ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 2: | บรรทัด 2: | ||
| สีพิเศษ = Red |
| สีพิเศษ = Red |
||
| สีอักษร = White |
| สีอักษร = White |
||
| ภาพ = |
| ภาพ = File:Drottning Margrethe av Danmark (2).jpg |
||
| พระบรมนามาภิไธย = มาร์เกรเธอ อเล็กซานดริน ธอร์ฮิลดูร์ อิงกริด |
| พระบรมนามาภิไธย = มาร์เกรเธอ อเล็กซานดริน ธอร์ฮิลดูร์ อิงกริด |
||
| พระปรมาภิไธย = สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก |
| พระปรมาภิไธย = สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:47, 24 เมษายน 2560
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก | |
---|---|
มาร์เกรเธอ อเล็กซานดริน ธอร์ฮิลดูร์ อิงกริด สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก | |
สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก สมเด็จพระราชินีนาถแห่งกรีนแลนด์ สมเด็จพระราชินีนาถแห่งหมู่เกาะแฟโร | |
ครองราชย์ | 14 มกราคม พ.ศ. 2515 - ปัจจุบัน |
ราชาภิเษก | 14 มกราคม พ.ศ. 2515 |
รัชกาลก่อนหน้า | สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 |
รัชกาลถัดไป | ยังอยู่ในราชสมบัติ |
ประสูติ | 16 เมษายน พ.ศ. 2483 กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก |
พระราชสวามี | เจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก |
พระราชบุตร | เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก เจ้าชายโจอาคิมแห่งเดนมาร์ก |
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก | |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์ชเลสวิก-โฮลชไตน์-ซอนเดอร์บวร์ก-กลึคสบวร์ก |
พระราชบิดา | สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 |
พระราชมารดา | เจ้าหญิงอิงกริดแห่งสวีเดน |
พระราชวงศ์เดนมาร์ก |
---|
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 เจ้าหญิงเบเนดิกเทอ สมเด็จพระราชินีอันเนอ-มารี |
พระราชวงศ์ส่วนขยาย |
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก[1] (อังกฤษ: Queen Margrethe II of Denmark; มาร์เกรเธอ อเล็กซานดรีน ธอร์ฮิลดูร์ อิงกริด ; พระราชสมภพ 16 เมษายน พ.ศ. 2483) เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์ก ในฐานะที่เป็นพระราชธิดาองค์โตในสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์กกับเจ้าหญิงอิงกริดแห่งสวีเดน พระนางทรงสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระราชบิดาในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2515 จากการสืบราชบัลลังก์ทำให้พระนางทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์กพระองค์แรกนับตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก พระประมุขแห่งสแกนดิเนเวียในช่วงปีพ.ศ. 1918 ถึงพ.ศ. 1955 ในยุคสหภาพคาลมาร์
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอเสด็จพระราชสมภพในปีพ.ศ. 2483 แต่พระนางไม่ทรงเป็นทายาทโดยสันนิษฐานจนกระทั่งพ.ศ. 2496 เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์กได้อนุญาตให้สตรีมีสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์ได้ (หลังจากมีความชัดเจนแล้วว่าพระเจ้าเฟรเดอริกไม่ทรงมีรัชทายาทที่เป็นบุรุษ) ในปีพ.ศ. 2510 ทรงอภิเษกสมรสกับอ็องรี เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซาและมีพระราชโอรสสองพระองค์คือ เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์กและเจ้าชายโจอาคิมแห่งเดนมาร์ก
คติพจน์ประจำรัชกาลของพระองค์คือ
“ | ความช่วยเหลือของพระเจ้า ความรักของประชาชน ความแข็งแกร่งของเดนมาร์ก (Guds hjælp, folkets kærlighed, Danmarks styrke) | ” |
ชีวิตในวัยเยาว์
