ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แปซิฟิกใต้ในอาณัติ"
Timekeepertmk (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
Timekeepertmk (คุย | ส่วนร่วม) |
||
บรรทัด 67: | บรรทัด 67: | ||
การพัฒนาทางด้านเกษตรกรรมของดินแดนแห่งนี้ เริ่มขึ้นเมื่อญี่ปุ่นได้รับสิทธิ์ในการปกครองแปซิฟิกใต้ในอาณัติ เทะสุกะ โทชิโระ (Tezuka Toshiro) ข้าหลวงใหญ่ประจำแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้ปรึกษากับมัตสุเอะ ฮารุจิ (Matsue Haruji) ถึงความเป็นไปได้ในการเพาะปลูกอ้อย ซึ่งเป็นพืชเกษตรกรรมที่มีความเป็นไปได้และเหมาะสมต่อสภาพภูมิอากาศของพื้นที่แปซิฟิกใต้ในอาณัติมากที่สุด <ref name="Peattie"/> การเจรจาพูดคุยกันของรัฐบาลแปซิฟิกใต้ในอาณัติและมัตสุเอะ ฮารุจิ นำไปสู่การจัดตั้งบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development Company หรือ Nanyo Kohatsu Kabushiki Kaisha) แม้ว่าในอดีตนักธุรกิจและภาคเอกชนของญี่ปุ่นมักประสบความล้มเหลวในการเพาะปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล แต่การที่รัฐบาลแปซิฟิกใต้ในอาณัติและภาคเอกชนร่วมมือกัน เป็นเพราะการสำรวจและจัดทำแผนที่ของกองทัพเรือญี่ปุ่นในบริเวณแปซิฟิกใต้ในอาณัติ พร้อมทั้งระบุสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประชากรและวัฒนธรรม เป็นผลทำให้การตัดสินใจเป็นไปได้โดยง่ายขึ้น <ref name="Ngo"/> |
การพัฒนาทางด้านเกษตรกรรมของดินแดนแห่งนี้ เริ่มขึ้นเมื่อญี่ปุ่นได้รับสิทธิ์ในการปกครองแปซิฟิกใต้ในอาณัติ เทะสุกะ โทชิโระ (Tezuka Toshiro) ข้าหลวงใหญ่ประจำแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้ปรึกษากับมัตสุเอะ ฮารุจิ (Matsue Haruji) ถึงความเป็นไปได้ในการเพาะปลูกอ้อย ซึ่งเป็นพืชเกษตรกรรมที่มีความเป็นไปได้และเหมาะสมต่อสภาพภูมิอากาศของพื้นที่แปซิฟิกใต้ในอาณัติมากที่สุด <ref name="Peattie"/> การเจรจาพูดคุยกันของรัฐบาลแปซิฟิกใต้ในอาณัติและมัตสุเอะ ฮารุจิ นำไปสู่การจัดตั้งบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development Company หรือ Nanyo Kohatsu Kabushiki Kaisha) แม้ว่าในอดีตนักธุรกิจและภาคเอกชนของญี่ปุ่นมักประสบความล้มเหลวในการเพาะปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล แต่การที่รัฐบาลแปซิฟิกใต้ในอาณัติและภาคเอกชนร่วมมือกัน เป็นเพราะการสำรวจและจัดทำแผนที่ของกองทัพเรือญี่ปุ่นในบริเวณแปซิฟิกใต้ในอาณัติ พร้อมทั้งระบุสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประชากรและวัฒนธรรม เป็นผลทำให้การตัดสินใจเป็นไปได้โดยง่ายขึ้น <ref name="Ngo"/> |
||
การเพาะปลูกอ้อยของญี่ปุ่นในแปซิฟิกใต้ในอาณัติมีการใช้พื้นที่มากถึง 28,373 เอเคอร์ ซึ่งเป็นรองเพียงแค่มะพร้าว และพืชท้องถิ่นของแปซิฟิกใต้ในอาณัติเท่านั้น <ref name="Weitzell"/> สามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลอาณานิคมกว่า 20 ล้านเยน ซึ่งรายได้เกือบทั้งหมดมาจากการเพาะปลูกอ้อยและอุตสาหกรรมน้ำตาล และปริมาณน้ำตาลในตลาดญี่ปุ่นมีถึงร้อยละ 5 ที่มาจากแปซิฟิกใต้ในอาณัติ <ref name="Purcell"/> ความสำเร็จในการเพาะปลูกอ้อย รวมไปถึงแรงจูงใจที่ดีพอ ส่งผลให้ประชากรชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวโอกินาวานิยมเข้ามาแสวงหาโอกาสในการรับจ้างปลูกอ้อยหรือเป็นลูกจ้างของบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development) ประชากรชาวญี่ปุ่นจึงเพิ่มขึ้นจากเดิมในปี ค.