ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 6: | บรรทัด 6: | ||
| สีอักษร = #8f5f12 |
| สีอักษร = #8f5f12 |
||
| ภาพ =ไฟล์:Beatrix Queen.JPG|thumb|right|170px |
| ภาพ =ไฟล์:Beatrix Queen.JPG|thumb|right|170px |
||
| caption = อดีตสมเด็จพระราชินีนาถ |
| caption = เจ้าหญิงเบียทริกซ์ อดีตสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเธอร์แลนด์ |
||
| พระบรมนามาภิไธย = เบียทริกซ์ วิลเฮลมินา อาร์มการ์ด |
| พระบรมนามาภิไธย = เบียทริกซ์ วิลเฮลมินา อาร์มการ์ด |
||
| ฐานันดร = เฮอร์รอยัลไฮนิส |
| ฐานันดร = เฮอร์รอยัลไฮนิส |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:26, 21 มกราคม 2560
| ||||||||||||||||||||||||||||
|
อดีตสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ (อังกฤษ: Beatrix of the Netherlands) มีพระนามเต็มว่า เบียทริกซ์ วิลเฮลมินา อาร์มการ์ด ปัจจุบันดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าหญิงแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์-นัสเซา เจ้าหญิงแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2481 ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 จนกระทั่งทรงสละราชสมบัติในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาแห่งเนเธอร์แลนด์กับเจ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์ พระราชชนนีของพระองค์ทรงครองราชบัลลังก์ในปีพ.ศ. 2491 เจ้าหญิงได้ทรงเป็นทายาทโดยสันนิษฐาน เมื่อพระราชมารดาสละราชบัลลังก์ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ได้สืบราชบัลลังก์เป็๋นสมเด็จพระราชินีนาถ
พระนางทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไปที่ประเทศแคนาดา ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จากนั้นทรงสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่เนเธอร์แลนด์ในช่วงยุคหลังสงคราม ในปีพ.ศ. 2504 พระนางทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยไลเดิน ในปีพ.ศ. 2509 เจ้าหญิงเบียทริกซ์อภิเษกสมรสกับเคลาส์ ฟอน อัมส์เบิร์ก นักการทูตชาวเยอรมัน ซึ่งมีพระโอรสร่วมกัน 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์แห่งเนเธอร์แลนด์ (ประสูติ พ.ศ. 2510), เจ้าชายฟริโซแห่งออเรนจ์-นัสเซา (พ.ศ. 2511 - 2556) และเจ้าชายคอนสแตนตินแห่งเนเธอร์แลนด์ (ประสูติ พ.ศ. 2512) เจ้าชายเคลาส์สิ้นพระชนม์ในปีพ.ศ. 2545 ในช่วงที่พระนางสละราชบัลลังก์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์[1]
รัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์เป็นสมัยที่มีการถือครองเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสได้เปลี่ยนรูปแบบใหม่ด้วยการแยกตัวของอารูบาที่ได้กลายเป็นสถานะประเทศองค์ประกอบด้วยตัวเองภายในราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2529 และเช่นเดียวกับเกิดการแยกตัวของเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสในปี พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นการสร้างรูปแบบการปกครองตนเองแห่งโบแนเรอ ซินต์เอิสตาซียึส และซาบา และประเทศองค์ประกอบอีกสองประเทศคือ กือราเซาและซินต์มาร์เติน
ในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงประกาศว่า พระนางจะทรงสละราชบัลลังก์ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 ในวันโกนิงงินเนอดัค (วันพระราชินีนาถ)[2] โดยทรงสละราชบัลลังก์แก่พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ ทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงแห่งราชบัลลังก์ ทำให้พระองค์ทรงกลายเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์พระองค์แรกในรอบ 123 ปี
หลังจากทรงสละราชสมบัติแล้ว มีพระนามและพระอิสริยยศเป็น เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเบียทริกซ์แห่งเนเธอแลนด์ เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์-นัสเซา เจ้าหญิงแห่งลิปเปอ-บีสเตอร์เฟลด์ (อังกฤษ: Her Royal Highness Princess Beatrix of the Netherlands, Princess of Orange-Nassau, Princess of Lippe-Biesterfeld)[3]
ชีวิตในวัยเยาว์
เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงมีพระนามตั้งแต่แรกประสูติว่า เบียทริกซ์ วิลเฮลมินา อาร์มการ์ดแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์-นัสเซา เจ้าหญิงแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์ ประสูติในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2481 ที่พระราชวังโซเอสดิจ์คในบาร์น เนเธอร์แลนด์ ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์แรกในเจ้าหญิงยูเลียนาแห่งเนเธอร์แลนด์กับเชื้อสายขุนนางชั้นสูงชาวเยอรมัน เจ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์[4] เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเข้ารับพิธีบัพติศมาในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2481 ที่มหาวิหารใหญ่ในเดอะเฮก[5] เจ้าหญิงทรงมีพระบืดามารดาอุปถัมภ์ 5 พระองค์ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม, เจ้าหญิงอลิซ เคาน์เตสแห่งแอธโลน, เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งวัลเด็คและไพร์มอนต์, ดยุกอดอล์ฟ เฟรเดอริกแห่งเม็คเคลนบวร์ก และเคานท์เตสอัลลีน เดอ ค็อทเซเบอ[6] พระนามกลางของเจ้าหญิงเบียทริกซ์มาจากพระนามของสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินาแห่งเนเธอร์แลนด์ที่ทรงครองราชย์อยู่ในขณะนั้น และพระนามของพระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดาคือ อาร์มการ์ดแห่งเซียร์สตอร์ฟ-ครัมม์
เมื่อเจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงมีพระชนมายุ 1 พรรษา ในปีพ.ศ. 2482 เจ้าหญิงไอรีน พระขนิษฐาก็ประสูติ[4]
สงครามโลกครั้งที่สองได้มาถึงเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 (ยุทธการที่ฝรั่งเศส) ในวันที่ 13 พฤษภาคม พระราชวงศ์เนเธอร์แลนด์ได้เสด็จลี้ภัยไปยังลอนดอน สหราชอาณาจักร หนึ่งเดือนถัดมา เจ้าหญิงเบียทริกซ์ได้เสด็จไปยังออตตาวา รัฐออนแทรีโอ แคนาดา พร้อมกับเจ้าหญิงยูเลียนา พระราชมารดาและเจ้าหญิงไอรีน พระขนิษฐา ในขณะที่พระราชบิดาของพระนาง เจ้าชายเบิร์นฮาร์ดและสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินา พระอัยยิกายังคงประทับอยู่ที่ลอนดอน[4] พระราชวงศ์ประทับอยู่ที่บ้านสตอร์โนเวย์ (เดิมเป็นบ้านที่พำนักของผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรของแคนาดา)[7] ด้วยกันกับราชองครักษ์และนางพระกำนัล พระราชวงศ์ได้ประทับในช่วงฤดูร้อนที่เลคออฟเบย์ ออนแทรีโอ ซึ่งเป็นกระท่อมหินสี่หลังของรัสอร์ทที่จัดไว้ให้ประทับ ขณะประทับอยู่ที่เกาะบิกวิน รัฐธรรมนูญของเนเธอร์แลนด์ได้ถูกเก็บรักษาไว้ในตู้เหล็กนิรภัยที่ห้องโถงกลมของโรงเตี๊ยมบิกวิน เจ้าหญิงยูเลียนาและพระราชวงศ์ทรงถูกจดจำในฐานะที่ทรง "ลงมาสู่ผืนดิน" ด้วยมิตรไมตรี ความกตัญญูอย่างใหญ่หลวงและการให้ความเคารพอย่างสูงต่อแผ่นดินเกิดและประชาชนของพระองค์ เพื่อที่จะแสดงความเคารพนี้ พระนางทรงงดของฟุ่มเฟือยทั้งหมดที่รีสอร์ทได้บริการให้และมีการจ่ายเงินค่าใช้จ่ายจำนวนมากแก่รีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในแคนาดา เพื่อที่จะทำให้ทรงรู้สึกถึงความปลอดภัย การทำอาหารและเจ้าพนักงานที่ได้รับคำสั่งส่วนบุคคลในช่วงเวลาอาหาร เมื่อทรงเดินทางมาถึง นักดนตรีของโรงเตี๊ยมบิกวินได้ถูกเรียกมาที่ท่าเรือและทำการแสดงในสาธารณะตลอดจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีการบรรเลงเพลง วิลเฮลมัส ด้วย ในหลายปีต่อมารีสอร์ทถูกละเลย แต่กระท่อม "ยูเลียนา" ยังคงได้รับการรักษาอย่างดีและเป็นการเก็บรักษาเพื่อระลึกถึงเจ้าหญิงยูเลียนาและพระราชวงศ์ ด้วยการแสดงความขอบคุณที่ได้ให้การคุ้มครองพระนางและพระราชธิดา เจ้าหญิงยูเลียนาทรงดำเนินการจัดส่งดอกทิวลิปจำนวนมากแก่รัฐบาลแคนาดาในทุกๆฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งถือเป็นหัวใจของเทศกาลทิวลิปแคนาดา
พระขนิษฐาองค์ที่สองของเจ้าหญิงเบียทริกซ์ คือ เจ้าหญิงมาร์เกรียต[4] ประสูติในออตตาวา ปีพ.ศ. 2486 ในระหว่างทรงลี้ภัยอยู่ในแคนาดา เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเข้าศึกษาในสถานรับเลี้ยงเด็กและ[8] โรงเรียนเทศบาลร็อคคลิฟปาร์ค โรงเรียนชั้นประถามศึกษาที่เจ้าหญิงทรงเป็นที่รู้จักในฐานะ "ทริซี่ออเรนจ์" (Trixie Orange)[9][10]
ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 กองทัพเยอรมันในเนเธอร์แลนด์ยอมจำนน พระราชวงศ์ได้เสด็จกลับเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนประถมศึกษา De Werkplaats ในบิลโทเฟน พระขนิษฐาองค์ที่สาม เจ้าหญิงคริสตินาประสูติในปีพ.ศ. 2490[4] ในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2491 พระราชมารดาของพระนาง เจ้าหญิงยูเลียนา ทรงครองราชบัลลังก์สืบต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินา ในฐานะ สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเธอร์แลนด์ และเจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงกลายเป็นทายาทโดยสันนิษฐานแห่งราชบัลลังก์เนเธอร์แลนด์ขณะมีพระชนมายุ 10 พรรษา
การศึกษา
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2493 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเข้า Incrementum ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Baarnsch Lyceum ที่ซึ่งในปีพ.ศ. 2499 เจ้าหญิงทรงผ่านการสอบโรงเรียนของพระนางในสาขาวิชาศิลปะและคลาสสิก[11]