เจ้าหญิงมาร์เกรเธอประสูติเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2483 ณ พระราชวังอามาเลียนบอร์ก กรุงโคเปนเฮเกน เป็นพระราชธิดาพระองค์โตในเจ้าชายเฟรเดอริกและเจ้าหญิงอิงกริด มกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก พระราชบิดาของพระนางเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์กกับสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรีน และพระราชมารดาของพระนางเป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในมกุฎราชกุมารกุสตาฟ อดอล์ฟแห่งสวีเดนกับมกุฎราชกุมารีมาร์กาเร็ต เจ้าหญิงประสูติเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากกองทัพนาซีเยอรมนีได้ทำการยึดครองเดนมาร์กในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2463
พระองค์ทรงเข้ารับบัพติศมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 ณ โบสถ์โฮลเมน กรุงโคเปนเฮเกน เจ้าหญิงมาร์เกรเธอมีพระราชบิดาและพระราชมารดาทูนหัว คือ พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์ก, เจ้าชายคนุดแห่งเดนมาร์ก, เจ้าชายแอ็กเซิลแห่งเดนมาร์ก, พระเจ้ากุสตาฟที่ 5 แห่งสวีเดน, มกุฎราชกุมารกุสตาฟ อดอล์ฟแห่งสวีเดน, เจ้าชายกุสตาฟ อดอล์ฟ ดยุกแห่งวาสเตอร์บ็อตเต็น และ เจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุกแห่งคอนน็อตและสตราเธิร์น
เจ้าหญิงทรงได้รับพระนามว่า "มาร์เกรเธอ" ตามพระนามของพระอัยยิกาฝ่ายพระมารดา พระนามว่า "อเล็กซานดรีน" ตามพระนามของพระอัยยิกาฝ่ายพระบิดา และพระนามว่า "อิงกริด" ตามพระนามของพระมารดา ตั้งแต่พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์ก พระอัยกาทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นกษัตริย์แห่งไอซ์แลนด์ ทำให้เจ้าหญิงทรงดำรงพระอิศริยยศเป็นเจ้าหญิงแห่งไอซ์แลนด์จนกระทั่งปีพ.ศ. 2467 เจ้าหญิงจึงมีพระนามเป็นภาษาไอซ์แลนด์ตามโบราณราชประเพณี คือ ธอร์ฮิลดูร์ (Þórhildur)[2](สะกดตามลักษณะตัวอักษร "thorn" ในภาษาไอซ์แลนด์ ที่เที่ยบเท่ากับ "th")
เมื่อเจ้าหญิงมาร์เกรเธอมีพระชนมายุ 4 ชันษาในปีพ.ศ. 2487 พระขนิษฐาพระองค์แรกประสูติคือ เจ้าหญิงเบเนดิกเทอแห่งเดนมาร์ก ซึ่งต่อมาเจ้าหญิงเบเนดิกเทอทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายริชาร์ดที่ 6 แห่งไซน์-วิตเกนสไตน์-เบอร์เลบูร์กและบางครั้งทรงพำนักที่เยอรมนี พระขนิษฐาองค์สุดท้องคือ เจ้าหญิงแอนน์-มารีแห่งเดนมาร์ก ประสูติในปีพ.ศ. 2489 ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 2 แห่งกรีซ และปัจจุบันทรงพำนักอยู่ที่ลอนดอน
ในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2490 พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 เสด็จสวรรคตและพระราชบิดาของเจ้าหญิงมาร์เกรเธอได้ครองราชบัลลังก์สืบต่อในพระนาม "พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์ก"
รัชทายาทโดยสันนิษฐาน
เมื่อครั้งประสูติ พระราชวงศ์ฝ่ายชายสามารถสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กได้ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของพระราชบัญญัติการสืบราชสันตติวงศ์ที่มีการประกาศใช้ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1850 เมื่อสายราชสกุลกลึคส์บูร์กได้รับเลือกให้สืบราชสันตติวงศ์ต่อจากราชวงศ์โอลเดนบวร์ก ในฐานะที่เจ้าหญิงมาร์เกรเธอไม่มีพระเชษฐาหรือพระอนุชา ได้มีการสันนิษฐานว่าพระปิตุลาของเจ้าหญิงคือ เจ้าชายคนุดแห่งเดนมาร์ก จะได้สืบราชบัลลังก์เดนมาร์กในวันใดวันหนึ่ง
กระบวนการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้เริ่มต้นในปีพ.ศ. 2490 ไม่นานหลังจากพระราชบิดาทรงครองราชบัลลังก์และกลายเป็นที่เข้าใจว่าสมเด็จพระราชินีอิงกริดไม่มีพระประสูติกาลพระบุตรมากไปกว่านี้อีกแล้ว ด้วยกระแสความนิยมในพระเจ้าเฟรเดอริคและพระราชธิดาทั้งสามพระองค์และบทบาทของสตรีในสังคมเดนมาร์กได้ปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ได้มีการเริ่มต้นกระบวนการที่ซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ข้อเสนอได้มีการผ่านเข้ารัฐสภาทั้งสองและจากนั้นด้วยการลงประชามติ ที่ซึ่งกำหนดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2496 พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์กฉบับใหม่ได้อนุญาตให้สตรีสามารถสืบราชบัลลังก์เดนมาร์ก ตามที่สิทธิของบุตรหัวปี ซึ่งสตรีสามารถสืบราชบัลลงก์ได้ถ้าหากไม่มีพระเชษฐาหรือพระอนุชา เจ้าหญิงมาร์เกรเธอในขณะนั้นจึงทรงกลายเป็นทายาทโดยสันนิษฐาน