ศ. 1920 มีประชากร 3,671 คน เพิ่มขึ้นเป็น 90,072 คน ในปี ค.ศ. 1941 ในขณะที่ชาวพื้นเมืองมีประชากรรวมกันเพียงแค่ 51,089 คนเท่านั้น<ref name="Ngo"/> ซึ่งประเด็นนี้ส่งผลให้ประชากรชาวพื้นเมืองมีอัตราส่วนประชากรชาวพื้นเมืองต่อประชากรชาวญี่ปุ่นเป็น 1 : 2 แรงจูงใจสำคัญที่ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นอพยพเข้ามา คือ ความสำเร็จจากการเพาะปลูกน้ำตาล การการันตีการได้รับที่ดินบางส่วนเพาะปลูก รวมไปถึงการไม่คู่แข่งเมื่อเทียบกับอาณานิคมอื่น กล่าวคือ ในบันทึกของรัฐบาลญี่ปุ่นมักกล่าวถึงประชากรชาวไมโครนีเซียที่อาศัยอยู่ใน |
การเพาะปลูกอ้อยของญี่ปุ่นในแปซิฟิกใต้ในอาณัติมีการใช้พื้นที่มากถึง 28,373 เอเคอร์ ซึ่งเป็นรองเพียงแค่มะพร้าว และพืชท้องถิ่นของแปซิฟิกใต้ในอาณัติเท่านั้น <ref name="Weitzell"/> สามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลอาณานิคมกว่า 20 ล้านเยน ซึ่งรายได้เกือบทั้งหมดมาจากการเพาะปลูกอ้อยและอุตสาหกรรมน้ำตาล และปริมาณน้ำตาลในตลาดญี่ปุ่นมีถึงร้อยละ 5 ที่มาจากแปซิฟิกใต้ในอาณัติ <ref name="Purcell"/> ความสำเร็จในการเพาะปลูกอ้อย รวมไปถึงแรงจูงใจที่ดีพอ ส่งผลให้ประชากรชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวโอกินาวานิยมเข้ามาแสวงหาโอกาสในการรับจ้างปลูกอ้อยหรือเป็นลูกจ้างของบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development) ประชากรชาวญี่ปุ่นจึงเพิ่มขึ้นจากเดิมในปี ค.ศ. 1920 มีประชากร 3,671 คน เพิ่มขึ้นเป็น 90,072 คน ในปี ค.ศ. 1941 ในขณะที่ชาวพื้นเมืองมีประชากรรวมกันเพียงแค่ 51,089 คนเท่านั้น<ref name="Ngo"/> ซึ่งประเด็นนี้ส่งผลให้ประชากรชาวพื้นเมืองมีอัตราส่วนประชากรชาวพื้นเมืองต่อประชากรชาวญี่ปุ่นเป็น 1 : 2 แรงจูงใจสำคัญที่ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นอพยพเข้ามา คือ ความสำเร็จจากการเพาะปลูกน้ำตาล การการันตีการได้รับที่ดินบางส่วนเพาะปลูก รวมไปถึงการไม่คู่แข่งเมื่อเทียบกับอาณานิคมอื่น กล่าวคือ ในบันทึกของรัฐบาลญี่ปุ่นมักกล่าวถึงประชากรชาวไมโครนีเซียที่อาศัยอยู่ในแปซิฟิกใต้ในอาณัติว่าเป็นผู้ที่ “ขี้เกียจ ไม่มีอารยธรรม ป่าเถื่อน ใช่ชีวิตประจำวันไปวันๆ และอยู่ในวิถีดั้งเดิม” <ref name="Peattie"/> ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรชาวจีนในไต้หวันและชาวญี่ปุ่นในเกาหลีแล้ว ชาวไมโครนีเซียเป็นผู้ที่มีลักษณะด้อยวัฒนธรรมและความรู้มากที่สุด และรัฐอาณานิคมเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบทบาทของชาวไมโครนีเซียในเศรษฐกิจมากเท่าใดนัก |
||
ในการเกษตรกรรมด้านอื่นๆ พบว่าแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้ให้ความสำคัญรองลงมาคือการเพาะปลูกมะพร้าวและสาเก ซึ่งสาเกกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development) โดยทำการผลิตในเกาะไซปันและทีเนียน ส่วนมะพร้าวมักแปรรูปเป็นมะพร้าวตากแห้งเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ยังพบการริเริ่มทดลองปลูกข้าว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกอ้อย รวมไปถึงได้ตั้งสถานีเกษตรกรรมเพื่อทดลองปลูกพืชชนิดต่างๆ ในแปซิฟิกใต้ในอาณัติ<ref>Diane Ragone, David Lorence and Timothy Flynn. 2001. History of Plant Introduction in Pohnpei and the Role of Ponhpei Agricultural Station. Economic Botany 55(2): 290 – 324.</ref> |
ในการเกษตรกรรมด้านอื่นๆ พบว่าแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้ให้ความสำคัญรองลงมาคือการเพาะปลูกมะพร้าวและสาเก ซึ่งสาเกกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development) โดยทำการผลิตในเกาะไซปันและทีเนียน ส่วนมะพร้าวมักแปรรูปเป็นมะพร้าวตากแห้งเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ยังพบการริเริ่มทดลองปลูกข้าว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกอ้อย รวมไปถึงได้ตั้งสถานีเกษตรกรรมเพื่อทดลองปลูกพืชชนิดต่างๆ ในแปซิฟิกใต้ในอาณัติ<ref>Diane Ragone, David Lorence and Timothy Flynn. 2001. History of Plant Introduction in Pohnpei and the Role of Ponhpei Agricultural Station. Economic Botany 55(2): 290 – 324.</ref> |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:46, 11 เมษายน 2560
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
แปซิฟิกใต้ในอาณัติ 南洋群島 Nan'yō Guntō | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1919–ค.ศ. 1947 | |||||||||
ดินแดนอาณัติของสันนิบาติชาติในแปซิฟิก โดยหมายเลข 1 คือดินแดนแปซิฟิกใต้ในอาณัติ | |||||||||
สถานะ | ดินแดนในอาณัติของจักรวรรดิญี่ปุ่น | ||||||||
เมืองหลวง | คอรอร์ | ||||||||
ภาษาทั่วไป | ญี่ปุ่น (ทางการ) ออสโตรนีเซียน | ||||||||
จักรพรรดิ | |||||||||
• 1919-1926 | จักรพรรดิไทโช (โยะชิฮิโตะ) | ||||||||
• 1926-1947 | จักรพรรดิโชวะ (ฮิโระฮิโตะ) | ||||||||
ข้าหลวง | |||||||||
• 1919-1923 (คนแรก) | โทะชิโระ เทะสุกะ | ||||||||
• 1943-1946 (คนสุดท้าย) | โบะชิโระ โฮะโซะกะยะ | ||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | จักรวรรดิญี่ปุ่น | ||||||||
28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 | |||||||||
18 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 | |||||||||
สกุลเงิน | เยน, ปอนด์โอเชียเนีย | ||||||||
| |||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | ปาเลา หมู่เกาะมาร์แชลล์ ไมโครนีเชีย หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา |
แปซิฟิกใต้ในอาณัติ (อังกฤษ: South Pacific Mandate) เป็นดินแดนภายใต้การดูแลของสันนิบาตชาติ ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ครอบคลุม 3 ประเทศ 1 ดินแดน คือ สาธารณรัฐปาเลา สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ สหพันธรัฐไมโครนีเซียและดินแดนหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน แปซิฟิกใต้ในอาณัติเป็นชื่อทางการของอาณานิคมหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางเหนือเส้นศูนย์สูตร ซึ่งสันนิบาตชาติมอบหมู่เกาะในภูมิภาคไมโครนีเซียอันเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมเยอรมันนิวกินีให้กับจักรวรรดิญี่ปุ่นหลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุด[1]
ญี่ปุ่นเข้าปกครองแปซิฟิกใต้ในอาณัติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 – 1947 ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "หมู่เกาะทะเลใต้ในการอาณัติของญี่ปุ่น" (อังกฤษ: Japanese mandate for the South Seas Islands) (日本委任統治領南洋群島, อักษรโรมัน: Nihon Inin Tōchi-ryō Nan'yō Guntō) โดยการเข้าปกครองของญี่ปุ่นนั้นได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อแปซิฟิกใต้ในอาณัติหลายประการทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ยังพบกับการเข้าใช้ประโยชน์จากดินแดนแห่งนี้ในรูปแบบต่าง ๆ การเข้าปกครองดินแดนแห่งนี้ของจักรวรรดิญี่ปุ่นสิ้นสุดลงหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสหประชาชาติได้มอบหมายดินแดนบริเวณดังกล่าวให้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ดูแลแทนในชื่อดินแดนแปซิฟิกใต้ในภาวะทรัสตี จนกระทั่งบางประเทศในภูมิภาคไมโครนีเซียได้รับเอกราช
ประวัติศาสตร์ก่อนการเข้ามาของญี่ปุ่น
ประวัติศาสตร์ภูมิภาคไมโครนีเซียก่อนการเข้ามาปกครองของจักรวรรดิญี่ปุ่นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ช่วงหลัก คือ ระยะแรก เป็นระยะทีชาวไมโครนีเซียเข้ามาตั้งถิ่นฐานและสร้างชุมชน และระยะที่สอง เป็นระยะที่จักรวรรดิอาณานิคมเยอรมนีเริ่มเข้าครอบครองหมู่เกาะในบริเวณนี้
จากการสำรวจและวิเคราะห์ทางด้านโบราณคดี นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาสันนิษฐานว่าบริเวณภูมิภาคไมโครนีเซียเริ่มมีการตั้งถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่ 4,000 – 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลายเป็นบรรพบุรุษของชาวชามอร์โร (Chamorro) ชาวไมโครนีเซีย (Micronesia) และชาวปาเลา (Palau) ในปัจจุบัน[2] การอาศัยอยู่ของผู้คนในบริเวณนี้มักอาศัยอยู่กันแบบสังคมชนเผ่า แต่ก็พบการตั้งศูนย์กลางทางการเมืองในรูปแบบการปกครองอาณาจักรทางทะเลขึ้นที่เกาะเทมเวน (Temwen Island) ในเขตโบราณสถาน นาน มาโดล (Nan Madol) ในรัฐโปนเปย์ (Pohnpei) ประเทศไมโครนีเซีย ซึ่งโบราณสถานสร้างด้วยหินมีการเชื่อมคลองและได้รับการยกย่องว่าเป็นเวนิสแห่งแปซิฟิก [3] ดินแดนบริเวณนี้ได้รับการสำรวจโดยนักสำรวจชาวตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวสเปนและโปรตุเกสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่ยังไม่มีปฏิสัมพันธ์กับชาวพื้นเมืองมากนัก ในช่วงเวลาต่อมาสเปนได้เข้าครอบครองหมู่เกาะบริเวณนี้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 19
ในปี ค.ศ. 1898 สเปนทำสงครามกับสหรัฐอเมริกา ผลของสงครามในครั้งนั้นสเปนพ่ายแพ้ จึงจำเป็นต้องยกเกาะกวม (Guam) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะมาเรียนาให้แก่สหรัฐอเมริกา และสเปนดำเนินการขายหมู่เกาะมาเรียนาที่เหลือและหมู่เกาะแคโรไลน์ให้กับจักรวรรดิอาณานิคมเยอรมนี ส่งผลให้เยอรมนีเริ่มเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคไมโครนีเซีย บริหารภายใต้การปกครองของอาณานิคมเยอรมันนิวกินี โดยใช้ประโยชน์อาณานิคมแห่งนี้ในฐานะท่าเรือรบ [4] เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น ในช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่นมองเห็นโอกาสในการขยายอิทธิพลของจักรวรรดิในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและมหาสมุทรแปซิฟิก จึงเริ่มการประกาศสงครามกับเยอรมนีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 โดยจุดเน้นของญี่ปุ่นในการทำสงครามกับเยอรมนีคือการยึดท่าเรือและแหล่งธุรกิจในฉางตง ในเวลาต่อมาชาติพันธมิตรต้องการให้ญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันขบวนสินค้าให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรอินเดียและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีข้อแลกเปลี่ยนกับการยกส่วนหนึ่งของฉางตงและหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกที่เป็นอาณานิคมของเยอรมนีให้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น [5] เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นได้เป็นส่วนหนึ่งในการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีส่วนร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ค่อนข้างน้อย แต่ก็ได้รับการยอมรับในฐานะชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งของโลก มีสถานะเป็นสมาชิกถาวรของสภาสันนิบาตชาติ นอกจากนี้ญี่ปุ่นได้ดินแดนฉางตง และหมู่เกาะตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกตามสัญญา หมู่เกาะตอนเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเหล่านี้ สันนิบาตชาติจัดให้เป็นดินแดนในอาณัติระดับซี (Class – C Mandate) ซึ่งเป็นดินแดนที่สันนิบาตชาติมองว่าชาติเจ้าของดินแดนในอาณัติควรบริหารจัดการตามกฎหมายในฐานะดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศแม่ [5]
การที่ญี่ปุ่นได้ดินแดนแปซิฟิกใต้ในอาณัติ เนื่องจากเป็นข้อแลกเปลี่ยนสำคัญในการเข้าร่วมช่วยเหลือชาติสัมพันธมิตรของญี่ปุ่น ซึ่งการเข้าช่วยเหลือของญี่ปุ่นแม้มีเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญมาก เนื่องจากชาติสัมพันธมิตรชาติอื่นติดพันการรบในยุโรป ส่งผลให้ไม่สามารถคุ้มกันกองเรือของแต่ละประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามในระยะแรก คณะที่ประชุมของสันนิบาติชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ไม่ต้องการมอบดินแดนอดีตอาณานิคมเยอรมันนิวกินีส่วนหนึ่งให้กับญึ่ปุ่น โดยสหรัฐอเมริกามองว่าหากมอบดินแดนส่วนนี้ให้กับญี่ปุ่น เกาะกวม สถานีวิทยุสื่อสารบนเกาะแยป (Yap) และความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาจะเป็นอันตราย[4] แต่ที่ประชุมสันนิบาติชาติเกรงว่าหากไม่มอบดินแดนส่วนนี้ให้กับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจะไม่เข้าเป็นสมาชิกของสันนิบาติชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้สันนิบาติชาติได้ปฏิเสธข้อเสนอของญี่ปุ่นในข้อตกลงการยกเลิกการเหยียดชาติพันธุ์ โดยสันนิบาติชาติมองว่าหากญี่ปุ่นไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกอาจเกิดปัญหาความขัดแย้งครั้งใหญ่ตามมา [6]
การได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้สร้างความพึงพอใจให้กับสื่อมวลชนและนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือเป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้เอะโนะโมะโตะ ทะเคอะกิ (Enomoto Takeaki) ต้องการสำรวจดินแดนในบริเวณนี้เพื่อหาอาณานิคมแห่งใหม่ให้กับญี่ปุ่น แต่พบว่าเกาะเหล่านี้ตกเป็นของเยอรมนีและสเปนแล้วในขณะนั้น[7] ซึ่งญี่ปุ่นต้องการหมู่เกาะในบริเวณนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เป็นสะพานเชื่อมต่อดินแดนทางใต้ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคเมลานีเซีย) รวมไปถึงเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างฮาวายและฟิลิปปินส์ อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นฐานทัพของทัพเรือในการปกป้องประเทศจากวิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้[8]
เศรษฐกิจ
