ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ย้อนการแก้ไขของ 171.6.150.218 (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย แอนเดอร์สัน
Hamleamsrijan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 5: บรรทัด 5:
| ภาพ = ไฟล์:Princess Suddhasininat.jpg
| ภาพ = ไฟล์:Princess Suddhasininat.jpg
| พระนาม = สายสวลีภิรมย์
| พระนาม = สายสวลีภิรมย์
| ฐานันดร = พระองค์เจ้า
| ฐานันดร = พระอรรคชายา
| วันประสูติ = 4 กันยายน พ.ศ. 2405
| วันประสูติ = 4 กันยายน พ.ศ. 2405
| วันสิ้นพระชนม์ = {{วันตายและอายุ|2472|6|24|2405|9|4}}
| วันสิ้นพระชนม์ = {{วันตายและอายุ|2472|6|24|2405|9|4}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:01, 4 ธันวาคม 2559

พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา

สายสวลีภิรมย์
กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา
ประสูติ4 กันยายน พ.ศ. 2405
สิ้นพระชนม์24 มิถุนายน พ.ศ. 2472 (66 ปี)
พระสวามีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบุตรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านภาจรจำรัสศรี
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี
ราชวงศ์ราชวงศ์จักรี
พระบิดาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลดาวัลย์ กรมหมื่นภูมินทรภักดี
พระมารดาเจ้าจอมมารดาจีน

พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา (พระนามเดิม: หม่อมเจ้าสาย ลดาวัลย์; ประสูติ: 4 กันยายน พ.ศ. 2405 — สิ้นพระชนม์: 24 มิถุนายน พ.ศ. 2472) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลดาวัลย์ กรมหมื่นภูมินทรภักดีและเจ้าจอมมารดาจีน ทรงเข้ารับราชการฝ่ายในเป็นพระอรรคชายาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกับพระเชษฐภคินีร่วมพระบิดามารดาคือ พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค กรมขุนอรรควรราชกัลยา และพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์

พระประวัติ

พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา มีพระนามเดิมว่าหม่อมเจ้าสาย ลดาวัลย์ ประสูติเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2405 [1] เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลดาวัลย์ กรมหมื่นภูมินทรภักดี ประสูติแต่หม่อมจีน ลดาวัลย์ ณ อยุธยา (ต่อมาหม่อมจีนได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น เจ้าจอมมารดาจีน)[note 1] มีพระนามที่เรียกกันในครอบครัวว่า เป๋า

หม่อมเจ้าสาย ลดาวัลย์ เมื่อประสูติทรงประทับอยู่ที่วังของพระบิดา โดยมีสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร ทรงเป็นผู้อภิบาล มีพระเชษฐภคินีที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจีนสองพระองค์ และได้รับราชการฝ่ายในเป็นพระอรรคชายาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกันทั้งสามพระองค์ คือ

พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ทรงรับราชการฝ่ายในเป็นพระภรรยาเจ้าทรงอิสริยยศเป็นพระมเหสี ตำแหน่ง พระอรรคชายาเธอ มีหน้าที่ควบคุมดูแลห้องพระเครื่องต้น ของเสวยคาวหวาน อีกทั้งทรงเป็นผู้ที่ตั้งโรงเลี้ยงเด็กขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย บริเวณตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง อุทิศพระกุศลประทานพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ที่สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงรับเด็กกำพร้าและเด็กยากจนมาเลี้ยงดู สอนให้เล่าเรียน และฝึกวิชาชีพทั้งหญิงและชาย ทรงเป็นองค์อุปนายิกาสภาอุณาโลมแดง (สภากาชาดไทย) ในสมัยหนึ่งอีกด้วย[2]

พระวิมาดาเธอฯ ประชวรด้วยพระโรคเนื้อร้ายในช่องพระโอษฐ์สิ้นพระชนม์ ณ ตำหนักในสวนสุนันทา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ โดยได้รับพระราชทานโกศกุดั่นน้อยทรงพระศพ[3] และได้รับพระราชทานพระโกศทองใหญ่ในวันออกพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพ (พระโกศทองใหญ่ เป็นพระโกศชั้นสูงสุดสำหรับทรงพระบรมศพ พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระอัครมเหสี) [4]

พระราชบุตร

พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา มีพระประสูติกาลพระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทั้งหมด 4 พระองค์ เป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียวกับพระราชธิดาสามพระองค์ ทั้งหมดเดิมมีพระอิสริยยศเป็น "พระองค์เจ้า" ภายหลังได้รับพระราชทานพระอิสริยยศขึ้นเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้า" มีดังนี้

  1. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ (17 มีนาคม พ.ศ. 2425 — 8 เมษายน พ.ศ. 2475) เสกสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล มีพระโอรสสามพระองค์ ทรงเป็นต้นราชสกุลยุคล
  2. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านภาจรจำรัสศรี ภัทรวดีราชธิดา (พระนามเดิม: พระองค์เจ้าเขจรจำรัส; 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2427 — 31 สิงหาคม พ.ศ. 2432) สิ้นพระชนม์ก่อนได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้า"
  3. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา (31 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 — 22 ธันวาคม พ.ศ. 2467) มิได้เสกสมรส
  4. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี (4 ธันวาคม พ.ศ. 2429 — 29 มกราคม พ.ศ. 2478) มิได้เสกสมรส