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 18 พรรษาของเจ้าหญิง ในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2501 เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงได้รับตำแหน่งในสภาองคมนตรีเดนมาร์ก เจ้าหญิงทรงเป็นประธานในการประชุมสภาในช่วงที่พระมหากษัตริย์ทรงติดพระราชกิจ
ในช่วงกลางปีพ.ศ. 2503 เจ้าหญิงทรงร่วมกับเหล่าเจ้าหญิงแห่งสวีเดนและนอร์เวย์ เจ้าหญิงเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาที่ซึ่งรวมทั้งเสด็จเยือนลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และเสด็จไปที่พาราเมาต์พิกเจอส์ ที่ซึ่งทุกพระองค์ทรงพบปะกับเหล่าคนดังจำนวนมากรวมทั้ง ดีน มาร์ติน, เจอร์รี ลิวอิส และเอลวิส เพรสลีย์
การศึกษา
เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงใช้เวลาหนึ่งปีในการเข้าศึกษาที่โรงเรียนนอร์ทฟอร์แลนด์ล็อดจ์ เป็นโรงเรียนประจำสำหรับเด็กผู้หญิงที่แฮมป์เชอร์, อังกฤษ[3] และจากนั้นทรงศึกษาในวิชาโบราณคดีสาขายุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เกอร์ตันคอลลีจ, แคมบริดจ์ในช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2503 ถึงพ.ศ. 2504 ทรงศึกษาด้านรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอาร์ฮุสในช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2504 และพ.ศ. 2505 ทรงเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยปารีสในปีพ.ศ. 2506 และทรงเข้าศึกษาที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอนในปีพ.ศ. 2508 เจ้าหญิงทรงเป็นผู้สนับสนุนและเข้าร่วมสมาคมโบราณวัตถุลอนดอน
เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงมีความถนัดในภาษาเดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, สวีเดนและเยอรมัน[4]
อภิเษกสมรส
ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2510 เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงอภิเษกสมรสกับนักการทูตชาวฝรั่งเศสคือ เคานท์อ็องรี เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซา ณ โบสถ์โฮลเมนในโคเปนเฮเกน อ็องรี เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซาได้รับพระอิสริยยศว่า "ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก" (His Royal Highness Prince Henrik of Denmark) เนื่องจากฐานะใหม่ของพระองค์คือเป็นพระราชสวามีในเจ้าหญิงรัชทายาทโดยสันนิษฐานแห่งราชบัลลังก์เดนมาร์ก
เจ้าหญิงมาร์เกรเธอมีพระประสูติกาลพระราชโอรสพระองค์แรกในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2511 ตามโบราณราชประเพณี พระมหากษัตริย์เดนมาร์กต้องทรงผลัดกันเลือกพระนามว่า เฟรเดอริก หรือ คริสเตียน เจ้าหญิงยังทรงคงฐานะนี้ไว้ โดยทรงสมมติว่าพระนามของพระนางคือ คริสเตียน และดังนั้นทรงตั้งพระนามของพระราชโอรสพระองค์โตว่า เจ้าชายเฟรเดอริก พระราชโอรสพระองค์ที่สอง ได้รับการตั้งพระนามว่า เจ้าชายโจอาคิม ซึ่งประสูติในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2512
รัชกาล
สืบราชบัลลังก์
เพียงระยะเวลาอันสั้น หลังจากพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 มีพระราชดำรัสในวโรกาสวันปีใหม่ของประเทศในช่วงปลายปีพ.ศ. 2514 ถึงต้นปีพ.ศ. 2515 พระองค์ก็ทรงพระประชวร คล้ายไข้หวัด หลังจากเสด็จกลับมาประทับผ่อนคลายอิริยาบถเพียงไม่กี่วัน พระองค์มีพระหทัยวายและทรงถูกนำพระองค์มาที่โรงพยาบาลเทศบาลในวันที่ 3 มกราคม หลังจากการรักษาที่เห็นได้ชัด พระอาการของพระเจ้าเฟรเดอริกทรงทรุดลงในวันที่ 11 มกราคม และพระองค์เสด็จสวรรคตในวันที่ 14 มกราคม
เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กในฐานะ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก และทรงกลายเป็นพระประมุขสตรีพระองค์แรกภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระนางทรงได้รับการประกาศเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ ณ มุขเด็จแห่งพระราชวังคริสเตียนบอร์กโดยนายกรัฐมนตรีเจนส์ ออตโต คร้าก ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2515 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "พระมหากษัตริย์สวรรคต สมเด็จพระราชินีทรงพระเจริญ" (The King is dead, long live the Queen!) สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงสละพระอิสริยยศทุกตำแหน่งของอดีตพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน ๆ ยกเว้นพระอิสริยยศในเดนมาร์ก ดังนั้นทรงขนานพระนามว่า ด้วยพระคุณของพระเจ้า, สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก (ภาษาเดนมาร์ก : Margrethe den Anden, af Guds Nåde Danmarks Dronning) สมเด็จพระราชินีนาถทรงเลือกคติพจน์ประจำรัชกาลว่า
“ | ความช่วยเหลือของพระเจ้า ความรักของประชาชน ความแข็งแกร่งของเดนมาร์ก (Guds hjælp, folkets kærlighed, Danmarks styrke)[4] | ” |
พระนางมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 มีพระราชดำรัสว่า
“ | พระราชบิดาอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า พระมหากษัตริย์ของพวกเราเสด็จสวรรคต ภาระทุกอย่างที่พระราชบิดาของข้าพเจ้าทรงแบกรับมานานเกือบ 25 ปีในตอนนี้บ่าของข้าพเจ้าได้แบกรับแทนพระองค์ ข้าพเจ้าของสวดวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์โปรดช่วยเหลือข้าพเจ้าและทรงมอบความแข็งแกร่งที่จะแบกรับมรดกของชาติที่ยิ่งใหญ่ ขอให้ความไว้วางใจที่ได้ทรงมอบให้แก่พระราชบิดาของข้าพเจ้าได้โปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้า[5] | ” |
บทบาทตามรัฐธรรมนูญ
พระราชกรณียกิจหลักของสมเด็จพระราชินีนาถคือ ทรงเป็นตัวแทนของราชอาณาจักรในการเสด็จเยือนต่างประเทศและจะทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทั้งชาติในประเทศ พระนางมีพระราชกรณียกิจในการเสด็จออกรับเหล่าคณะทูตจากต่างประเทศและทรงรับรางวัลและเหรียญเกียรติยศ สมเด็จพระราชินีนาถทรงดำเนินการต่าง ๆ โดยทรงตอบรับคำเชิญที่จะให้พระองค์เสด็จไปเปิดนิทรรศการ, ทรงเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ, พิธีเปิดสะพานอย่างเป็นทางการ เป็นต้น
ในฐานะที่ทรงเป็นบุคคลสาธารณะที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง สมเด็จพระราชินีไม่ทรงมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองและไม่ทรงแสดงความคิดเห็นทางการเมืองใด ๆ แม้ว่าพระนางจะทรงมีสิทธิในการเลือกตั้ง แต่พระนางไม่ทรงทำเช่นนั้นแม้กระทั่งการแสดงพระองค์เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
หลังจากการเลือกตั้งที่ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับเสียงข้างมาก สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงใช้สิทธิในการ "ดรอนนิงเกอรุนด์" (Dronningerunde, Queen's meeting, การเข้าเฝ้าพระราชินี) ที่ซึ่งพระนางจะทรงพบปะกับหัวหน้าของแต่ละพรรคการเมืองเดนมาร์ก[6]
แต่ละพรรคมีทางเลือกที่จะเข้าสู่กระบวนการพระราชวินิจฉัย ซึ่งจะนำไปสู่การเจรจาต่อรองหรือทางเลือกเดียว โดยให้นายกรัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันได้ดำเนินการรัฐบาลของเขาต่อ ในทางทฤษฎีแต่ละพรรคสามารถเลือกผู้นำของตนเองในพระราชวินิจฉัย พรรคสังคมเสรีนิยมเดนมาร์กได้ทำเช่นนี้ในปีพ.ศ. 2549 แต่มักจะเป็นเพียงหนึ่งในพระราชวินิจฉัยซึ่งได้เลือกนายกรัฐมนตรีรวมก่อนที่จะทำการเลือกตั้ง ผู้นำที่ซึ่งในการประชุมสามารถรักษาเสียงข้างมากในโฟลเกททิงจะได้รับพระบรมราชโองการด้วยการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ (มันไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ซึ่งพรรคใดพรรคหนึ่งสามารถได้รับเสียงข้างมากด้วยตัวเองได้)
