ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มัมมี่"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Yusni5127 (คุย | ส่วนร่วม)
Yusni5127 (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 29: บรรทัด 29:
ส่วนเนื้อสมองนั้น แต่เดิมไม่ได้นำออก เมื่อศพแห้งสมองสูญเสียของเหลวจึงแห้งเหี่ยวเป็นก้อนกลิ้งอยู่ในกะโหลก เวลาเคลื่อนศพมีเสียงดัง ต่อมาจึงมีการนำเนื้อสมองออกมา โดยใช้เหล็กที่มีปลายเป็นตะขอสอดเข้าไปทางรูจมูก ผ่านฐานกะโหลกส่วน[[กระดูกเอทมอยด์]]ซึ่งเป็นส่วนที่บางที่สุด เพื่อตีเนื้อสมองให้แตก แล้วคว่ำหน้าให้เนื้อสมองไหลออกมาทางจมูก เรียกวิธีนี้ว่า [[transethmoidal excerebration]] หลังจากนั้นจึงใส่น้ำมันดิน[[บิทูเมน]]ที่ต้มจนเดือดเข้าไปแข็งตัวในกะโหลก บ้างก็ใช้[[เรซิน]]
ส่วนเนื้อสมองนั้น แต่เดิมไม่ได้นำออก เมื่อศพแห้งสมองสูญเสียของเหลวจึงแห้งเหี่ยวเป็นก้อนกลิ้งอยู่ในกะโหลก เวลาเคลื่อนศพมีเสียงดัง ต่อมาจึงมีการนำเนื้อสมองออกมา โดยใช้เหล็กที่มีปลายเป็นตะขอสอดเข้าไปทางรูจมูก ผ่านฐานกะโหลกส่วน[[กระดูกเอทมอยด์]]ซึ่งเป็นส่วนที่บางที่สุด เพื่อตีเนื้อสมองให้แตก แล้วคว่ำหน้าให้เนื้อสมองไหลออกมาทางจมูก เรียกวิธีนี้ว่า [[transethmoidal excerebration]] หลังจากนั้นจึงใส่น้ำมันดิน[[บิทูเมน]]ที่ต้มจนเดือดเข้าไปแข็งตัวในกะโหลก บ้างก็ใช้[[เรซิน]]


อวัยวะต่างๆที่นำออกมาจากศพ จะถูกล้างให้สะอาดแล้วกลบด้วยสารที่เรียกว่า[[เนทรอน]] ซึ่งเป็น[[น้ำเกลือ]]และ[[โซเดียมไบคาร์บอเนต]]ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดสารน้ำได้ดี เมื่ออวัยวะเหล่านี้แห้งแล้ว จึงห่อด้วยผ้าแล้วเก็บในโถคานอปิก ที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรือหินสลัก ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ 4 องค์ที่เป็นบุตรของเทพ[[ฮอรัส]] (เทพสูงสุดที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือ) คือ
อวัยวะต่างๆที่นำออกมาจากศพ จะถูกล้างให้สะอาดแล้วกลบด้วยสารที่เรียกว่า[[เนทรอน]] ซึ่งประกอบด้วย[[น้ำเกลือ]]และ[[โซเดียมไบคาร์บอเนต]]ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดสารน้ำได้ดี เมื่ออวัยวะเหล่านี้แห้งแล้ว จึงห่อด้วยผ้าแล้วเก็บในโถคานอปิก ที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรือหินสลัก ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ 4 องค์ที่เป็นบุตรของเทพ[[ฮอรัส]] (เทพสูงสุดที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือ) คือ


* ตับบรรจุในโถ[[อิมเซตี]] เทพที่มีเศียรเป็นคน
* ตับบรรจุในโถ[[อิมเซตี]] เทพที่มีเศียรเป็นคน

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:37, 22 มิถุนายน 2560

มัมมี่

มัมมี่ (อังกฤษ: Mummy) คือศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษในประเทศอียิปต์ พันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของศพเพื่อรอการกลับคืนร่างของวิญญาณผู้ตาย ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า "มัมมี่" มาจากคำว่า "มัมมียะ" (Mummiya) ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายถึงร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ โดยชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณของอียิปต์ เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยา

ในอียิปต์โบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตาย เกี่ยวกับการหวนกลับคืนร่างของวิญญาณ โดยมีความเชื่อว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการถนอมและรักษาสภาพของร่างเดิม โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาบีทูมิน ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ซากศพเน่าเปื่อยผุผังไปตามกาลเวลา

วิธีการทำมัมมี่

นำศพของผู้ตายมาทำความสะอาด ล้วงเอาอวัยวะภายในออกโดยการใช้ตะขอที่ทำด้วยสำริดเกี่ยวเอาสมองออกทางโพรงจมูก แล้วใช้มีดที่ทำจากหินเหล็กไฟซึ่งมีความคมมาก กรีดข้างลำตัว เพื่อล้วงเอาตับ ไต กระเพาะอาหาร ปอดและลำไส้ออกจากศพ โดยเหลือหัวใจไว้

สาเหตุที่ไม่เอาหัวใจออกจากร่างด้วยเพราะเชื่อกันว่าหัวใจเป็นศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณ อวัยวะภายในเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วยวัสดุประเภทขี้เลื่อย เศษผ้าลินิน โคลน และเครื่องหอม จากนั้นอวัยวะทั้งหมดจะถูกนำไปล้างด้วยไวน์ปาล์ม เสร็จแล้วก็จะถูกนำลงบรรจุในภาชนะสี่เหลี่ยม มีฝาปิด ที่รู้จักกันในชื่อของคาโนบิค ส่วนร่างของผู้ตายจะถูกนำไปดองโดยใช้เกลือประมาณ 7-10 วัน

เมื่อศพแห้งสนิทแล้ว ก็จะถูกนำมาเคลือบด้วยน้ำมันสน จากนั้นจะมีการตกแต่งและพันศพด้วยผ้าลินินสีขาวชุบเรซิน มัมมี่ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วจะถูกนำบรรจุลงในหีบศพ พร้อมกับเครื่องรางของขลังต่างๆ และมัมมี่บางตัวยังมีหน้ากากที่จำลองใบหน้าของผู้ตายวางไว้ในหีบศพของมัมมี่อีกด้วย

วิธีทำมัมมี่อย่างละเอียด

มัมมี่ภายในพิพิธภัณฑ์

นับเป็นเวลาหลายร้อยปี กว่าชาวอียิปต์โบราณจะพัฒนาวิธีรักษาศพให้ใกล้เคียงสภาพเดิมให้นานที่สุดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ด้วยวิธีที่เรียกว่า วิธีการทำมัมมี่ ซึ่งประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ

  1. การทำไม่ให้เน่าเปื่อย เป็นวิธีรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย
  2. การพันผ้ามัมมี่ เป็นวิธีพันผ้าศพหลังผ่านขั้นตอนแรก

ทั้งสองขั้นตอนใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 70 วัน โดยสัปเหร่อต้องสวมหน้ากากหมาไน ซึ่งเป็นเศียรของเทพอนูบิสอันเป็นเทพที่ทำหน้าที่สัปเหร่อนั่นเอง ต้องใส่สมุนไพรที่หน้ากากขณะทำงานเพื่อกลบกลิ่นศพ

ขั้นตอนแรกของการทำไม่ให้เน่าเปื่อยคือวางศพไว้บนเตียงหินมีขอบ ปลายเตียงที่มีรูให้ของเหลวที่เกิดจากการทำศพไหลลงภาชนะที่วางไว้บนพื้น จากนั้นจึงทำความสะอาดศพด้วยไวน์ปาล์มและสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม แล้วล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์อีกครั้ง ตามด้วยผ่าท้องบริเวณสีข้างหรือบั้นเอวด้านซ้ายด้วยมีดี่ทำจากหินเหล็กไฟแล้วดึงอวัยวะภายในออก อวัยวะเหล่านี้เป็นแหล่งที่มีเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้ลำไส้ใหญ่เน่าก่อนแล้วลุกลามให้ส่วนอื่นของศพเน่าตามมา

อวัยวะที่นำเอาออกมาได้แก่ กระเพาะอาหาร ปอด ตับ ลำไส้ ส่วนหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า เป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณ ความเฉลียวฉลาดและความรู้สึกนึกคิด ให้คงไว้ในศพ อันที่จริงยังมีม้าม ไต รังไข่และมดลูกที่ไม่ได้นำออกมา

