ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไทยเชื้อสายจีน"
อ้างอิง??? Saranyaphong เดี๋ยวก็ถอดล็อคอิน เดี๋ยวก็ใส่ล็อคอิน |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 12: | บรรทัด 12: | ||
}} |
}} |
||
''' |
'''ไทยเชื้อสายจีน''' คือ ชนชาติพันธุ์ไท-กะได จากประเทศจีนที่เกิดและหรืออพยพมาใน[[ประเทศไทย]] ซึ่งจัดให้อยู่ในกลุ่มของ [[ชาวจีนโพ้นทะเล]] ด้วย คนไทยเชื้อสาย[[ชาวจีน|จีน]] มีประมาณ 9.4 ล้านคนใน[[ประเทศไทย]] หรือร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมากไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้วโดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ ([[race]]) |
||
ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากบรรพบุรษจะมาจาก |
ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากบรรพบุรษจะมาจากบริเวณสิบสองปันนา และจังหวัดแต้จิ๋ว ใน[[มณฑลกวางตุ้ง]] ทางตอนใต้ของจีน พูด[[ภาษาแต้จิ๋ว]] ซึ่งเป็นภาษากลุ่ม[[หมินหนาน]] รองลงมาคือมาจาก [[ฮกเกี้ยน]] และ[[ไหหลำ]] |
||
== กลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน == |
== กลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 02:12, 8 พฤษภาคม 2560
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ถนนเยาวราช ศูนย์รวมชาวไทยเชื้อจีน | |
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ | |
---|---|
ประเทศไทย | |
ภาษา | |
ภาษาไทย ดั้งเดิม: ภาษาหมิ่น (แต้จิ๋ว, ไหหลำ, ฮกเกี้ยน, ฮกจิว), ภาษาแคะ, ภาษากวางตุ้ง และ ภาษาจีน (ฮ่อ) | |
ศาสนา | |
ส่วนมากนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท; ส่วนน้อยนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน , ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื๊อศาสนาอิสลาม (ชาวหุย) และศาสนาคริสต์. |
ไทยเชื้อสายจีน คือ ชนชาติพันธุ์ไท-กะได จากประเทศจีนที่เกิดและหรืออพยพมาในประเทศไทย ซึ่งจัดให้อยู่ในกลุ่มของ ชาวจีนโพ้นทะเล ด้วย คนไทยเชื้อสายจีน มีประมาณ 9.4 ล้านคนในประเทศไทย หรือร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมากไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้วโดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ (race)
ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากบรรพบุรษจะมาจากบริเวณสิบสองปันนา และจังหวัดแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน พูดภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นภาษากลุ่มหมินหนาน รองลงมาคือมาจาก ฮกเกี้ยน และไหหลำ
กลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน
ประเทศไทยมีประชากรคนไทยเชื้อสายจีนประมาณ 8 ล้านคน ส่วนมากจะเป็นเชื้อสายแต้จิ๋วประมาณร้อยละ 56 รองลงมา ได้แก่ แคะ ร้อยละ 16, ไหหลำ ร้อยละ 11, กวางตุ้ง ร้อยละ 7, ฮกเกี้ยน ร้อยละ 7, และอื่น ๆ ร้อยละ 12
แต้จิ๋ว
แต้จิ๋ว (潮州 ; Teochew ; ภาษาจีนกลาง: Cháozhōu) เป็นกลุ่มชาวจีนที่มากที่สุด กล่าวกันว่า" ที่ไหนมีศาลเจ้า(老爺宮)เหล่าเอี้ยเก็ง) ที่นั่นจะพบคนจีน เพื่อพบปะกันและเป็นที่พึ่งทางใจเมื่อยามห่างไกลแผ่นดินเกิด ชาวจีนจะตั้งถิ่นฐานอยู่ตามพื้นที่รอบ ๆ แม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลองและตามภาคกลาง ได้มาที่แผ่นดินสยาม (เซี่ยมล้อ 暹羅) ตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาแล้ว โดยมาจาก มณฑลฝูเจี้ยน (福建省) และ มณฑลกวางตุ้ง (廣東省) ส่วนมากจะทำการค้าทางด้าน การเงิน ร้านขายข้าว และ ยา มีบางส่วนที่ทำงานให้กับภาครัฐ ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (鄭皇, แต้อ้วงพระองค์แซ่แต้) พ่อค้าจีนแต้จิ๋วจำนวนมากได้รับสิทธิพิเศษ ชาวจีนกลุ่มนี้จึงเรียกว่า จีนหลวง (Royal Chinese) สาเหตุเนื่องจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีเชื้อสายแต้จิ๋วเช่นกัน ในช่วงกรุงรัตนโกสินทร์การอพยพของชาวแต้จิ๋วจึงมีมากขึ้น และในประเทศ ไทยเองก็มีคนแต้จิ๋วเป็นจำนวนมาก และปัจจุบันจะมีมากในทุกภาคของประเทศไทยแต่ที่มีชาวแต้จิ๋วมากที่สุดคือกรุงเทพฯ