เมื่อจัดตั้งรัฐบาลขึ้น จะได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากสมเด็จพระราชินี โดยพิธีการ สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงดำรงเป็นหัวหน้ารัฐบาล และพระนางจะทรงเป็นประธานในการประชุมรัฐสภา ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายที่ได้รับการผ่านโดยรัฐสภาจะทำการลงนามในกฎหมาย อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ รัฐสภาเป็นผู้ใช้พระราชอำนาจอย่างเป็นทางการเกือบทั้งหมดของสมเด็จพระราชินีจและพระนางจะทรงมีหน้าที่ทำตามคำแนะนำจากที่ประชุม
นอกเหนือไปจากบทบาทของพระนางในประเทศของพระนางเอง สมเด็จพระราชินียังทรงเป็นพันเอกผู้บัญชาการแห่งกองพันทหารหลวงเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เป็นกองพันทหารราบแห่งกองทัพบริติช ตามธรรมเนียมของพระราชวงศ์ของพระนาง
พระราชพิธีครองสิริราชสมบัติครบ 40 ปี
ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555 สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงจัดพระราชพิธีครองสิริราชสมบัติครบ 40 ปี (Ruby Jubilee)[7] พระราชพิธีนี้ประกอบด้วยขบวนรถม้าและการสัมภาษณ์จากโทรทัศน์จำนวนมาก พระราชอาคันตุกะที่มาร่วมพระราชพิธีนี้รวมทั้ง สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์และสวีเดน อดีตสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ และประธานาธิบดีแห่งฟินแลนด์ เป็นต้น [8]
พระชนมชีพส่วนพระองค์และความสนพระทัย
ที่ประทับอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชินีนาถและพระราชสวามีคือพระราชวังอามาเลียนบอร์กในโคเปนเฮเกน และพระราชวังฟรีเดนส์บอร์ก ที่ประทับในฤดูร้อนของทั้งสองพระองค์คือ พระราชวังกราสเต็นใกล้กับชอนเดนบอร์ก เป็นอดีตที่ประทับของพระราชชนนี สมเด็จพระราชินีอิงกริดซึ่งสิ้นพระชนม์ในปีพ.ศ. 2543
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงเป็นจิตรกรที่ประสบความสำเร็จ และทรงจัดแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา[9] ภาพประกอบของพระนางภายใต้นามแฝงว่า "อินกาฮิลด์ กราธเมอร์" เคยนำมาใช้ประกอบในนวนิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ฉบับภาษาเดนมาร์กที่ตีพิมพ์ในปีพ.ศ. 2520 และตีพิมพ์ใหม่ในปีพ.ศ. 2545 ในปีพ.ศ. 2543 พระนางทรงใส่ภาพประกอบลงในหนังสือ Cantabile ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวมบทกวีที่พระราชนิพนธ์ขึ้นโดยเจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี พระนางยังคงประสบความสำเร็จในฐานะนักแปลและทรงมีส่วนร่วมในการแปลนวนิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ในภาษาเดนมาร์ก[9] ทักษะอื่น ๆ นอกำจากนี้ที่ทรงมีคือการออกแบบเครื่องแต่งกาย ทรงออกแบบเครื่องแต่งกายในคณะบัลเล่ต์หลวงเดนมาร์กในเรื่องA Folk Taleและในปีพ.ศ. 2552 ทรงออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์เรื่อง "De vilde svaner" (the Wild Swans; ห่านป่า) ของผู้กำกับปีเตอร์ ฟลินธ์[10]
พระนางยังทรงออกแบบฉลองพระองค์ของพระนางเองด้วยและเป็นที่รู้จักสำหรับฉลองพระองค์ของพระนางที่มีสีสันและบางครั้งทรงเลือกฉลองพระองค์แปลก ๆ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอยังทรงฉลองพระองค์ที่ออกแบบโดยอดีตดีไซนเนอร์ของปิแยร์ บาลเมนคือ อีริค มอร์เทนเซน, จอร์เกน เบนเดอร์, และเบอร์จิเต ทูโลว์[11] พระนางทรงได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 50 คนที่สวมชุดได้ดีที่สุดในช่วงวัย 50 ปีขึ้นไปของนิตยสารการ์เดียนในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556[12]
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอทรงเป็นผู้สูบบุหรี่จัด และพระนางทรงมีชื่อเสียงจากพฤติกรรมยาสูบของพระนาง[13] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 หนังสือพิมพ์ บี.ที. ของเดนมาร์กได้รายงานว่ามีประกาศจากสำนักพระราชวังที่ระบุว่าในอนาคตสมเด็จพระราชินีจะทรงสูบบุหรี่เฉพาะในเวลาส่วนพระองค์เท่านั้น
แถลงการณ์ในปีพ.ศ. 2548 ได้อนุญาตชีวประวัติของสมเด็จพระราชินี (ในชื่อว่า "Margrethe") ได้มุ่งเน้นไปที่ทรรศนะของพระนางต่อศาสนาอิสลามว่า