ในปีพ.ศ. 2497 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวในงานแต่งงานของบารอนเนสฟาน รันวีเย็ค กับนายที โบอี[12]
ในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2499 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงมีพระชนมายุ 18 พรรษา นับตั้งแต่วันนั้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงทรงมีสิทธิ์ตามพระราชอำนาจ ในเวลานั้น พระราชมารดาของพระนางทรงแต่งตั้งให้เจ้าหญิงเป็นสมาชิกคณะกรรมการกฤษฎีกาแห่งเนเธอร์แลนด์
ในปีเดียวกันทรงเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยไลเดิน ในปีแรกขณะในมหาวิทยาลัย เจ้าหญิงทรงศึกษาสังคมวิทยา นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์การเมืองและกฎหมายรัฐธรรมนูญ[11] ในหลักสูตรการศึกษาของพระนาง เจ้าหญิงทรงเข้าร่วมการฟังบรรยายเกี่ยวกับวัฒนธรรมของซูรินามและเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส กฎบัตรแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ประวัติศาสตร์และกฎหมายสหภาพยุโรป
เจ้าหญิงทรงเสด็จเยือนประเทศต่างๆในยุโรปและองค์การระหว่างประเทศในเจนีวา สทราซบูร์ ปารีสและบรัสเซลส์ เจ้าหญิงยังทรงเป็นสมาชิกของ VVSL (สหภาพนักศึกษาสตรีไลเดิน) ที่ตอนนี้ถูกเรียกว่า L.S.V. Minerva หลังจากรวมเข้ากับองค์กร Leidsch Studenten Corps (ซึ่งแต่ก่อนเป็นองค์กรสำหรับผู้ชายเท่านั้น) ในฤดูร้อน พ.ศ. 2502 เจ้าหญิงทรงผ่านการสอบเบื้องต้นด้านกฎหมายและทรงได้รับปริญญาบัตรด้านนิติศาสตร์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504[11]
การมีส่วนร่วมทางการเมือง
การปรากฏพระองค์ในทางการเมืองของเจ้าหญิงได้เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งอย่างรุนแรง ในปี พ.ศ. 2508 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงหมั้นกับเคลาส์ ฟอน อัมส์เบิร์ก นักการทูตชาวเยอรมันสังกัดกระทรวงต่างประเทศเยอรมนี การอภิเษกสมรสก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในวันอภิเษกสมรสที่กรุงอัมสเตอร์ดัม วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2509 เจ้าชายเคลาส์ทรงเคยรับราชการในยุวชนฮิตเลอร์และเวร์มัคท์ ดังนั้นจึงเป็นความข้องเกี่ยวระหว่างประชาชนชาวดัตช์กับระบอบนาซีเยอรมัน กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงได้มีข้อความการประท้วงซึ่งเป็นที่จดจำได้แก่ "Claus 'raus!" ("เคลาส์ออกไป!") และ "Mijn fiets terug" ("เอาจักรยานของเราคืนมา"-อ้างถึงการยึดครองเนเธอร์แลนด์ของทหารเยอรมันที่ทำการยึดจักรยานของชาวดัตช์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) ระเบิดควันถูกโยนเข้าใส่รถม้าพระที่นั่งสีทองโดยกลุ่มโปรโว (Provo) ทำให้เกิดการปะทะกับตำรวจอย่างรุนแรงบนท้องถนน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าชายเคลาส์ทรงกลับกลายเป็นหนึ่งในพระราชวงศ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดของพระราชวงศ์ดัตช์ และการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายในปีพ.ศ. 2545 ได้มีการไว้อาลัยแด่พระองค์ทั่วประเทศ
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 เจ้าหญิงเบียทริกซ์และเจ้าชายเคลาส์ทรงเป็นผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถ ในพระราชพิธีประกาศเอกราชของซูรินามที่เมืองหลวงแห่งใหม่ ปารามารีโบ
เหตุการณ์การจลาจลที่มีความรุนแรงได้เกิดขึ้นอีกในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 ในระหว่างพิธีขึ้นครองราชย์ (ประมุขของเนเธอร์แลนด์จะไม่มีการ "สวมมงกุฎ") ของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ กลุ่มผู้จับจองแนวคิดสังคมนิยม ใช้โอกาสนี้ประท้วงเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของคนจนในเนเธอร์แลนด์และต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยข้อความการประท้วงซึ่งเป็นที่จดจำคือ "Geen woning; geen Kroning" (ไม่มีบ้าน ไม่ต้องครองราชย์) เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงกับตำรวจและกองกำลังรักษาความปลอดภัย เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นในวรรณกรรมร่วมสมัยในงานเขียนของเอ. เอฟ. ทีเอช. ฟาน เดอ ไฮจเดิน
ในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถ พระนางเบียทริกซ์ทรงพบปะกับนายกรัฐมนตรีทุกอาทิตย์ พระนางทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติของรัฐสภาและพระราชกฤษฎีกา จนกระทั่งการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในช่วงปลายรัชสมัยของพระนาง โดยมีการแต่งตั้งข้าราชการซึ่งช่วยในสภาวะการก่อตัวของรัฐบาลใหม่ ในการเปิดสมัยประชุมสภาในเดือนกันยายนทุกปี พระนางทรงมีพระราชดำรัสบนราชบัลลังก์ ซึ่งรัฐบาลจะต้องประกาศแผนประจำปีสมัยประชุม ในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถ พระนางทรงดำรงเป็นประธานรัฐสภา และทรงมีบทบาททางพระราชพิธีโดยส่วนใหญ่ และเป็นศูนย์รวมเอกภาพของชาติ พระนางมิทรงใช้พระราชอำนาจตัดสินพระทัยทางด้านนิติบัญญัติและด้านบริหาร
พระนางเบียทริกซ์ทรงเป็นสมาชิกของกลุ่มบิลเดอเบิร์ก[13] เป็นกลุ่มลับที่มีการประชุมประจำปีเท่านั้นโดยผู้ร่วมก่อตั้งคือพระราชบิดาของพระนางซึ่งจะมีการประชุมที่โรงแรมบิลเดอเบิร์กในออสเตอบีค
พระชนม์ชีพส่วนพระองค์
ในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2508 ได้มีการประกาศพิธีหมั้นระหว่างเจ้าหญิงเบียทริกซ์กับเคลาส์ ฟอน อัมส์เบิร์ก เคลาส์และเจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงพบกันในงานเลี้ยงก่อนการเสกสมรสของเจ้าหญิงทาเทียนาแห่งไซน์-วิตเกนสไตน์-เบอร์เลบูร์กกับมอริตซ์ แลนด์เกรฟแห่งเฮสส์ ในฤดูร้อน ปีพ.ศ. 2507 (ในความเป็นจริงทั้งคู่ทรงพบกันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ปีพ.ศ. 2505 ที่บาดดรีบูร์ก ในงานเลี้ยงของเคานท์ ฟอน เอินเฮาเซน-เซียร์สตอร์ฟ ซึ่งเป็นพระญาติห่างๆของทั้งคู่) ด้วยการยินยอมของรัฐสภาในการอภิเษกสมรส เคลาส์ ฟอน อัมส์เบิร์กจึงกลายเป็นพลเมืองชาวดัตช์ และเมื่ออภิเษกสมรสก็กลายเป็นเจ้าชายเคลาส์แห่งเนเธอร์แลนด์ จองคีร์ ฟาน อัมส์เบิร์ก
เจ้าหญิงเบียทริกซ์อภิเษกสมรสกับเคลาส์ในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2509 ทั้งรัฐพิธีและพิธีทางศาสนา[14] เจ้าหญิงทรงสวมฉลองพระองค์แบบดั้งเดิมด้วยผ้าไหมซาตินแบบดัชเชส ที่ออกแบบโดยแคโรไลน์ บรีก-ฟาร์วิค แห่งไมซอนลีเน็ตต์ ในเดน บอร์ชและมงกุฎไข่มุกเวือร์เทมแบร์ก
เพื่อนเจ้าสาวที่อาวุโสได้แก่ เจ้าหญิงคริสตินาแห่งเนเธอร์แลนด์ พระขนิษฐาองค์สุดท้องของพระนางเอง รวมทั้งเจ้าหญิงคริสตินาแห่งสวีเดน, เลดี้เอลิซาเบธ แอนสัน, โจแอนนา โรเอล, ยูเจนี ลอดอน และน้องสาวของเจ้าบ่าวคือ คริสตินา ฟอน อัมส์เบิร์ก เพื่อนเจ้าสาวที่อ่อนอาวุโสกว่าได้แก่ แด็ฟเน สจ๊วต คลาร์ก และแคโรลิน อัลทิง ฟอน เกอเซา และเด็กๆเพื่อนเจ้าบ่าวได้แก่ โจอาคิม เจนเคล และมาร์คัส ฟอน เอินเฮาเซน-เซียร์สตอร์ฟ[15]
ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปยังพระราชพิธีด้วยรถม้าพระที่นั่งสีทอง[16] พระราชพิธีได้ดำเนินการโดยนายกเทศมนตรีแห่งอัมสเตอร์ดัม กิลส์เบิร์ต ฟาน ฮอล ที่ศาลาว่าการอัมสเตอร์ดัม พิธีรับพรสมรสถูกจัดขึ้นที่เวสเตอร์เคิร์ก ดำเนินการโดยสาธุคุณ เฮนดริก ยาน คาเตอร์ และรับการเทศนาโดยสาธุคุณ โยฮันเนส เฮนดริก ซิลเลวิส สมิต[17]
ทั้งสองพระองค์ประทับที่ปราสาทดราเกนสไตน์ในลาเกวูร์สเชด้วยกันกับพระราชโอรสจนกระทั่งพระนางเบียทริกซ์ทรงครองราชบัลลังก์ ในปีพ.ศ. 2524 ทั้งสองพระองค์ได้ย้ายไปที่พระราชวังฮุส เทน บอส์ชในเฮก
พระราชโอรส
พระองค์และพระราชสวามีมีพระราชโอรสร่วมกัน 3 พระองค์ ดังนี้
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรสและพระโอรส-ธิดา | |
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ | 27 เมษายน พ.ศ. 2510 |
ยังทรงพระชนม์ | อภิเษกสมรสวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 กับ แม็กซิมา ซอร์เรกัวตา มีพระราชธิดา 3 พระองค์ ได้แก่ • เจ้าหญิงคาทารีนา-อะมาเลีย เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ • เจ้าหญิงอะเลกซียาแห่งเนเธอร์แลนด์ • เจ้าหญิงอารียานแห่งเนเธอร์แลนด์ | |
เจ้าชายฟริโซแห่งออเรนจ์-นัสเซา | 25 กันยายน พ.ศ. 2511 |
12 สิงหาคม พ.ศ. 2556[18] |
อภิเษกสมรสวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2547 กับ มาเบล วิสซี สมิท มีพระธิดา 2 พระองค์ ได้แก่ • เคาน์เตสลัวนา • เคาน์เตสซาเรีย | |
เจ้าชายคอนสตันตินแห่งเนเธอร์แลนด์ | 11 ตุลาคม พ.ศ. 2512 |
ยังทรงพระชนม์ | อภิเษกสมรสวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 กับ เลาเรนเทียน บริงค์ฮอร์สท์ มีพระโอรส-ธิดา 3 พระองค์ ได้แก่ • เคาน์เตสอโลอิส • เคานต์เคลาส์-คาซิมีร์ • เคาน์เตสเลโอนอร์ |
รัชกาล
ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา พระราชมารดา สละราชสมบัติ เจ้าหญิงเบียทริกซ์ได้ทรงสืบราชบัลลังก์เป็น สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์