ภาคกลางตอนล่างเช่นนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ตอนบน เช่น ชัยนาท สิงห์บุรี นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย
ภาคตะวันออกเช่นฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทรบุรี(เมืองเก่าของพระเจ้าตากสินมหา ราช) ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี(ชาวแต้ จิ๋วมาเริ่มตั้งต้นถิ่นฐานที่นี่มากที่สุดเพราะเป็นพื้นที่ไม่มีคนอยู่อาศันเป็นป่าแต่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำเพื่อเพาะปลูกและที่ปลูกมากที่สุดคือ"ต้นไผ่"เพาะไผ่ขายเพื่อทำเรือแพออกไปค้าขายได้ แล้วกระจายไปในจังหวัดใกล้เคียงในเวลาต่อมา ในรัชสมัยกรุงศรี อยุธยาถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เชาวแต้จิ๋วข้ามาอาศัยแผ่นดินสยามมากที่สุด)
ภาคเหนือตอนบน เช่นเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน (ส่วนพะเยาจะมีจีนแคระหรือชาวฮากกาจำนวนมาก)
ส่วนในภาคอิสานส่วนใหญ่จะเป็นชาวแต้จิ๋วในทุกจังหวัดเช่น นครราชสีมา (โคราช) ชัยภูมิ ขอนแก่น เลย อุดรธานี กาฬสินธ์ มหาสารคาม อุบลราชธานี ยโสธร ศีรษะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ส่วนพื้นที่ริมโขงเช่นหนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร จะปะปนไปด้วยชาวแต้จิ๋ว แคะ และเวียดนาม (ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า)
ส่วนทางภาคใต้จะกระจายในฝั่งอ่าวไทยในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชซึ่งพระองค์ยกทัพทางเรือไปปราบกบฎที่ภาคใต้ เช่น เมืองนครศรีธรรมราช (ต้นกำเนิดราชสกุล ณ นคร) พัทลุง (ต้นกำเนิดราชสกุล ณ พัทลุง) ทุกจังหวัดเข่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ในฝั่งอันดามันนั้นส่วนใหญ่จะเป็นจีนฮกเกี้ยนหรือฝูเจี้ยน (福建) ซึ่งดั้งเดิมเดินทางมาจากมาเลเซียแล้วมาขึ้นที่ชายฝั่งทะเล เช่น ภูเก็ต พังงา สตูล ตรัง ระนอง และจีนแคะ (客人) เป็นต้น
แคะ
แคะ (客家; Hakka; ภาษาจีนกลาง: kèjiā) เป็นกลุ่มชาวจีนอพยพที่มาจากมณฑลกวางตุ้ง เป็นส่วนมาก จะอพยพมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 และตั้งถิ่นฐานทีแถบจังหวัดสงขลา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนมากจะชำนาญทางด้านหนังสัตว์ เหมือง และเกษตรกรรม นอกจากนี้ ชาวจีนแคะยังเป็นเจ้าของธนาคารอีกหลายแห่ง อาทิ ธนาคารกสิกรไทย
ไหหลำ
ไหหลำ (海南 ; ภาษาจีนกลาง: Hǎinán) เป็นชาวจีนที่อพยพมาจากเกาะไหหลำของจีน ชาวไหหลำจะมีเป็นจำนวนมากที่เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังปรากฏได้เห็นจากศาลเจ้าจีนหลายแห่งบนเกาะสมุย และ เกาะพะงัน มีหลักฐานการอพยพตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ซึ่งชาวจีนสามารถกลมกลืนกับชาวไทยได้ดี โดยส่วนมากมาจากตำบลบุ่นเชียว ชาวจีนกลุ่มนี้จะชำนาญทางด้านร้านอาหาร และโรงงาน
ฮกเกี้ยน
ฮกเกี้ยนหรือฝูเจี้ยน (福建; Hokkien; ภาษาจีนกลาง: Fújiàn) จะเชี่ยวชาญทางด้านการค้าขายทางเรือหรือรับราชการ และชาวจีนกลุ่มนี้จะมีจำนวนมากในพื้นที่ภาคใต้ เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต มีจำนวนมากในชุมพรและจังหวัดทั่ว ๆ ไป
กวางไส