“ | เรากำลังถูกท้าทายในศาสนาอิสลามปีนี้ ทั่วโลกเช่นเดียวกับประเทศเรา มีบางอย่างที่น่าประทับใจเกี่ยวกับผู้คนผู้ซึ่งศาสนาได้ซึมซับการดำรงอยู่ของพวกเขา จากพลบค่ำถึงรุ่งอรุณ จากแปลเด็กสู่หลุมฝังศพ นอกจากนี้ยังมีชาวคริสต์ที่รู้สึกแบบนี้ มีบางอย่างที่เป็นที่รักเกี่ยวกับผู้คนผู้ซึ่งให้ตนเองมุ่งขึ้นสู่ความสมบูรณ์ของความศรัทธาของพวกเขา แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวเหมือนกันเกี่ยวกับสิ่งทั้งหมดดังกล่าวที่ซึ่งยังคงเป็นคุณลักษณะของศาสนาอิสลาม การถ่วงดุลจะต้องมีการค้นพบและหนึ่งบางครั้งมีความเสี่ยงของการตรงไปตรงมาที่ติดอยู่บนตัวคุณ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างสำหรับการแสดงที่ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น และเมื่อเรามีความใจกว้าง เราจะต้องรู้ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกหรือความเชื่อมั่น[14] | ” |
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กทรงได้รับแรงสนับสนุนให้ใส่ภาพประกอบในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1970 พระนางทรงส่งภาพทั้งหมดไปให้เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ผู้ซึ่งตกตะลึงเพราะความคล้ายคลึงกันของภาพวาดของพระนางกับแบบของเขาเอง ภาพของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ได้ตีพิมพ์ในฉบับแปลภาษาเดนมาร์ก ซึ่งวาดขึ้นใหม่โดยอีริค ฟราเซอร์ จิตรกรชาวอังกฤษ
พระราชโอรส
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กกับเจ้าชายเฮนริกมีพระราชโอรสร่วมกัน 2 พระองค์ได้แก่
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรส และพระโอรส-ธิดา | |
เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก | พ.ศ. 2511 |
26 พฤษภาคมยังทรงพระชนม์ | อภิเษกสมรส วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 กับ แมรี เอลิซาเบธ โดนัลด์สัน มีพระโอรสธิดา 4 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายคริสเตียนแห่งเดนมาร์ก เจ้าหญิงอิซาเบลลาแห่งเดนมาร์ก เจ้าชายวินเซนต์แห่งเดนมาร์ก เจ้าหญิงโจเซฟินแห่งเดนมาร์ก | |
เจ้าชายโจอาคิมแห่งเดนมาร์ก | พ.ศ. 2512 |
7 มิถุนายนยังทรงพระชนม์ | อภิเษกสมรสครั้งที่ 1 วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 กับ อเล็กซันดรา คริสตินา มันลีย์ ทรงหย่าในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548 มีพระโอรส 2 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายนิโคไลแห่งเดนมาร์ก เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งเดนมาร์ก อภิเษกสมรสครั้งที่ 2 วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 กับ มารี อากัท โอดี กาวาลีเย มีพระโอรสธิดา 2 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก เจ้าหญิงอธีนาแห่งเดนมาร์ก |
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
ธรรมเนียมพระยศของ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 | |
---|---|
ธงประจำพระอิสริยยศ | |
ตราประจำพระองค์ | |
การทูล | เฮอร์ มาเจสตี |
การขานรับ | ยัวร์ มาเจสตี |
ลำดับโปเจียม | 1 |
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เดนมาร์ก
- : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ดิเอลเลฟเฟน
- : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เดอะเดนเนบอร์ก ชั้น Grand Commander
- : เหรียญที่ระลึกครบรอบ 100 ปีพระประสูติกาลของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9
- : เหรียญที่ระลึกครบรอบ 100 ปีพระประสูติกาลของพระเจ้าคริสเตียนที่ 10
- : เหรียญที่ระลึกสมเด็จพระราชินีอิงกริด
- : เหรียญที่ระลึกครบรอบ 50 ปีวาระที่สมเด็จพระราชินีอิงกริดเสด็จถึงเดนมาร์ก
- : Home Guard fortjensttegn
- : Home Guard 25-year mark
- : เครื่องหมายสันนิบาตพลเรือนรุ่งโรจน์
- : เหรียญตราสมาคมกองทุนสำรองเจ้าหน้าที่เดนมาร์ก