ในการประชุมที่ยาวนาน สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายทุกฉบับก่อนที่จะถูกบังคับใช้ ในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถ พระราชกรณียกิจหลักของพระนางคือการเป็นตัวแทนของราชอาณาจักรในต่างประเทศและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพในประเทศ พระนางเสด็จออกรับเอกอัครราชทูตต่างประเทศและพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญตราต่างๆ พระนางยังทรงตอบรับคำเชิญในการเสด็จเปิดนิทรรศการ การเข้าร่วมงานเฉลิมฉลอง การเปิดสะพาน เป็นต้น พระนางเบียทริกซ์ทรงถูกยกพระราชดำรัสมาเผยแพร่ต่อสื่อน้อยมากนับตั้งแต่การบริการข้อมูลสาธารณะภาครัฐได้ตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับสัมภาษณ์ว่า พระราชดำรัสของพระนางจะไม่ถูกอ้างขึ้นมา นโยบายนี้ถูกใช้ไม่นานหลังจากพิธีขึ้นครองราชย์ของพระนาง โดยมีรายงานว่าเพื่อปกป้องพระนางจากภาวะยุ่งยากทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นโดย "ไม่คาดคิด" แต่นโยบายนี้ก็ไม่ได้นำไปใช้กับพระราชโอรสของพระนาง เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์
ตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีดัตช์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงแต่งตั้ง informateur ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นผู้นำการเจรจาต่อรองที่ในที่สุดแล้วนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตามได้มีการเปลี่ยนแปลงในปีพ.ศ. 2555 และพรรคที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดในสภาจะทำการแต่งตั้ง "scout" ซึ่งจะเป็นผู้แต่งตั้ง "informateur" อีกทีหนึ่ง
ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2529 อารูบาได้แยกตัวออกจากเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสและได้กลายเป็นสถานะประเทศองค์ประกอบด้วยตัวเองภายในราชอาณาจักร
ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2545 พระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถ เจ้าชายเคลาส์ได้สิ้นพระชนม์ หลังจากทรงประชวรเป็นระยะเวลานาน อีกหนึ่งปีครึ่งต่อมา พระราชมารดาของพระนางได้เสด็จสวรรคตจากภาวะสมองเสื่อม ในขณะที่พระราชบิดาของพระนางได้สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547
ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยไลเดิน ซึ่งเป็นเกียรติแก่สมเด็จพระราชินีนาถโดยปกติแล้วทรงปฏิเสธที่จะรับ การมีพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชินีนาถได้สะท้อนภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์และทรงครองราชสมบัติมาเป็นเวลา 25 ปี[19] พระราชดำรัสของสมเด็จพระราชินีนาถได้มีการออกอากาศทั่วประเทศ[20]
ในวันที่ 29 และ 30 เมษายน พ.ศ. 2548 สมเด็จพระราชินีนาถทรงประกอบพระราชพิธีรัชดาภิเษก พระนางทรงประทานสัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ดัตช์ และมีการจัดการแสดงคอนเสิร์ตที่จตุรัสดัมในกรุงอัมสเตอร์ดัม และมีการจัดงานเฉลิมฉลองที่เดอะเฮก ซึ่งเป็นที่ทำการรัฐบาลของประเทศ
ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เกิดการแยกตัวของเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส ซึ่งเป็นการสร้างรูปแบบการปกครองตนเองแห่งโบแนเรอ, ซินต์เอิสตาซียึสและซาบา และประเทศองค์ประกอบอีกสองประเทศคือ กือราเซาและซินต์มาร์เติน มีพิธียุบเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสจัดขึ้นที่กรุงวิลเลมสตัด ซึ่งเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ในขณะนั้นคือ เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์และเจ้าหญิงแม็กซิมา พระชายา เสด็จแทนพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถในการพิธี
เหตุการณ์การโจมตีพระราชวงศ์
ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552 สมเด็จพระราชินีนาถและพระราชวงศ์ดัตช์ถูกโจมตีด้วยการใช้รถพุ่งเข้าชนโดยชายชาวดัตช์ ชื่อ คาร์สท์ เท็ทส์ เท็ทท์ได้ขับรถเข้าพุ่งเข้าไปในขบวนเสด็จที่อาเพลโดร์น โดยเฉียดรถบัสพระที่นั่งของสมเด็จพระราชินี มีประชาชนห้าคนเสียชีวิตทันทีและผู้บาดเจ็บสองคนและรวมทั้งผู้ก่อเหตุได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ผู้บาดเจ็บถูกชนได้รับบาดเจ็บสาหัส หนึ่งสัปดาห์หลังจากการโจมตีผู้บาดเจ็บอีกคนหนึ่งได้เสียชีวิตลง พระราชวงศ์ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่สมเด็จพระราชินีนาถและพระราชวงศ์ทรงทอดพระเนตรเห็นการพุ่งเข้าชนในระยะใกล้ ภายในไม่กี่ชั่วโมง สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงออกอากาศในรายการโทรทัศน์ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย ทรงแสดงความตกพระทัยและความเสียพระทัยของพระนาง จากการรายงานของตำรวจได้รายงานว่าเป้าหมายของผู้ก่อเหตุคือพระราชวงศ์โดยมีการวางแผนมาก่อน[21]
สละราชสมบัติ
