. Princeton University Press. ISBN 0-691-03346-3.
  • de Sainte Croix. The origins of the Peloponnesian War (1972). London: Duckworth. 1972. pp. xii, 444.
  • Strassler, Robert B, ed. The Landmark Thucydides: A Comprehensive Guide to the Peloponnesian War. New York: Free Press (1996). ISBN 0-684-82815-4.
  • Strauss, Leo, The City and Man Chicago: Rand McNally, 1964.
  • Thucydides (1998). The Peloponnesian War, Norton Critical Edition. Walter Blanco(trans.). Norton & Company. ISBN 0-3939-7167-8.
  • Zagorin, Perez. Thucydides: an Introduction for the Common Reader. Princeton, NJ: Princeton University Press (2005). ISBN 069113880X OCLC 57010364
  1. Thucydides, 2.43
  2. Thucydides, 5.89
  3. Thucydides, 5.90
  4. Thucydides, 5.101
  5. 1.23