เครื่องราชอิสริยาภรณ์กรีนแลนด์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
- อาร์เจนตินา : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์นายพลผู้ปลดปล่อยซานมาร์ติน
- ออสเตรีย : เกียรติยศสำหรับการรับใช้สาธารณรัฐออสเตรีย (พ.ศ. 2507)[15]
- เบลเยียม : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลโอโปลด์ [16]
- บราซิล : เครื่องอิสริยาภรณ์กางเขนใต้
- บัลแกเรีย : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์สตารา พลานินา
- ชิลี : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เกียรติคุณ
- เอสโตเนีย : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เทอร์รา มาเรียนา
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อัลคามาล
- อียิปต์ : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เดอะไนล์
- ฟินแลนด์ : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์กุหลาบขาวแห่งฟินแลนด์
- ฝรั่งเศส : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
- เยอรมนี : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เกียรติคุณแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
- กรีซ : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์มหาไถ่
- กรีซ : เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลกาและโซเฟีย
- ไอซ์แลนด์ : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เหยี่ยว ชั้น Grand Cross (พ.ศ. 2501) ชั้น Grand Cross with Collar (พ.ศ. 2516)[17]
- อิหร่าน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เพลเอียเดสชั้นที่สอง
- อิตาลี : เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐอิตาลี
- ญี่ปุ่น : เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎชั้นที่หนึ่ง มงกุฎดอกพอโลเนีย
- ญี่ปุ่น : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ
- จอร์แดน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์สตาร์ออฟจอร์แดน
- ยูโกสลาเวีย : เครื่องอิสริยาภรณ์ยูโกสลาฟสตาร์
- ลัตเวีย : เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เดอะทรีสตาร์
- ลิทัวเนีย : เครื่องอิสริยาภรณ์พระเจ้าวีตัวนัสมหาราช (พ.ศ. 2539)[18]
- ลักเซมเบิร์ก : เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตทองแห่งราชวงศ์นัสเซา
- เม็กซิโก : เครื่องอิสริยาภรณ์อินทรีเอสแท็ค (พ.ศ. 2551)[19]
- โมร็อกโก : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อูอิสซัม อเลาอุยเต
- เนเธอร์แลนด์ : เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์
- เนปาล : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เนปาล ประทับ ภาสการา
- นอร์เวย์ : เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ
- โปแลนด์ : เครื่องอิสริยาภรณ์เหยี่ยวขาว
- โปแลนด์ : เครื่องอิสริยาภรณ์เกียรติคุณแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์
- โปรตุเกส : เครื่องอิสริยาภรณ์เจ้าชายเฮนรี
- โปรตุเกส : เครื่องอิสริยาภรณ์เซนต์เจมส์เดอะซอร์ด
- โรมาเนีย : เครื่องอิสริยาภรณ์ดาวแห่งโรมาเนีย
- ซาอุดีอาระเบีย : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อับดุลอาซิซ อัล ซะอูด
- สโลวาเกีย : เครื่องอิสริยาภรณ์กางเขนขาวคู่[20]
- สโลวีเนีย : เครื่องอิสริยาภรณ์เสรีภาพแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนีย
- สเปน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ (พ.ศ. 2528)[21]
- สเปน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 (พ.ศ. 2523)[22]
- สวีเดน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซราฟิม
- สวีเดน : เหรียญที่ระลึกเฉลิมฉลองพระเจ้าคาร์ลที่ 16 กุสตาฟพระชนมายุครบ 50 พรรษา (พ.ศ. 2539)[23]
- สวีเดน : เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีครองราชสมบัติครบ 40 ปีของพระเจ้าคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ (พ.ศ. 2556)[24]
- แอฟริกาใต้ : เครื่องอิสริยาภรณ์กู๊ดโฮป