กวางไสหรือกวางสี (จีน: 廣西 ; ภาษากวางตุ้ง: gwong2-sai1) เป็นกลุ่มชาวจีนที่อพยพมาจากมณฑลกวางสี ส่วนใหญ่มาจากอำเภอหยง (容縣) และแถบอำเภอใกล้เคียง ช่วงแรกอพยพมาอยู่แถบประเทศมาเลเซียก่อนแล้วค่อยๆเดินเท้าอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย อาศัยอยู่มากในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา และตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา พูดภาษาจีนกวางตุ้ง (ภาษาจีน:粵語) สำเนียง Gōulòu (ภาษาจีน:勾漏方言) เป็นภาษาหลัก ชาวจีนกวางไสเป็นเกษตรกร ทำสวนยางพารากันเป็นส่วนมาก ไม่สันทัดเรื่องการค้าขาย จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก
แต่ยังมีของที่พอเป็นที่รู้จัก ก็คือ ไก่กวางไสหรือไก่เบตง เป็นไก่พันธุ์เนื้อพื้นเมืองที่นำพันธุ์มาจากประเทศจีน มีลักษณะพิเศษกว่าไก่ชนิดอื่น ๆ ,เคาหยก (扣肉) หมูสามชั้นต้มสุก ทอดส่วนที่เป็นหนังและนำไปหมักด้วยเต้าหู้ยี้ เหล้าจีน น้ำขิง กระเทียมเล็กน้อย แล้วนำมานึ่งเผือก กินคู่กับผักดอง
ฮ่อ
ฮ่อ เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางประเทศพม่าและประเทศลาว ชาวจีนฮ่อส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางภาคเหนือทั้งในเมืองและบนดอย หนึ่งในกลุ่มชนที่สำคัญคือชาวจีนหุย (回族 ; ภาษาจีนกลาง: Huízú) ซึ่งเป็นชาวจีนที่มีลักษณะเหมือนชาวจีนฮั่นทุกอย่างเพียงแต่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวฮ่อในประเทศไทย 1 ใน 3 นับถือศาสนาอิสลาม นอกนั้นนับถือบรรพบุรุษ
เปอรานากัน
เปอรานากัน (มลายู: Peranakan) หรือ บาบ๋า-ย่าหยา (Baba-Nyonya; จีน: 峇峇娘惹; ฮกเกี้ยน: Bā-bā Niû-liá) เป็นกลุ่มชาวจีนที่มีเชื้อสายมลายูแต่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม เนื่องจากในอดีตชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มฮกเกี้ยนเดินทางเข้ามาค้าขายในบริเวณดินแดนคาบสมุทรมลายู และตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในเมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย ซึ่งสมรสกับชาวมลายูท้องถิ่น[3] และภรรยาชาวมลายูจะเป็นผู้ดูแลกิจการการค้าที่นี่
สำหรับสายเลือดใหม่ของชายชาวจีนกับหญิงมลายู หากเป็นชายจะได้รับการเรียกขานว่า บาบ๋าหรือบ้าบ๋า (Baba) ส่วนผู้หญิงจะเรียกว่า ย่าหยาหรือโญญา (Nyonya) และเมื่อคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากขึ้น ก็ได้สร้างวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมของบรรพบุรุษมาผสมผสานกันเป็นวัฒนธรรมใหม่ เมื่อพวกเขาอพยพไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ก็ได้นำวัฒนธรรมของตนกระจายไปด้วย วัฒนธรรมใหม่นี้จึงถูกเรียกรวม ๆ ว่า จีนช่องแคบ (อังกฤษ: Straits Chinese; จีน: 土生華人) โดยในประเทศไทยคนกลุ่มนี้จะอยู่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีบรรพบุรุษอพยพมาจากปีนังและมะละกา คนกลุ่มนี้มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับกลุ่มเปอรานากันในประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศสิงคโปร์[4][5][6]
ประวัติ
ประวัติศาสตร์ของการที่ชาวจีนอพยพมาประเทศไทย ต้องย้อนกลับไปหลายร้อยปี
สมัยสุโขทัย
ชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ชาวจีนได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่มาก โดยส่วนมากจะมาจากตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อมาตั้งรกรากและทำการค้า
สมัยกรุงธนบุรี
เมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310 - พ.ศ. 2312 จักรวรรดิจีนได้ถูกรุกรานโดยพม่าที่กำลังขยายแสนยานุภาพ จักรพรรดิจีนในสมัยนั้นได้ส่งกองกำลังไปปราบปรามพม่าถึง 4 ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ฝ่ายจีนก็ได้เบนความสนใจมาที่กองทัพพม่าในอาณาจักรอยุธยา ซึ่งกำลังถูกพม่ายึดครอง ขุนพลไทยนาม "สิน" ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบกู้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นคนจีน