นับว่าชาวอียิปต์โบราณมีวิทยาการสูงทีเดียว อวัยวะที่นำออกมาล้วนเป็นอวัยวะที่อาจมีเชื้อแบคทีเรียและเน่าก่อนอวัยวะอื่น ทำให้พลอยลุกลามเน่าไปทั้งตัว อาจทำให้ทำมัมมี่ไม่สำเร็จ

ส่วนเนื้อสมองนั้น แต่เดิมไม่ได้นำออก เมื่อศพแห้งสมองสูญเสียของเหลวจึงแห้งเหี่ยวเป็นก้อนกลิ้งอยู่ในกะโหลก เวลาเคลื่อนศพมีเสียงดัง ต่อมาจึงมีการนำเนื้อสมองออกมา โดยใช้เหล็กที่มีปลายเป็นตะขอสอดเข้าไปทางรูจมูก ผ่านฐานกะโหลกส่วนกระดูกเอทมอยด์ซึ่งเป็นส่วนที่บางที่สุด เพื่อตีเนื้อสมองให้แตก แล้วคว่ำหน้าให้เนื้อสมองไหลออกมาทางจมูก เรียกวิธีนี้ว่า transethmoidal excerebration หลังจากนั้นจึงใส่น้ำมันดินบิทูเมนที่ต้มจนเดือดเข้าไปแข็งตัวในกะโหลก บ้างก็ใช้เรซิน

อวัยวะต่างๆที่นำออกมาจากศพ จะถูกล้างให้สะอาดแล้วกลบด้วยสารที่เรียกว่าเนทรอน ซึ่งประกอบด้วยน้ำเกลือและโซเดียมไบคาร์บอเนตซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดสารน้ำได้ดี เมื่ออวัยวะเหล่านี้แห้งแล้ว จึงห่อด้วยผ้าแล้วเก็บในโถคานอปิก ที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรือหินสลัก ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ 4 องค์ที่เป็นบุตรของเทพฮอรัส (เทพสูงสุดที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือ) คือ

โถทั้ง 4 นี้ถูกเก็บไว้ในกล่องที่ถูกปกปักรักษาด้วยเทวี 4 องค์ คือ ไอซิส, เนปทิส, เซลเคต และนิธ โดยทำเป็นรูปสลักวางอยู่ที่มุมกล่องมุมละองค์ เป็นรูปเทวีทั้ง 4 กางปีกเพื่อปกป้องอวัยวะในโถ กล่องนี้ถูกเก็บไว้ในสุสานพร้อมศพ

ตัวศพก็เช่นเดียวกันคือ ใส่เนทรอนเข้าไปในช่องท้อง แล้วจึงกลบด้วยเนทรอนอีกชั้น มีการเปลี่ยนเนทรอน ทุก 3 วัน และใช้ระยะเวลา 40-60 วัน ศพก็จะแห้งสนิท ส่วนของเหลวที่เกิดจากการทำศพจะไหลออกทางรูที่ปลายเตียงลงสู่ภาชนะที่รองอยู่ด้านล่าง และถูกเก็บไว้เพื่อฝังไปพร้อมศพ

เมื่อครบกำหนดจึงล้างศพด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์ จากนั้นทาผิวด้วยน้ำมันเพื่อให้มีความยืดหยุ่น แล้วตกแต่งศพด้วยลูกตาเทียม ถ้าผู้ตายมีเศรษฐานะดีอาจติดขนคิ้วด้วยเส้นผม ใส่ผมปลอม หรือแต่งเล็บด้วยทองคำประดับพลอย อาจอัดเมล็ดพริกไทยเข้าไปในจมูกเพื่อป้องกันจมูกบี้ บ้างก็อัดลินินในช่องปากเพื่อให้แก้มเต่ง

ประมาณปี 1000 ปีก่อนคริสตกาล จึงเริ่มมีการห่ออวัยวะภายในด้วยลินิน บรรจุกลับเข้าไปในช่องท้อง แล้วอัดด้วยขี้เลื่อย ใบไม้แห้ง หรือลินิน เพื่อให้สภาพใกล้เคียงกับเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ส่วนโถทั้ง 4 แม้ไม่ได้ใช้บรรจุอวัยวะภายในแล้ว ยังคงถูกเก็บไว้ในสุสานดังเดิม