- เกาหลีใต้ : เครื่องอิสริยาภรณ์มูกุงฮวา[25]
- ไทย : เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.)[26]
- ไทย : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์ (ร.ม.ภ.)[27] 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ในโอกาสเสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะพระราชอาคันตุกะส่วนพระองค์
- สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์
- สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์รอยัลวิกตอเรียออร์เดอร์
- สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์รอยัลวิกตอเรียนเซนส์
พระราชตระกูล
สัญลักษณ์แห่งพระองค์
-
ตราประจำพระอิสริยยศ
-
ตราอักษรย่อประจำพระองค์
-
ตราอักษรย่อส่วนพระองค์
-
ตราอักษรย่อรวมของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 และเจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แด่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก
- ↑ "Those Apprentice Kings and Queens Who May – One Day – Ascend a Throne," New York Times. 14 November 1971.
- ↑ The Illustrated London News, vol. 227, Issue 2 (1955), p. 552
- ↑ 4.0 4.1 "The Danish Monarchy". สืบค้นเมื่อ 11 May 2010.
- ↑ "radical royalist: January 2012". radicalroyalist.blogspot.com.br. 13 January 2012. สืบค้นเมื่อ August 4, 2012.
{{cite web}}
: แหล่งข้อมูลอื่นใน
(help)|work=
- ↑ Bysted A/S. "The Monarchy today – The Danish Monarchy". Kongehuset.dk. สืบค้นเมื่อ 2012-02-03.
- ↑ "Queen Margrethe II of Denmark marks 40 years on the throne". BBC News. Denmark. 12 January 2012.
- ↑ http://www.theroyalforums.com/34901-queen-margrethes-ruby-jubilee-festivities/
- ↑ 9.0 9.1 "Margrethe and Henrik Biography". Royalinsight.net. 1940-04-16. สืบค้นเมื่อ 2012-02-03.
- ↑ http://www.imdb.com/title/tt1499643/
- ↑ "The Royal Order of Sartorial Splendor: Flashback Friday: Queen Margrethe's Style". Orderofsplendor.blogspot.com. 2012-01-13. สืบค้นเมื่อ 2012-02-03.
- ↑ "The 50 best-dressed over 50s". The Guardian.
- ↑ "BBC News". BBC News. 2001-03-23. สืบค้นเมื่อ 2012-02-03.
- ↑ [1]
- ↑ "Reply to a parliamentary question about the Decoration of Honour" (pdf) (ภาษาGerman). p. 168. สืบค้นเมื่อ November 2012.
{{cite web}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|trans_title=
(help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ Photos : Albert II & Margrethe II, Group photo
- ↑ Icelandese Presidency Website , Margrethe
- ↑ Lithuanian Presidency, Lithuanian Orders searching form
- ↑ Official decree, 13/02/2008
- ↑ Photo of the Danish Royal couple with the Slovakian Presidential couple
- ↑ Boletín Oficial del Estado
- ↑ Boletín Oficial del Estado
- ↑ Gettyimages
- ↑ Ruby Jubilee in Sweden
- ↑ Noblesse et Royautes
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘๒, ตอน ๑๑๓ ง, ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๘, หน้า ๓๒๖๓
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แด่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ ๒ แห่งเดนมาร์ก เจ้าชายเฮนริก แห่งเดนมาร์ก พระราชสวามี และเจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก, เล่ม ๑๑๘, ตอน ๒ข ฉบับทะเบียนฐานันดร, ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔, หน้า ๑
- The Queen's Homepage
- The Official Website of The Danish Monarchy
- Tapestries for HM The Queen of Denmark
ก่อนหน้า | สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 | สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก (15 มกราคม พ.ศ. 2515 - ปัจจุบัน) |
ยังอยู่ในราชสมบัติ |