พื้นที่ของแปซิฟิกใต้ในอาณัติมีความจำกัดมาก โดยพบว่าเมื่อนำพื้นที่เกาะต่าง ๆ รวมกันแล้วมีพื้นที่เพียง 2,158 ตารางกิโลเมตร โดยเกาะที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเพียง 377 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น [9] แม้ว่าพื้นที่ของแปซิฟิกใต้ในอาณัติจะมีน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับอาณานิคมอื่นของญี่ปุ่น แต่ดินแดนแห่งนี้ก็สามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับญี่ปุ่นได้พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกิจการด้านเกษตรกรรม การประมงและกิจการเหมืองแร่ สามารถสร้างเงินได้ให้กับรัฐบาลและภาคเอกชนอย่างมหาศาล [10] ซึ่งญี่ปุ่นได้สนับสนุนภาคเอกชนเข้าไปลงทุน โดยการอำนวยความสะดวกด้านข้อมูลด้านสารสนเทศต่าง ๆ นำไปสู่การดึงดูดให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแปซิฟิกใต้ในอาณัติมากขึ้น และมีประชากรรวมมากกว่าประชากรชาวพื้นเมืองในที่สุด เมื่อถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจทุกรูปแบบของแปซิฟิกใต้ในอาณัติซบเซาลงเป็นอย่างมาก โดยรายได้ของรัฐบาลเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากต้องนำสินค้า ปัจจัยการผลิตและกำลังคนไปใช้สนับสนุนการรบในช่วงสงครามโลก
ก่อนญี่ปุ่นได้สิทธิ์เข้าปกครองแปซิฟิกใต้ในอาณัติในปี ค.ศ. 1919 ประชากรชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามา เข้าไปทำงานในกิจการเหมืองแร่ของชาติตะวันตกและใช้เป็นทางผ่านในการเข้าไปทำงานในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกส่วนอื่น เช่น เหมืองแร่นิกเกิลในนิวแคลิโดเนีย เป็นต้น [11] ในส่วนของบริษัทของญี่ปุ่นมักให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนสินค้าญี่ปุ่นกับสินค้าพื้นเมืองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในช่วงปี ค.ศ. 1914 มีความพยายามจากภาคส่วนของเอกชนในญี่ปุ่นที่ต้องการลงทุนในบริเวณภูมิภาคไมโครนีเซีย (อาณานิคมเยอรมันนิวกินี) โดยนิชิมูระ อิชิมะสิ (Nishimura Ichimatsu) เกษตรกรชาวญี่ปุ่น รวมไปถึงบริษัทการพัฒนาอุตสาหกรรมทะเลใต้ (South Sea Industrial Development) ที่มองเห็นโอกาสจากราคาน้ำตาลที่สูงมาก ได้เดินทางเข้ามาทำการเพาะปลูกอ้อยในเกาะไซปัน (Saipan) แต่ประสบภาวะล้มเหลวจากโรคระบาดและการขาดความรู้ที่เพียงพอ เป็นผลให้บริษัทจากญี่ปุ่นนิยมเพาะปลูกอ้อยในเกาะฟอร์โมซามากกว่า เนื่องจากมีความเสี่ยงน้อยกว่า [11]
การพัฒนาทางด้านเกษตรกรรมของดินแดนแห่งนี้ เริ่มขึ้นเมื่อญี่ปุ่นได้รับสิทธิ์ในการปกครองแปซิฟิกใต้ในอาณัติ เทะสุกะ โทชิโระ (Tezuka Toshiro) ข้าหลวงใหญ่ประจำแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้ปรึกษากับมัตสุเอะ ฮารุจิ (Matsue Haruji) ถึงความเป็นไปได้ในการเพาะปลูกอ้อย ซึ่งเป็นพืชเกษตรกรรมที่มีความเป็นไปได้และเหมาะสมต่อสภาพภูมิอากาศของพื้นที่แปซิฟิกใต้ในอาณัติมากที่สุด [8] การเจรจาพูดคุยกันของรัฐบาลแปซิฟิกใต้ในอาณัติและมัตสุเอะ ฮารุจิ นำไปสู่การจัดตั้งบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development Company หรือ Nanyo Kohatsu Kabushiki Kaisha) แม้ว่าในอดีตนักธุรกิจและภาคเอกชนของญี่ปุ่นมักประสบความล้มเหลวในการเพาะปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล แต่การที่รัฐบาลแปซิฟิกใต้ในอาณัติและภาคเอกชนร่วมมือกัน เป็นเพราะการสำรวจและจัดทำแผนที่ของกองทัพเรือญี่ปุ่นในบริเวณแปซิฟิกใต้ในอาณัติ พร้อมทั้งระบุสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประชากรและวัฒนธรรม เป็นผลทำให้การตัดสินใจเป็นไปได้โดยง่ายขึ้น [7]
การเพาะปลูกอ้อยของญี่ปุ่นในแปซิฟิกใต้ในอาณัติมีการใช้พื้นที่มากถึง 28,373 เอเคอร์ ซึ่งเป็นรองเพียงแค่มะพร้าว และพืชท้องถิ่นของแปซิฟิกใต้ในอาณัติเท่านั้น [10] สามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลอาณานิคมกว่า 20 ล้านเยน ซึ่งรายได้เกือบทั้งหมดมาจากการเพาะปลูกอ้อยและอุตสาหกรรมน้ำตาล และปริมาณน้ำตาลในตลาดญี่ปุ่นมีถึงร้อยละ 5 ที่มาจากแปซิฟิกใต้ในอาณัติ [11] ความสำเร็จในการเพาะปลูกอ้อย รวมไปถึงแรงจูงใจที่ดีพอ ส่งผลให้ประชากรชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวโอกินาวานิยมเข้ามาแสวงหาโอกาสในการรับจ้างปลูกอ้อยหรือเป็นลูกจ้างของบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development) ประชากรชาวญี่ปุ่นจึงเพิ่มขึ้นจากเดิมในปี ค.ศ. 1920 มีประชากร 3,671 คน เพิ่มขึ้นเป็น 90,072 คน ในปี ค.ศ. 1941 ในขณะที่ชาวพื้นเมืองมีประชากรรวมกันเพียงแค่ 51,089 คนเท่านั้น[7] ซึ่งประเด็นนี้ส่งผลให้ประชากรชาวพื้นเมืองมีอัตราส่วนประชากรชาวพื้นเมืองต่อประชากรชาวญี่ปุ่นเป็น 1 : 2 แรงจูงใจสำคัญที่ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นอพยพเข้ามา คือ ความสำเร็จจากการเพาะปลูกน้ำตาล การการันตีการได้รับที่ดินบางส่วนเพาะปลูก รวมไปถึงการไม่คู่แข่งเมื่อเทียบกับอาณานิคมอื่น กล่าวคือ ในบันทึกของรัฐบาลญี่ปุ่นมักกล่าวถึงประชากรชาวไมโครนีเซียที่อาศัยอยู่ในแปซิฟิกใต้ในอาณัติว่าเป็นผู้ที่ “ขี้เกียจ ไม่มีอารยธรรม ป่าเถื่อน ใช่ชีวิตประจำวันไปวันๆ และอยู่ในวิถีดั้งเดิม” [8] ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรชาวจีนในไต้หวันและชาวญี่ปุ่นในเกาหลีแล้ว ชาวไมโครนีเซียเป็นผู้ที่มีลักษณะด้อยวัฒนธรรมและความรู้มากที่สุด และรัฐอาณานิคมเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบทบาทของชาวไมโครนีเซียในเศรษฐกิจมากเท่าใดนัก
ในการเกษตรกรรมด้านอื่นๆ พบว่าแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้ให้ความสำคัญรองลงมาคือการเพาะปลูกมะพร้าวและสาเก ซึ่งสาเกกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development) โดยทำการผลิตในเกาะไซปันและทีเนียน ส่วนมะพร้าวมักแปรรูปเป็นมะพร้าวตากแห้งเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ยังพบการริเริ่มทดลองปลูกข้าว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกอ้อย รวมไปถึงได้ตั้งสถานีเกษตรกรรมเพื่อทดลองปลูกพืชชนิดต่างๆ ในแปซิฟิกใต้ในอาณัติ[12]
กิจการที่มีความสำคัญอีกรูปแบบหนึ่งต่อเศรษฐกิจของแปซิฟิกใต้ในอาณัติคือการปศุสัตว์และการประมง ในส่วนของการปศุสัตว์นั้นพบว่ายังดำเนินการอยู่ในรูปแบบดั้งเดิม หมูเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญสูงสุด เนื่องจากชาวพื้นเมืองนิยมรับประทานหมูมาก่อนหน้านั้นแล้ว รองลงมาคือวัวและไก่ ในส่วนของการประมงนั้นพบว่าในช่วงระยะแรก ก่อนปี ค.ศ. 1923 กิจการประมงอยู่ในความดูแลของชาวประมงและบริษัทขนาดเล็ก แต่หลังจากปี ค.ศ. 1923 เป็นต้นมา บริษัทขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาควบคุมกิจการการประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทพัฒนาทะเลตะวันออก (South Seas Development) ที่นิยมหาหอยและหมึกเพื่อกลับไปจำหน่ายในญี่ปุ่น [11]
ส่วนกิจการทำเหมืองแร่ในช่วงแรกของแปซิฟิกใต้ในอาณัติเป็นของเยอรมนีเจ้าอาณานิคมเดิม โดยในปี ค.ศ. 1922 ญี่ปุ่นดำเนินการซื้อกิจการเหมืองแร่ทั้งหมดของเยอรมนีเป็นเงิน 1,739,660 เยน โดยรัฐบาลแปซิฟิกใต้ในอาณัติเข้าไปดำเนินการกิจการเหมืองแร่ในเกาะเฟยส์ (Feys) พีลีลู (Pililu) โตโกไบ (Togobai) และอางาอูร์ (Angaur) โดยแร่ที่สำคัญของเกาะเหล่านี้ คือ ฟอสเฟต กิจการเหมืองแร่ในแปซิฟิกใต้ในอาณัติค่อนข้างมีปัญหาอย่างมาก เนื่องจากการขาดแคลนเงินทุน ขาดเครื่องมือที่ดีพอ การขาดแคลนแรงงานมีฝีมือ รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเหมืองแร่ จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1934 ที่รัฐบาลอาณานิคมอนุญาตให้บริษัทพัฒนาทะเลตะวันออก (South Seas Development) เข้าไปลงทุนและพัฒนากิจการเหมืองแร่แต่เพียงผู้เดียว ด้วยภาวการณ์ขาดแคลนแรงงานจึงเริ่มมีการดำเนินการจ้างชาวพื้นเมืองเป็นแรงงานไร้ฝีมือและชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลีและชาวจีนเป็นแรงงานมีฝีมือ โดยอัตราเงินได้ชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ 3.54 เยนต่อวัน โดยชาวพื้นเมืองในแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้ต่ำสุด โดยอยู่ระหว่าง 0.79 – 1.40 เยนต่อวัน ขึ้นอยู่กับทักษะการทำงานของบุคคลนั้น ๆ [11]
อ้างอิง
- ↑ Fifield, Russell. 1946. Disposal of the Carolines, Marshalls, and Marianas at the Paris Peace Conference. The American Historical Review 51(3): 472 – 479.
- ↑ Felix M. Keesing. 1932. Education and Native Peoples: A Study in Objectives. Pacific Affairs 5(8): 675-688.
- ↑ Nan Madol:Celemonial Center of Eastern Micronesia (pdf), UNESCO, 2015, สืบค้นเมื่อ 1 January 2017
- ↑ 4.0 4.1 Earl S. Pomeroy. 1948. American Policy Respecting the Marshalls, Carolines, and Marianas, 1898-1941. Pacific Historical Review 17(1): 43 – 53.
- ↑ 5.0 5.1 Burkman, Thomas. 2008. Japan and the League of Nation. Honolulu: University of Hawaii press.
- ↑ E. T. Williams. 1933. Japan's Mandate in the Pacific. The American Journal of International Law 27(3): 428 – 439.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 Ti Ngo. 2012. Mapping Economic Development: The South Seas Government and Sugar Production in Japan’s South Pacific Mandate, 1919–1941. East Asian History and Culture Review.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 Peattie, Mark. 1988. Nan'yo : The Rise and Fall of the Japanese in Micronesia, 1885-1945 Pacific Islands Monograph Series ; No. 4. Honolulu: University of Hawaii Press.
- ↑ Keichi Yamasaki. 1931. The Japanese Mandate in the South Pacific. Pacific Affairs 4(2): 95 – 112.
- ↑ 10.0 10.1 E. C. Weitzell. 1946. Resource Development in the Pacific Mandated Islands. The Journal of Land & Public Utility Economics 22(3): 199 – 212.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 Purcell, David. 1967. Japanese Expansion in the South Pacific. Degree of Doctor of Philosophy, Faculty of the Graduate School of Arts and Sciences, University of Pennsylvania.
- ↑ Diane Ragone, David Lorence and Timothy Flynn. 2001. History of Plant Introduction in Pohnpei and the Role of Ponhpei Agricultural Station. Economic Botany 55(2): 290 – 324.