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล]
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การอพยพของชาวจีนยุคแรก ส่วนมากเป็นผู้ชาย เมื่อเข้ามาตั้งรกรากแล้วก็จะแต่งงานกับผู้หญิงไทย และกลายเป็นค่านิยมในสมัยนั้น ลูกหลานจากการแต่งงานข้ามเชื้อชาตินี้เรียกว่า "ลูกจีน" แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ กระแสการอพยพเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงจีนอพยพเข้ามาในสยามมากขึ้น จึงทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติลดลง
การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ
ในรัชสมัยปลายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ประเทศไทยต้องระวังผลกระทบจากการที่ฝรั่งเศสได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และอังกฤษได้มลายูเป็นอาณานิคม ในขณะเดียวกัน ชาวจีนจากมณฑลยูนนานก็เริ่มไหลเข้าสู่ประเทศไทย กลุ่มชาวไทยชาตินิยมจากทุกระดับจึงได้เกิดความคิดต่อต้านชาวจีนขึ้น หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ ชาวจีนกุมเศรษฐกิจการค้าส่วนใหญ่ไว้ และยังได้รับอำนาจผูกขาดการค้าและรวมถึงการเป็นนายอากรเก็บภาษีซึ่งเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วย ในขณะนั้นอิทธิพลทางการค้าของชาติตะวันตกก็สูงขึ้น ทำให้พ่อค้าขาวจีนหันไปขายฝิ่นและเป็นนายอากรมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าของโรงสีและพ่อค้าข้าวคนกลางชาวจีนยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสยามในปีซึ่งกินเวลาเกือบ 10 ปี หลังปี พ.ศ. 2448 ด้วย
การให้สินบนขุนนาง กลุ่มอันธพาลอั้งยี่ และการเก็บภาษีอย่างกดขี่ ทั้งหมดนี้จุดประกายให้คนไทยเกลียดชังคนจีนมากขึ้น ในขณะเดียวกันอัตราการอพยพเข้าประเทศไทยก็มากขึ้น ในพ.ศ. 2453 เกือบร้อยละ 10 ของประชากรไทยเป็นชาวจีน ซึ่งผู้อพยพใหม่เหล่านี้มากันทั้งครอบครัวและปฏิเสธที่จะอยู่ในชุมชนและสังคมเดียวกับคนไทย ซึ่งต่างกับผู้อพยพยุคแรกที่มักแต่งงานกับคนไทย ดร.ซุน ยัตเซ็น ผู้นำการปฏิวัติประเทศจีน ได้เผยแพร่ความคิดให้ชาวจีนในประเทศไทยมีความคิดชาตินิยมจีนให้มากขึ้นเพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ชุมชนชาวจีนจะสนับสนุนการตั้งโรงเรียนเพื่อลูกหลานจีนโดยเฉพาะโดยไม่เรียนรวมกับเด็กไทย ในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงให้ชาวต่างชาติในประเทศไทยจดทะเบียนเป็นคนต่างด้าว เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องเลือกว่าจะเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์หรือจะยอมเป็นคนต่างด้าว
ชาวไทยเชื้อสายจีนจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารซึ่งเริ่มในประมาณพ.ศ. 2475 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการประกาศอาชีพสงวนของคนไทยเท่านั้น เช่น การปลูกข้าว ยาสูบ อีกทั้งประกาศอัตราภาษีและกฎการควบคุมธุรกิจของชาวจีนใหม่ด้วย ซึ่งในช่วงนี้รัฐบาลได้มีนโยบายรัฐนิยม ทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับผลกระทบอย่างมากในเรื่องของการดูถูกและเหยียดเชื้อชาติ เช่น การไม่ส่งเสริมให้พูดภาษาจีน อันเป็นภาษาต่างด้าว ในที่สาธารณะ ทำให้ก่อนและหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน มีการทะเลาะวิวาทแบบยกพวกเข้าตีกันหลายต่อหลายครั้งระหว่างคนไทยกับคนไทยเชื้อสายจีน หรือคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านเยาวราช ซึ่งเรียกกันว่า "เลี๊ยะพ่ะ" ซึ่งความขัดแย้งอันนี้ได้ลุกลามบานปลายจนจะกลายเป็นปัญหาเชื้อชาติ แต่ได้ยุติลงเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ได้เสด็จประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรที่เยาวราช ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ก่อนเสด็จสวรรคตไม่นาน [7] [8]