ในประกาศที่แพร่ภาพทางสื่อประจำชาติเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงประกาศว่าพระองค์จะสละราชสมบัติในวันที่ 30 เมษายน (วันพระราชินีนาถ) ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงครองราชสมบัติครบ 33 ปีพอดี พระองค์ตรัสว่า ถึงเวลาแล้วที่จะ "ฝากความรับผิดชอบของประเทศไว้ในมือของคนรุ่นใหม่"[22] รัชทายาทของพระองค์ คือ เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ พระราชโอรสองค์โต[23] พระองค์จะเป็นพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์พระองค์ที่สามติดต่อกันที่สละราชสมบัติ ตามพระอัยยิกาและพระราชชนนี[23] หลังการแพร่สัญญาณดังกล่าว นายกรัฐมนตรี มาร์ค รูทท์ ได้มีถ้อยแถลงตามมา โดยกล่าวถึงสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ว่า "นับแต่พิธีราชาภิเษกของพระองค์ใน พ.ศ. 2523 พระองค์ทรงมอบหัวใจและวิญญาณให้แก่สังคมดัตช์"[22]
การสละราชสมบัติของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์และพิธีราชาภิเษกเจ้าชายแห่งออเรนจ์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่จะมีขึ้นในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงลงพระปรมาภิไธยในตราสารสละราชสมบัติที่พระราชวัง กรุงอัมสเตอร์ดัม ส่วนพิธีราชาภิเษกพระมหากษัตริย์องค์ใหม่จะมีขึ้นที่โบสถ์ใหม่ (Nieuwe Kerk) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม[24]
พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
ในปีพ.ศ. 2552 นิตยสารฟอร์บส์ ได้ระบุว่าพระนางทรงมีทรัพย์สินจำนวน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ[25]
พระอิสริยยศ
- พ.ศ. 2481 - พ.ศ. 2523: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์-นัสเซา เจ้าหญิงแห่งลิปเปอ-บีสเตอร์เฟลด์ (Her Royal Highness Princess Beatrix of the Netherlands, Princess of Orange-Nassau, Princess of Lippe-Biesterfeld)
- พ.ศ. 2523 - 30 เมษายน พ.ศ. 2556: เฮอร์มาเจสตี สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงแห่งออเร้นจ์-นัสเซา เจ้าหญิงแห่งลิปเปอ-บีสเตอร์เฟลด์ (Her Majesty Queen of the Netherlands, Princess of Orange-Nassau, Princess of Lippe-Biesterfeld)
- 30 เมษายน พ.ศ. 2556 - ปัจจุบัน: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์, เจ้าหญิงแห่งออเร้นจ์-นัสเซา,เจ้าหญิงแห่งลิปเปอ-บีสเตอร์เฟลด์ (Her Royal Highness Princess Beatrix of the Netherlands, Princess of Orange-Nassau, Princess of Lippe-Biesterfeld)[26]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เนเธอร์แลนด์
- : เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ (ตั้งแต่พ.ศ. 2499)
- : องค์อุปถัมภ์ ไบลิวิคแห่งยูเทรกต์
- : องค์ประธานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เซนต์จอร์จแห่งเนเธอร์แลนด์ (19 มิถุนายน พ.ศ. 2502)[27]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
- ออสเตรีย :
- เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ชั้นมหาดารา (พ.ศ. 2537)[28]
- เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ชั้นมหาอิสริยาภรณ์ทองพร้อมสายสะพาย (พ.ศ. 2504)[29]
- เบลเยียม : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลโอโปลด์ (พ.ศ. 2546)
- บราซิล : เครื่องอิสริยาภรณ์กางเขนใต้ (พ.ศ. 2546)
- บรูไน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชบัลลังก์บรูไน (21 มกราคม พ.ศ. 2556)[30]
- บัลแกเรีย : เครื่องอิสริยาภรณ์สตารา พลานินา (พ.ศ. 2542)
- ชิลี : เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณ (พ.ศ. 2546)
- เดนมาร์ก : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้าง (29 ตุลาคม พ.ศ. 2518)[31]
- เอสโตเนีย : เครื่องอิสริยาภรณ์เทอร์รา มาเรียนา
- เอธิโอเปีย : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชินีแห่งชีบา (พ.ศ. 2512)
- ฟินแลนด์ : เครื่องอิสริยาภรณ์กุหลาบขาวแห่งฟินแลนด์ (พ.ศ. 2538)
- ฝรั่งเศส : เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ (พ.ศ. 2534)
- เยอรมนี : เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (พ.ศ. 2526)
- กานา : เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งกานา [32] [33]
- กรีซ : เครื่องอิสริยาภรณ์มหาไถ่
- กรีซ : เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลกาและโซเฟีย
- ไอซ์แลนด์ : เครื่องอิสริยาภรณ์เหยี่ยว ชั้น Grand Cross with Collar (พ.ศ. 2537)[34]
- อินโดนีเซีย : เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ชั้นหนึ่ง (27 สิงหาคม พ.ศ. 2538)
- อิหร่าน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เพลเอียเดสชั้นที่สอง (พ.ศ. 2506)