พระอิสริยยศ

ไฟล์:ห้องเครื่องต้น สายสวลีภิรมย์.jpg
พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ (ซ้าย) ขณะทรงกำลังเตรียมพระกระยาหารในห้องพระเครื่องต้น
  • หม่อมเจ้าสาย ลดาวัลย์ ( 4 กันยายน พ.ศ. 2406 — พ.ศ. 2421)
  • พระอรรคชายาเธอ หม่อมเจ้าสาย (พ.ศ. 2421 — 25 มิถุนายน พ.ศ. 2431)
  • พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ (25 มิถุนายน พ.ศ. 2431 — 21 มีนาคม พ.ศ. 2468)[5]
  • พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา (21 มีนาคม พ.ศ. 2468 — 24 มิถุนายน พ.ศ. 2472)[6]

พระอิสริยยศสุดท้ายนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระนามและเลื่อนกรม ทั้งนี้ คำว่า "วิมาดา" แปลว่า แม่เลี้ยง ซึ่งพระองค์ทรงเป็นเจ้านายพระองค์เดียวที่ได้รับการสถาปนาไว้ในพระอิสริยศักดิ์นี้อย่างเป็นทางการ ส่วนสร้อยพระนาม "ปิยมหาราชปดิวรัดา" นั้น คำว่า "ปดิวรัดา" (อ่านว่า ปะดิวะรัดดา) แปลว่า ภริยาที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อสามี[7]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

พระองค์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของตระกูลต่าง ๆ ดังต่อไปนี้[3]

พันธุ์พืชอันเนื่องด้วยพระนาม

  • บัวสุทธาสิโนบล บ้างเรียก "ม่วงกษัตริย์" (Royal Purple) บัวสายดอกใหญ่สีม่วงอมน้ำเงินหรือม่วงอมแดงที่เรียกว่าสีกุหลาบแก่ กลิ่นหอมแรง มีถิ่นกำเนิดบนเกาะแซนซิบาร์ ประเทศแทนซาเนีย พระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฎปิยมหาราชปดิวรัดา พระอัครชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาจากเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2444 จึงได้รับการขนานนามว่า “สุทธาสิโนบล”

พงศาวลี

เชิงอรรถ

  1. เจ้าจอมมารดาจีน (เดิมคือหม่อมจีน ลดาวัลย์ ณ อยุธยา - หม่อมห้ามเจ้านายตามปกติ แต่รัชกาลที่ ๕ สถาปนาให้มียศเป็นเจ้าจอมมารดา ทั้งที่ไม่ได้เป็นพระสนมในพระมหากษัตริย์รัชกาลใดเลยนั้นเพราะว่าเจ้าจอมมารดาจีนเป็นขรัวยายของเจ้าฟ้าพระราชโอรส-ธิดาในรัชกาลนั้นถึง ๖ พระองค์)

อ้างอิง

  1. จิรวัฒน์ อุตตมะกุล. พระภรรยาเจ้า และสมเด็จเจ้าฟ้า ในรัชกาลที่ ๕. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์มติชน, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2548. 398 หน้า. หน้า หน้าที่. ISBN 974-322-964-7
  2. อุปนายิกาสภาอุณาโลมแดง จากเว็บไซต์สภากาชาดไทย
  3. 3.0 3.1 ราชกิจจานุเบกษา, ข่าวสิ้นพระชนม์, เล่ม ๔๖, ตอน ง, ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒, หน้า ๙๙๔
  4. ราชกิจจานุเบกษา, การพระเมรุท้องสนามหลวง พระราชทานเพลิงพระศพ พระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา, เล่ม ๔๗, ตอน ง, ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๓, หน้า ๑๙
  5. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศเลื่อนพระนามพระอัครชายาเธอและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า มีพระบรมราชโองการสั่งให้สถาปนา พระอัครชายาเธอ หม่อมเจ้าอุบลรัตนนารีมาศ และพระอัครชายาเธอ หม่อมเจ้าสาย ขึ้นเป็น พระองค์เจ้า และสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าลูกเธอ และเจ้าฟ้า, เล่ม ๕, ตอน ๘, ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๑๘๘๘, หน้า ๖๑
  6. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาพระอิสริยศเฉลิมพระอภิไธยและเลื่อนกรมพระราชวงศ์, เล่ม ๔๒, ตอน ๐ ก, ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘, หน้า ๓๗๒
  7. ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, กรุงเทพพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556, หน้า 696
  8. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ ฝ่ายหน้า และฝ่ายใน, เล่ม ๑๘, ตอน ๔๖, ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔, หน้า ๘๗๔
  9. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๓๖, ตอน ๐, ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๒, หน้า ๕๓๗
  10. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ฝ่ายใน, เล่ม ๔๓, ตอน ๐ ง, ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๙, หน้า ๓๑๑๔