และหลังจากที่จอมพล ป. หวนสู่อำนาจอีกครั้งในปี พ.ศ. 2490-พ.ศ. 2491 ทางรัฐบาลจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนได้จับตาดูทีท่าของจอมพล ป. แต่ในรัฐบาลชุดหลังนี้ ได้มีการสานสัมพันธ์กับทางการจีนอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีการส่งผู้แทนของรัฐบาลดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลจีนอย่างลับ ๆ[9]
ในขณะที่มีการปลุกระดมชาตินิยมจีนและไทยขึ้นพร้อมกัน ในปี พ.ศ. 2513 ลูกหลานจีนที่เกิดในไทยมากกว่าร้อยละ 90 ถือสัญชาติไทยโดยสมบูรณ์ และเมื่อมีการเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการแล้วในปี พ.ศ. 2518 ชาวจีนที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ก็มีสิทธิที่จะเลือกที่จะถือสัญชาติไทยได้ แต่หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ไม่นาน รัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ก็มีนโยบายในแบบอนุรักษนิยมและขวาตกขอบ ซึ่งเป็นผลมาจากความหวาดกลัวในการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับการเหยียดหยามอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ. 2522 นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกกฎหมายให้ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดในประเทศไทย จะมีสิทธิเลือกตั้งได้ก็ต่อเมื่อได้ไปลงทะเบียนก่อนและต้องมีการศึกษาขั้นต่ำมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ.3) ซึ่งต่อมากฎหมายฉบับนี้ก็ได้รับการยกเลิกในที่สุด[10]
ภาษาและวัฒนธรรม
กลุ่มภาษาไทย และกลุ่มภาษาจีนนั้นมีหลักภาษาที่ใกล้กันโดยกลุ่มภาษาไทยจะวางคำวิเศษณ์ใว้ข้างหลังและวางกริยาวิเศษณ์ใว้ข้างหลังกรรมในขณะที่กลุ่มภาษาจีนจะวางใว้ด้านหน้าทั้งคำนามและกริยา จึงทำให้ผู้ที่อพยพเข้ามาเรียนรู้ภาษาไทยได้เร็วกว่าภาษาอื่นๆ ภาษาไทยก็มีคำภาษาหมิ่นใต้จำนวนมาก ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายจีนจะพูดภาษาไทยผสมภาษาหมิ่นใต้ในการติดต่อกันเอง โดยเฉพาะชาวแต้จิ๋วที่อยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นส่วนมาก และก็จะใช้ภาษาไทยติดต่อกับสังคมภายนอกได้ดีขึ้น แต่ลูกหลานจีนในปัจจุบันมีน้อยมากที่ยังพูดภาษาของบรรพบุรุษได้ เนื่องจากอยู่กับสังคมภายนอกและที่บ้านเองก็พูดภาษาหมิ่นใต้กับตนน้อยลง ยังคงเหลือแต่ผู้อาวุโสในครอบครัวเท่านั้นที่ยังพูดภาษาเหล่านี้กับลูกหลาน อย่างไรก็ตามยังมีลักษณะหลายประการที่ภาษาไทยถิ่นกรุงเทพแท้เทียบกับภาษาไทยถิ่นสุพรรณบุรีแล้วมีหลักภาษาไม่ตรงกันเช่นหลายครั้งวางกริยาวิเศษณ์ใว้หน้ากริยาหรือรูปขยายความก็วางใว้หน้าบทประธานและบทกรรมซึ่งเป็นการลอกลักษณะทางภาษามาจากภาษาหมิ่นใต้โดยเฉพาะบางสำนวนคือนำคำในภาษาหมิ่นใต้มาเป็นคำไทยอย่างตรงไปตรงมา ส่วนเรื่องสำเนียงก็เป็นที่ทราบกันดีว่าภาษาไทยถิ่นกรุงเทพจะต่างจากภาษาไทยสำเนียงอื่นชัดเจนรวมถึงการผันวรรณยุกต์เพราะเมื่อเทียบกับภาษาหนังสือแล้วจะไม่ตรงกันเท่าไหร่ ทำให้เกิดความลำบากกับต่างชาติในการเรียนภาษาไทย ปัจจุบันประเพณีและค่านิยมบางอย่างที่ยังคงปฏิบัติตาม ครอบครัวลูกหลานจีนก็ยังยึดถือปฏิบัติอยู่ เช่น การไหว้เจ้าในโอกาสต่างๆ ซึ่งถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ
ชาวไทยเชื้อสายจีนในภาคเหนือเป็นชายไทยเชื้อสายจีนกลุ่มเดียวที่ใช้ภาษาจีน พบได้ในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งส่วนใหญ่นับถือพุทธกับคริสต์และมีบางส่วนนับถืออิสลาม
ปัจจุบัน กระแสความนิยมภาษาจีนในระดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นภาษาที่สำคัญในการติดต่อธุรกิจระหว่างไทย-จีน และสำหรับลูกหลานจีนที่เป็นวัยรุ่นก็ได้รับสื่อต่างๆ จากไต้หวัน มาก ทั้งละคร และเพลง ทำให้ในปัจจุบันมีโรงเรียนสอนภาษาจีนเปิดสอนอยู่มากขึ้นตามเพื่อสนองความต้องการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภาษาจีนแบบไต้หวันหรือกว๋อยวี่ก็ยังเป็นวงแคบ เพราะภาษาจีนถิ่นนี้ใช้ระบบจู้อินแทนพินอินและใช้อักษรตัวเต็ม ดังนั้นการเรียนภาษาจีนกลางหรือผู่ทงฮว่าจึงเป็นที่นิยมกว่า ปัจจุบันประชากรชาวไทยประมาณร้อยละสองรู้ภาษาจีนในระดับกลาง
หนังสือพิมพ์ภาษาจีน
ในปัจจุบันมีหนังสือพิมพ์ภาษาหมิ่นใต้ในประเทศไทยอยู่ 6 ฉบับ ส่วนมากผู้อ่านจะเป็นผู้ที่อพยพมา ผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกหลานคนจีน และ ผู้ที่เรียนภาษาจีนจะอ่าน
โรงเรียนจีน
ในประเทศไทยมีโรงเรียนจีนหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น โรงเรียนเผยอิงซึ่งตั้งอยู่ในย่านเยาวราช เปิดสอนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หรือ โรงเรียนช่องฟ้าซินเซิงวาณิชบำรุงในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดสอนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6[11] และ โรงเรียนภูเก็ตไทยหัว จังหวัดภูเก็ต เปิดสอนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นโรงเรียนจีนแห่งแรกของไทย[12]
ที่มาของสำนวนว่า "เรียบร้อยโรงเรียนจีน" ที่หมายถึง เรียบร้อย, ราบคาบ นั้น มาจากการบุกตรวจค้นโรงเรียนจีนทั้งหลายว่าเป็นแหล่งซ่องสุมและเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ในสมัยอดีต[13]
ศาสนาและความเชื่อ
ชาวไทยเชื้อสายจีนรุ่นแรกที่เข้ามาในไทยนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน และศาสนาเต๋า ครั้นในเวลาต่อมาศาสนาพุทธนิกายเถรวาทได้กลายเป็นหนึ่งในศาสนาบนความเชื่อคนชนเชื้อสายจีนในไทยจากการจากการหลอมรวมทางวัฒนธรรม โดยมากชาวไทยเชื้อสายจีนจะประกอบพิธีกรรมดั้งเดิมแบบความเชื่อของจีนและเถรวาทไทยไปด้วยกัน[14] งานเทศกาลของจีนที่สำคัญอย่าง ตรุษจีน, วันไหว้พระจันทร์ หรือวันเชงเม้ง ก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในภูเก็ต, กรุงเทพมหานคร และหัวเมืองอื่น ๆ ที่มีชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่ตั้งอยู่[15]
อย่างไรก็ตามชาวไทยเชื้อสายจีนจึงไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้าตามประเพณี และเข้าวัดไทยเหมือนชาวไทยทั่วไป ส่วนเรื่องงานศพ ชาวไทยเชื้อสายจีนยึดถือแบบจีนดั้งเดิม เช่น การทำกงเต๊กและฝังศพน้อยลงเนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง และนิยมการเผาศพแบบไทยมากขึ้น
ขณะเดียวกันมีชาวจีนฮ่อบางส่วนในภาคเหนือที่นับถือศาสนาอิสลามตามบรรพบุรุษอยู่แล้ว พวกเขามีการรวมกลุ่มที่หนาแน่นกว่าชาวจีนฮ่อที่ไม่ใช่มุสลิม ในจังหวัดเชียงใหม่มีมัสยิดของชาวจีนมากถึงเจ็ดแห่ง[16] หนึ่งในมัสยิดที่สำคัญของจีนฮ่อคือมัสยิดบ้านฮ่อ นอกจากชาวจีนฮ่อแล้วก็มีชาวจีนกลุ่มอื่นที่นับถือศาสนาอิสลาม อาทิ ชาวไทยเชื้อสายจีนบ้านกรือเซะในจังหวัดปัตตานี ซึ่งใช้ภาษามลายูในการสื่อสาร[17][18] โดยมุสลิมเชื้อสายจีนที่บ้านกรือเซะนั้น บางส่วนนับถือเจ้าแม่ลิ้มกอเนียวด้วย บ้างก็ขอพรบ้างก็บนบาน เมื่อมีงานมงคลก็ต้องมีการเซ่นสรวงเจ้าแม่ด้วยเชื่อว่าหากไม่กระทำเช่นนั้นก็จะเกิดเภทภัย ในวันฮารีรายอก็จะมีการเซ่นสรวงเจ้าแม่ และเมื่อพิธีแห่เจ้าแม่เดือนสาม ชาวมุสลิมเชื้อสายจีนก็จะไปชมขบวนเพื่อระลึกถึงท่าน[19]
วัฒนธรรมชาวจีนโพ้นทะเลในไทยนั้นจะต่างกับชาวจีนโพ้นทะเลในสิงคโปร์และมาเลเซียบางส่วน ซึ่งจะหันไปนับถือศาสนาคริสต์ และพูดภาษาจีนกลาง ชาวไทยเชื้อสายจีนบางส่วนกลับไม่ยึดติดกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนมากนักและนิยมวัฒธรรมที่กลมกลืนไปกับคนไทย
ชาวไทยเชื้อสายจีนผู้มีชื่อเสียง
- แต้จิ๋ว
- สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - พระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ใช้แซ่แต้ (鄭)
- ชิน โสภณพนิช - ผู้ก่อตั้ง และเจ้าของกิจการธนาคารกรุงเทพ ใช้แซ่ตั้ง (陳)
- บรรหาร ศิลปอาชา - อดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2538 - พ.ศ. 2540) และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ใช้แซ่เบ๊ (馬)
- ธนินท์ เจียรวนนท์ - ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ใช้แซ่เจี๋ย (謝)
- พล.ต.จำลอง ศรีเมือง - อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พ.ศ. 2528 - พ.ศ. 2532, พ.ศ. 2533 - พ.ศ. 2535) ใช้แซ่โล้ว (盧)
- ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว - นักร้อง นักดนตรีเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียง ใช้แซ่โอ (胡)
- เจริญ ศิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง ฯลฯ
- นายเหียกวงเอี่ยม ประธานมูลนิธิ ป่อเต็กตึ๊ง
- นายอุเทน เตชะไพบูลย์ ผู้ก่อตั้งธนาคาร ศรีนคร
- ฮากกาหรือแคะ
- เกียรติ วัธนเวคิน (คิ้วเซ่เกี้ยน) - ผู้ก่อตั้ง และเจ้าของกิจการธนาคารเกียรตินาคิน ใช้เซี่ยงคิ้ว (丘)
- โชติ ล่ำซำ - ผู้ก่อตั้ง และเจ้าของกิจการธนาคารกสิกรไทย ใช้แซ่หวู่ (伍)
- วิกรม กรมดิษฐ์ - ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ใช้แซ่คู (邱)
- ฮกเกี้ยนและเปอรานากัน
- สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี - บิดาแซ่ตัน (陳)
- กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ - พระราชบิดาสืบเชื้อสายมาจากแซ่ตัน (陳)และฝ่ายมารดาใช้แซ่อ๋อง (王)
- พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) - เทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ใช้แซ่คอ (許)
- พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง ณ ระนอง) - อดีตเจ้าเมืองระนอง ใช้แซ่คอ (許)
- หลวงศรีโลหะภูมิพิทักษ์ (คอซิมเจ่ง) - อดีตเจ้าเมืองระนอง ใช้แซ่คอ (許)
- เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (อึ้ง (ห่อง) โต้วเตอ) - พระสหายในพระบาทสมเด้จพระนั่งเกล้าฯ ต้นสกุลกัลยาณมิตร และใช้เป็นนามวัดกัลยาณมิตร ใช้แซ่ห่อง หรือ อึ้ง (黃)
- พระยาวิเชียรคีรี (หง่อเถี้ยนเส้ง) - เจ้าเมืองสงขลา ใช่แซ่หงอ (吳)
- หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง (ตันเตียงซิ่น) - ใช้แซ่ตัน (陳)
- หลวงอภัยวานิช (โซวเจียงจาด) - เจ้าของท่าเรือ นายอากรรังนก ในรัชสมัย ร.2-ร.3 และ เป็นผู้สร้างคฤหาส โซว เฮง ไถ่ ใช้แซ่โซว (蘇)
- พระพิทักษ์ชินประชา (ตันม่าเสียง) - ที่ปรึกษาหกรมโลหกิจ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้แซ่ตัน (陳)
- พระศรีพนมมาศ (ทองอิน แซ่ตัน) - นายอำเภอลับแล ใช้แซ่ตัน (陳)
- หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช - อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ย่าทวดใช้แซ่หลิม (林)
- หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช - อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ย่าทวดใช้แซ่หลิม (林)
- ชวน หลีกภัย - อดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2534 - พ.ศ. 2538, พ.ศ. 2540 - พ.ศ. 2544) ใช้แซ่ลวี่ (呂)
- สุเมธ ตันติเวชกุล - เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
- สัก กอแสงเรือง - อดีตนายกสภาทนายความ สมาชิกวุฒิสภา นายกสมาคมฮกเกี้ยนแห่งประเทศไทย ใช้แซ่กอ (高)
- ไหหลำ
- พระยาศรีวิศาลวาจา - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คนแรก
- เตียง จิราธิวัฒน์ - ผู้ก่อตั้ง และเจ้าของกิจการห้างเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งแรกในประเทศไทย ใช้แซ่เจิ้ง(鄭)
- สนธิ ลิ้มทองกุล - ผู้ก่อตั้ง และเจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ ใช้แซ่ลิ้ม (林)
- บัญญัติ บรรทัดฐาน - นักการเมือง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ใช้แซ่ลิ้ม (林)
- กวางตุ้ง
- ปกรณ์ ลัม - นักร้อง นักแสดง ใช้แซ่ลิ้ม (林 ภาษากวางตุ้ง: lam4)
อ้างอิง
- ↑ Barbara A. West (2009), Encyclopedia of the Peoples of Asia and Oceania, Facts on File, p. 794, ISBN 1438119135
- ↑ Theraphan Luangthomkun (2007). "The Position of Non-Thai Languages in Thailand". Language, Nation and Development in Southeast Asia. ISEAS Publishing: 191
{{cite journal}}
: CS1 maint: postscript (ลิงก์) - ↑ Andrew D.W. Forbes (1988). The Muslims of Thailand. Soma Prakasan. pp. 14–15. ISBN 974-9553-75-6.
- ↑ Celebrating Chinese New Year I
- ↑ Peranakan Chinese New Year Festival
- ↑ บาบ๋า-เพอรานากัน ประจำปีครั้งที่ 19 ณ จังหวัดภูเก็ต
- ↑ รักชาติ ผดุงธรรม. เบื้องหลังกรณีสวรรคต รัชกาลที่ ๘. กรุงเทพฯ : บางกอกบุ๊ค, 2550. 288 หน้า. ISBN 978-974-8130-47-7
- ↑ วินทร์ เลียววาริณ. ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า, พ.ศ. 2537. ISBN 974-8585-47-6
- ↑ รุ่งมณี เมฆโสภณ. อำนาจ 2 : ต่อสู้กู้ชาติ เอกราษฎร์ อธิปไตย. กรุงเทพฯ : บ้านพระอาทิตย์, 2555. 183 หน้า. ISBN 9786165360791
- ↑ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ชีวลิขิต. กรุงเทพฯ : มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, 2548. 216 หน้า. ISBN 9789749353509
- ↑ [http://www.oknation.net/blog/hidayatool/2008/04/10/entry-2
- ↑ [http://www.phuketthaihua.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=53&Itemid=53
- ↑ คำถาม คำว่า "เรียบร้อยโรงเรียนจีน" มีที่มาอย่างไรคะ สายสุดา
- ↑ Martin E. Marty, R. Scott Appleby, John H. Garvey, Timur Kuran. Fundamentalisms and the State: Remaking Polities, Economies, and Militance. University Of Chicago Press. p. 390. ISBN 0-226-50884-6.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Chee Kiong Tong, Kwok B. Chan (2001). Alternate Identities: The Chinese of Contemporary Thailand. pp. 30–34. ISBN 981-210-142-X.
- ↑ [http://thaiwebdirectories.meelink.com/company_profile/index/Company/id/3318/CompanyName/CHONGFAHSINSEUNG.AC.TH
- ↑ Andrew D.W. Forbes (1988). The Muslims of Thailand. Soma Prakasan. pp. 14–15. ISBN 974-9553-75-6.
- ↑ "เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ไม่เคยมีคำสาปแช่งมัสยิดกรือเซะ มรดกอารยธรรมแห่งมหานครปัตตานี". วัดปากน้ำ. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2556.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ประพนธ์ เรืองณรงค์. เรื่องเล่าจากปัตตานี. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์, 2548, หน้า 58-60
ดูเพิ่ม
- ภาษาในประเทศไทย - ในประเทศมีผู้ใช้ภาษาจีนแต้จิ๋ว ประมาณ 1 ล้านคน
Further reading
- Skinner, G. William. Chinese Society in Thailand, an Analytic History. Ithaca (Cornell University Press), 1957.
- Skinner, G. William. Leadership and Power in the Chinese Community in Thailand. Ithaca (Cornell University Press), 1958.