- อิตาลี :
- เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้น Grand Cross (23 ตุลาคม พ.ศ. 2516)[35]
- เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้น Grand Cross with Collar (27 มีนาคม พ.ศ. 2528)[36]
- โกตดิวัวร์ : เครื่องอิสริยาภรณ์แห่งชาติโกตดิวัวร์ (มกราคม พ.ศ. 2516)
- ญี่ปุ่น : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ
- จอร์แดน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ดาราแห่งจอร์แดน
- จอร์แดน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดเรอเนสซองส์
- ลัตเวีย : เครื่องอิสริยาภรณ์เดอะทรีสตาร์
- ไลบีเรีย : เครื่องอิสริยาภรณ์ผู้บุกเบิกแห่งไลบีเรีย
- ลิทัวเนีย : เครื่องอิสริยาภรณ์พระเจ้าวีตัวนัสมหาราช (พ.ศ. 2551)[37][38]
- ลักเซมเบิร์ก : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อดอล์ฟแห่งนัสเซา
- ลักเซมเบิร์ก : เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎโอ๊ค[39]
- เม็กซิโก : เครื่องอิสริยาภรณ์อินทรีแอซเท็ค (2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552)[40]
- เนปาล : เครื่องราชอิสริยาภรณ์โอชัชวี ราชันยา
- นอร์เวย์ : เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ (พ.ศ. 2511)
- โอมาน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อัล-ซาอีด (10 มกราคม พ.ศ. 2555)[41]
- เปรู : เครื่องอิสริยาภรณ์พระอาทิตย์แห่งเปรู (พ.ศ. 2540)
- โปแลนด์ : เครื่องอิสริยาภรณ์เหยี่ยวขาว (พ.ศ. 2537)
- โปรตุเกส : เครื่องอิสริยาภรณ์เจ้าชายเฮนรี (14 ธันวาคม พ.ศ. 2534)[42]
- กาตาร์ : สร้อยพระศอแห่งอิสรภาพ (9 มีนาคม พ.ศ. 2554)
- โรมาเนีย : เครื่องอิสริยาภรณ์ 23 สิงหาคม
- โรมาเนีย : เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งโรมาเนีย[43]
- เซเนกัล : เครื่องอิสริยาภรณ์สิงโต
- สโลวาเกีย : เครื่องอิสริยาภรณ์กางเขนขาวคู่ (พ.ศ. 2550)[44]
- แอฟริกาใต้ : เครื่องอิสริยาภรณ์กู๊ดโฮป (พ.ศ. 2539)
- รัฐอธิปไตยทหารออร์เดอร์ ออฟ มอลตา คณะทหารองค์อธิปัตย์แห่งมอลตา : ท่านหญิงแห่งคณะทหารองค์อธิปัตย์แห่งมอลตา (พ.ศ. 2503)[45]
- สเปน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ (สมาชิกลำดับที่ 1,187; 7 ตุลาคม พ.ศ. 2528)[46][47]
- สเปน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อิซาเบลลาเดอะคาทอลิก (15 มีนาคม พ.ศ. 2523)[48]
- ซูรินาม : เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณเยลโลสตาร์ (พ.ศ. 2539)
- สวีเดน : เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซราฟิม (พ.ศ. 2530)[49]
- ไทย : เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (พ.ศ. 2506)
- ไทย : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์ (ร.ม.ภ.) (พ.ศ. 2547)[50]
- ตูนิเซีย : เครื่องอิสริยาภรณ์สาธารณรัฐ (พ.ศ. 2516)
- ตุรกี : เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งสาธารณรัฐตุรกี (16 เมษายน พ.ศ. 2555)[51]
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ซัยยิด (9 มกราคม พ.ศ. 2555)[52]
- สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์รอยัลวิกตอเรียนเชน (พ.ศ. 2525)
- สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์รอยัลวิกตอเรียออร์เดอร์ (พ.ศ. 2525)
- สหราชอาณาจักร : เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์ (สมาชิกลำดับที่ 975; 28 มิถุนายน พ.ศ. 2532)[53]
- เวเนซุเอลา : เครื่องอิสริยาภรณ์ผู้ปลดปล่อย (พ.ศ. 2530)
- ยูโกสลาเวีย : เครื่องอิสริยาภรณ์ยูโกสลาฟสตาร์
รางวัล
- เยอรมนี : รางวัลคาร์ล (16 พฤษภาคม พ.ศ. 2539)[54]
พระราชตระกูล
อ้างอิง
- ↑ Myrtille van Bommel, "Beatrix oldest Dutch reigning monarch", Radio Netherlands Worldwide, 2011. Retrieved on 2012-05-15.
- ↑ "Speech by H.M. the Queen". Het Koninklijk Huis [The Royal House]. 28 January 2013. สืบค้นเมื่อ 29 January 2013.
{{cite web}}
: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน:|publisher=
(help) - ↑ "Prins van Oranje wordt Koning Willem-Alexander" (in Dutch). Website of the Royal House. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2013
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 Youth. The Dutch Royal House. Retrieved on 2008-07-11.
- ↑ Geschiedenis, Grote Kerk Den Haag. Retrieved on 2012-05-15. (ดัตช์)
- ↑ De vijf peetouders van prinses Beatrix. The Memory of the Netherlands. Retrieved on 2008-07-11.
- ↑ "CBC News". Cbc.ca. 18 January 2008. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.