ขั้นตอนต่อไปเรียกว่าการพันผ้าศพ คือพันด้วยผ้าลินิน โดยเริ่มพันจากศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า คล้ายการพันเฝือกหลายชั้น ส่วนของนิ้ว แขนและขาให้พันแยกออกจากกัน ทุกชั้นทาด้วยเรซินเหลว ระหว่างพันผ้ามีการวางเครื่องรางหลายชนิด แล้วพันลินินทับ มีพิธีสวดมนต์ขณะพันผ้า และวางม้วนกระดาษปาปิรัส ที่เรียกว่า คัมภีร์มรณะ ไว้กลางลำตัว พันผ้าอีกหลายชั้น แล้วจึงห่อด้วยผืนผ้าลินินที่วาดภาพเทพ โอซิริส ซึ่งเป็นเทพแห่งยมโลก และเป็นบิดาของเทพฮอรัสห่อซ้ำอีกชั้นด้วยผ้าผืนใหญ่ แล้วจึงผูกด้วยลินินเป็นปล้องๆ แบบเดียวกับมัดตราสัง

หลังจากนั้นต้องทำพิธีเปิดปาก เปิดตา ด้วยความเชื่อว่าเพื่อให้มัมมี่มองเห็น กินอาหารและดื่มน้ำได้นั่นเอง แล้วจึงบรรจุในโลงศพที่มีลักษณะคล้ายรูปร่างคน 3 ชั้น แล้วจึงวางลงในโลงหิน เขียนรูปผู้ตายไว้ที่ฝาโลงหินเพื่อให้วิญญาณที่เรียกว่า คา กลับร่างเดิมได้ถูกต้องขณะฟื้นคืนชีพ

จะเห็นว่าการทำมัมมี่ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง ผู้มีเศรษฐานะดีเท่านั้นที่ทำได้ ส่วนผู้มีเศรษฐานะต่ำอาจใช้วิธีทำหุ่นเหมือนผู้ตายแทนการทำมัมมี่ก็ได้

ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่านอกจากร่างกายแล้วยังมีจิตวิญญาณ เรียกว่า แฝดล่องหน ประกอบด้วย คา หมายถึง วิญญาณ และ บา หมายถึง จิตวิญญาณ

บาคือดวงวิญญาณที่มีลักษณะเป็นนกตัวเล็กๆ มีหัวเหมือนผู้ตายบินวนเวียนรอบๆมัมมี่ ส่วนคาเป็นดวงจิตที่ตายไปพร้อมกับร่างกาย จึงต้องทำมัมมี่หรือสร้างรูปเหมือนไว้ให้ Ka อาศัยอยู่ มัมมี่นับเป็นรูปเหมือนที่ดีที่สุด ต้องจัดอาหารให้ด้วย เพราะเชื่อว่าไม่เช่นนั้นคาก็จะตายไปพร้อมร่าง เมื่อกลับมาเกิดใหม่คาและบาก็จะมารวมกันกับร่างที่เตรียมไว้ เพื่อฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง

เรื่องของมัมมี่เป็นที่สนใจในวงการแพทย์มาช้านาน เหตุเพราะต้องศึกษาโดยให้มัมมี่คงสภาพเดิม จึงไม่สามารถผ่าออกมาศึกษาได้ ทำให้นักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในอดีตสามารถศึกษาร่างของมัมมี่ได้ในวงจำกัด โดยศึกษาทางเอ็กซ์เรย์และส่องกล้องจุลทรรศน์

ครั้นเมื่อวิทยาการทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าจนมีเครื่องเอ็มอาร์ไอ ในปัจจุบันจึงสามารถศึกษามัมมี่ได้ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนของกะโหลก ทำให้ทราบวิธีทำมัมมี่ละเอียดขึ้น ตัวอย่างเช่น ทราบว่ามีทั้งที่เก็บสมองไว้ และเอาสมองออกด้วยวิธี transethmoidal excerebration ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้เห็นรูที่ฐานกะโหลกศีรษะบริเวณเหนือโพรงจมูก

อ้างอิง

ดูเพิ่ม