- ↑ Education. The Dutch Royal House. Retrieved on 2008-07-11.
- ↑ Davison, Janet. "Abdicating Dutch queen was a wartime Ottawa schoolgirl". CBC.ca. Canadian Broadcasting Corporation. สืบค้นเมื่อ 29 April 2013.
- ↑ "National Capital Commission". Canadascapital.gc.ca. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 "Het Koninklijk Huis". Koninklijkhuis.nl. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2010. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ "Princess Beatrix Bridesmaid At Wedding". British Pathe.
- ↑ "Bilderberg Meeting of 1997 Assembles". PR Newswire. 13 June 1997.
- ↑ "Video: Wedding of Princess Beatrix and Claus von Amsberg". YouTube.
- ↑ "Royal wedding Beatrix and Claus".
- ↑ "Wedding of Princess Beatrix and Claus von Amsberg". Amsterdam Palace.
- ↑ "Queen Beatrix: marriage and family". Dutch Royal House.
- ↑ Prins Friso overleden (nl) Telegraaf.nl
- ↑ The complete text of the speech can be found at http://www.koninklijkhuis.nl/NL/nieuws/nieuws.html?Toespraken/2223.html
- ↑ The complete broadcast is available at http://cgi.omroep.nl/cgi-bin/streams?/nos/nieuws/2005/februari/video/080205/beatrix_toespraak.wmv
- ↑ NO. "Koninklijke familie was doelwit (Royal family was the target) (Dutch)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-05-01.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ 22.0 22.1 "Dutch Queen to abdicate in April for son". Al Jazeera. January 28, 2013. สืบค้นเมื่อ January 28, 2013.
- ↑ 23.0 23.1 "Queen Beatrix of the etherlands to abdicate for son". BBC. January 28, 2013. สืบค้นเมื่อ January 28, 2013.
{{cite web}}
: line feed character ใน|title=
ที่ตำแหน่ง 22 (help) - ↑ "Time and place of abdication and investiture, 28 January 2013". Royal Dutch House.
- ↑ "In Pictures: The World's Richest Royals". Forbes.com. 30 August 2007. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.
- ↑ "Prins van Oranje wordt Koning Willem-Alexander" (in Dutch). Website of the Royal House. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2013
- ↑ Utrechts Nieuwsblad (19-06-1959), pag. 1 van 20 - website Het Utrechts Archief
- ↑ "Reply to a parliamentary question about the Decoration of Honour" (pdf) (ภาษาGerman). p. 974. สืบค้นเมื่อ November 2012.
{{cite web}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|trans_title=
(help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ "Reply to a parliamentary question about the Decoration of Honour" (pdf) (ภาษาGerman). p. 111. สืบค้นเมื่อ November 2012.
{{cite web}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|trans_title=
(help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ Noblesse et Royautés (French), State visit of the Netherlands in Brunei (21/01/2013), Photo 1 & 2
- ↑ Ordensdetaljer: ridder af Elefantordenen - website borger.dk (Danish)
- ↑ Royal Blog.nl, Q. Beatrix speaks of horror of slavetrade
- ↑ Gotha.fr, La reine Beatrix des Pays-Bas reçoit le président du Ghana
- ↑ State visit, Photo of Beatrix, Claus and Icelandese President
- ↑ Quirinale website
- ↑ Quirinale website
- ↑ Queen Beatrix welcomed with fanfare - Royal Blog News Summary
- ↑ Lithuanian Presidency, Lithuanian Orders searching form
- ↑ The royal forums, State visit of Luxembourg to Netherlands, 2006, Photo
- ↑ Poder Ejecutivo Secretaria de Releciones Exteriores - website of the Mexican government (Spanish)
- ↑ HM, His Majesty receives Queen Beatrix - website of the Oman Observer
- ↑ Pesquisa dos membros das Ordens Honoríficas Portuguesas - official website of the President of Portugal (Portuguese)
- ↑ Recipients of the order (Excel sheet), Presidency of Romania website (Romanian) (โรมาเนีย)
- ↑ Slovak republic website, State honours : 1st Class received in 2007 (click on "Holders of the Order of the 1st Class White Double Cross" to see the holders' table)
- ↑ Rang van Grootkruis van Eer en Devotie - website of Netherlands Association of the Orde of Malta
- ↑ Real Decreto 1818/1985 - BOE website (Spanish)
- ↑ Viva Máxima Blog, State visit of Beatrix in Spain in 1985, Group Photo, & State visit in Netherlands 2001, Juan Carlos & Beatrix, Group photo
- ↑ Real Decreto 754/1980 - BOE website (Spanish)
- ↑ "Noblesse et Royautés" (French), State visit of Sweden in the Netherlands, April 2009, Group photo
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แด่สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์และเจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์แห่งเนเธอร์แลนด์, เล่ม ๑๒๑, ตอน ๖ข ฉบับทะเบียนฐานันดร, ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗, หน้า ๑
- ↑ Abdullah Gül present the award to Queen Beatrix (Photo).
- ↑ H.H Sheikh Khalifa welcomes HM Queen Beatrix of Netherlands - website of the UAE Ministry of Foreign Affairs
- ↑ Members of the Order of the Garter - The official website of The British Monarchy
- ↑ Der Karlspreisträger 1996 - Königin Beatrix der Niederlande - website of the Internationalen Karlspreises zu Aachen
ดูเพิ่ม
ก่อนหน้า | สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา | สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเธอร์แลนด์ (30 เมษายน พ.ศ. 2523 - 30 เมษายน พ.ศ. 2556) |
สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ |