ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ยุทธการที่เคียฟ (ค.ศ. 1941)"
Plamnakpandin (คุย | ส่วนร่วม) ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
Plamnakpandin (คุย | ส่วนร่วม) ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 45: | บรรทัด 45: | ||
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-L19885, Russland, Heinz Guderian vor Gefechtsstand.jpg|thumb|right|กูเดเรียนกำลังควบคุมกลุ่มแพนเซอร์ของเขาในช่วงปฏิบัติการใกล้เมืองเคียฟ]] |
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-L19885, Russland, Heinz Guderian vor Gefechtsstand.jpg|thumb|right|กูเดเรียนกำลังควบคุมกลุ่มแพนเซอร์ของเขาในช่วงปฏิบัติการใกล้เมืองเคียฟ]] |
||
กองทัพแพนเซอร์ได้ |
กองทัพแพนเซอร์ได้เริ่มบุกทันที่ ในวันที่ 17 กันยายน กลุ่มแพนเซอร์ที่หนึ่งภายได้การนำของนายพล[[:en:Paul Ludwig Ewald von Kleist|คลีสต์]] นำกองทัพข้าม [[แม่น้ำนีเปอร์]] และโจมตี กองพลตะวันตกเฉียงใต้ของเซมิออน บูดิออนนืย ในวันที่ 16 กันยายน[[กลุ่มแพนเซอร์ที่สอง]] ภายใต้การนำของไฮนซ์ กูเดเรียน นำกองทัพเข้าทางใต้ ของเมือง [[:en:Lokhvytsia|Lokhvitsa]], 120 ไมล์ หลังเมืองเคียฟ.{{sfn|Clark|1965|p=135,141}} เซมิออน บูดิออนนืยโดนขับออกจากการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของสตาลินในวันที่ 13 กันยายน |
||
หลังจากการโจมตีที่ล้มเหลวกองทัพโซเวียตกองทัพที่ 6 และ 17 ของเวร์มัคท์ได้เรื่มโจมตีเคียฟในวันที่ 19 กันยายน, เคียฟ ล้มเหลวในการบุกโจมตีกลับและการสู้รบยังดำเนินต่อไป ในที่สุดหลังจาก 10 วันในการสู้รบอย่างหนักและดุเดือดนครเคียฟก็แตกกองทัพตะวันออกชุดสุดท้ายในเคียฟก็ยอมจำนน ในวันที่ 26 กันยายน เวร์มัคท์จับเชลยทหารของกองทัพแดงได้ประมาณ 600,000 นาย |
หลังจากการโจมตีที่ล้มเหลวกองทัพโซเวียตกองทัพที่ 6 และ 17 ของเวร์มัคท์ได้เรื่มโจมตีเคียฟในวันที่ 19 กันยายน, เคียฟ ล้มเหลวในการบุกโจมตีกลับและการสู้รบยังดำเนินต่อไป ในที่สุดหลังจาก 10 วันในการสู้รบอย่างหนักและดุเดือดนครเคียฟก็แตกกองทัพตะวันออกชุดสุดท้ายในเคียฟก็ยอมจำนน ในวันที่ 26 กันยายน เวร์มัคท์จับเชลยทหารของกองทัพแดงได้ประมาณ 600,000 นาย |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:15, 1 พฤศจิกายน 2559
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ยุทธการเคียฟครั้งที่หนึ่ง | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ ปฏิบัติการบาร์บารอสซา ใน แนวรบด้านตะวันออก ของ สงครามโลกครั้งที่สอง | |||||||
การรุกช่วงแรกของเยอรมันในปฏิบัติการบาร์บารอสซา | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
นาซีเยอรมนี | สหภาพโซเวียต | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
แกร์ด ฟอน รุนด์ชเตดท์ |
เซมิออน บูดิออนนืย (ออกจากการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 13 กันยายน) มิคาอิล เคอโพโนส † | ||||||
กำลัง | |||||||
500,000 คน | 627,000 คน[1] | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
ทั้งหมด: 128,670 คน[a] เสียชีวิต: 26,856 คน บาดเจ็บ: 96,796 คน ถูกจับเป็นเชลยหรือสูญหาย: 5,008 คน |
ทั้งหมด: 700,544 คน[1] |
ยุทธการเคียฟครั้งที่หนึ่ง เป็นยุทธการที่เป็นการปิดล้อมทหารโซเวียตขนาดใหญ่ โดยเยอรมันในแถบรอบเมืองเคียฟในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยการล้อมนี้ถือว่ายาวที่สุดในประวัติศาสตร์การรบ (จากจำนวนทหาร) ปฏิบัติการเริ่มต้นตั้งแต่ 7 สิงหาคม ถึง 26 กันยายน ค.ศ. 1941 เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการบาร์บารอสซาในช่วงที่ฝ่ายอักษะบุกสหภาพโซเวียต ในประวัติศาสตร์การทหารของโซเวียต มันถูกเรียกว่า ปฏิบัติการป้องกันเชิงกลยุทธ์เคียฟ และวันเวลาในการรบค่อนข้างจะแตกต่าง คือ ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม ถึง 26 กันยายน ค.ศ. 1941[4]
เกือบทั้งหมดของกองพลตะวันตกเฉียงใต้ ของ กองทัพแดง ถูกล้อม อย่างไรก็ตาม การล้อมเคียฟก็ไม่สมบูรณ์และทหารโซเวียตบางส่วนสามารถหลบหนีไปได้ หลังจากที่เยอรมันทำการรุกโอบล้อมในทางตะวันออกของเมือง รวมไปถึงฐานทัพใหญ่ของ จอมพลเซมิออน บูดิออนนืย จอมพลเซมิออน ตีโมเชนโค และ ผู้ตรวจการทางการเมืองนีกีตา ครุชชอฟ ผู้บังคับบัญชาแห่งกองพลตะวันตกเฉียงใต้มิคาอิล เคอโพโนสซึ่งติดกับดักหลังแนวเยอรมันและถูกสังหารในระหว่างการต่อสู้
ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของกองทัพแดงในครั้งนี้โดยมีทหารถูกล้อมถึง 452,700 คน,ปืนใหญ่และปืนครก 2,642 กระบอก และรถถัง 64 คัน,และมีทหารเพียง 15,000 คนที่สามารถหลุดรอดจากวงล้อมในวันที่ 2 ตุลาคม กองพลตะวันตกเฉียงใต้สูญเสียรวมทั้งหมด 700,544 คน รวมถึงทหารที่เสียชีวิต ถูกจับหรือสูญหาย 616,304 คน ในช่วงการรบ
ก่อนการรบ
หลังจากการรุกอย่างรวดเร็วของกองทัพกลุ่มกลาง มุ่งไปสู่การทำลายส่วนกลางของ แนวรบด้านตะวันออก โดยโจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ร่วมกับ กองทัพกลุ่มใต้ ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 ทหารโซเวียตก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน จุดยุทธศาสตร์สำคัญเกือบทั้งหมดของกองพลตะวันตกเฉียงใต้ ในรอบเมืองเคียฟ [5][6] ซึ่งกำลังขาดแคลนยานเกราะและรถถัง
ในวันที่ 3 สิงหาคม ฮิตเลอร์ออกคำสั่งให้หยุดการรุกสู่มอสโกเป็นการชั่วคราวและสั่งให้เคลื่อนทัพลงใต้และโจมตีเคียฟในยูเครน[7] อย่างไรก็ตามในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1941 คำสั่งส่งกำลังเสริมครั้งที่ 34 ก็ถูกดำเนินการแต่ก็ถูกต่อต้านโดยนายทหารภาคสนามบางส่วน แต่ฮิตเลอร์ก็มีความมั่นใจและเชื่อว่าจะสามารถทำลายจุดยุทธศาสตร์สำคัญของทหารโซเวียตได้ในทางด้านปีกขวาของกองทัพกลุ่มกลาง ในแถบรอบเมืองเคียฟ ก่อนจะทำการรุกสู่มอสโก และมีนายพลที่ต่อต้านคือฟรานซ์ ฮอลเดอร์,เฟดอร์ ฟอน บอค,ไฮนซ์ กูเดเรียน ว่าควรรุกสู่มอสโกต่อไปแต่ฮิตเลอร์ไม่ฟังและสั่งให้ กลุ่มแพนเซอร์ที่สอง และ กลุ่มแพนเซอร์ที่สาม ของกองทัพกลุ่มกลาง ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้ได้รับคำสั่งช่วยเหลือกองทัพกลุ่มเหนือ และ กองทัพกลุ่มใต้ ตามลำดับก่อนที่จะกลับมาอยู่กองทัพกลุ่มกลางร่วมกับกลุ่มแพนเซอร์ที่สี่ ของกองทัพกลุ่มเหนือ ครั้งหนึ่งจุดประสงค์ของแม่ทัพกองทัพกลุ่มกลางเคยประสบความสำเร็จในการที่มีกลุ่มแพนเซอร์สามกลุ่มภายใต้การควบคุมของ กองทัพกลุ่มกลาง ในการรุกสู่มอสโก[8] ในขั้นต้น นายพลฮอลเดอร์หัวหน้าของกองบัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมัน ฝ่ายพนักงานทั่วไปและนายพลบอค นายพลแห่งกองทัพกลุ่มกลาง เกิดความพึงพอใจในแผนการนี้แต่ก็ถูกต่อต้านเมื่อนำไปเทียบกับความเป็นจริง[9]
ในวนที่ 18 สิงหาคม กองบัญชาการทหารสูงสุดเยอรมัน ส่งจดหมายการพิจารณาเกี่ยวกับจุดยุทธศาสตร์ถึงฮิตเลอร์ เกี่ยวกับปฏิบัติการในปฏิบัติการบาร์บารอสซา ในกระดาษเขียนเกี่ยวกับเรื่องการรุกสู่มอสโกและการโต้เถียงเกี่ยวกับว่าการที่กองทัพกลุ่มเหนือและกองทัพกลุ่มใต้มีความแข็งแกร่งพอที่จะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ การที่กองทัพกลุ่มกลางขาดการสนับสนุน และ การชี้ถึงเวลาว่าจะสามารถยึดมอสโกได้อย่างเด็ดขาดในช่วงก่อนฤดูหนาวหรือไม่[9]
วันที่ 20 สิงหาคม ฮิตเลอร์ปฏิเสธแผนการทำลายเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญของโซเวียต ในวันที่ 21 สิงหาคม อัลเฟร็ด โจล แห่ง กองบัญชาการกองทัพบกเยอรมัน ได้ออกคำสั่งของฮิตเลอร์ถึงนายพล วัลเทอร์ ฟอน เบราชิทช์ ผู้บัญชาการกองทัพบก คำสั่งนั้นย่ำว่าต้องยึดมอสโกให้ได้ก่อนฤดูหนาวเท่านั้นและเป็นคำสั่งที่ค่อนข้างสำคัญมากก่อนจะนำทัพไปยึดคาบสมุทรไครเมีย กับแหล่งอุตสาหกรรมและถ่านหินในแถบลุ่มแม่น้ำแม่น้ำดอน ก่อนจะแยกกำลังไปยึดแหล่งน้ำมันในคอเคซัส ก่อนจะค่อยยึดส่วนที่เหลือของสหภาพโซเวียตต่อไปและทางด้านเหนือก็โอบล้อมเลนินกราด และเชื่อมกับทหารฟินแลนด์ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆจะเป็นหน้าที่ของกองทัพกลุ่มกลาง คือ การจัดสรรทรัพยากรกับทำลายกองพลรัสเซียนที่ 5 และป้องกันการโต้กลับของโซเวียตในแถบภาคกลาง[10] [11] ฟรานซ์ ฮอลเดอร์ ถึงกับตกตะลึงและไปอธิบายกับฮิตเลอร์ในภายหลังว่า"มันเพ้อฝันเกินไปและมันเป็นไปไม่ได้"แต่คำสั่งก็ถูกสั่งการออกไปและฮิตเลอร์เป็นคนเดียวที่ต้องรับความผิดชอบในคำสั่งนี้และทำให้เกิดความขัดแย้งภายในมากขึ้นและมันก็เป็นการสะท้อนในเจตนาของฮิตเลอร์ปฏิบัติการบาร์บารอสซา ที่กองบัญชาการทหารสูงสุดเยอรมัน ตระหนักมาตลอด[12] เจอฮาร์ด เอนเจิล ในไดอารี่ของเขาลงวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1941"มันเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดของกองทัพบก".[13] ฮอลเดอร์ประกาศลาออกและให้คำแนะนำแก่เบราชิทช์ แต่อย่างไรก็ตามแก่เบราชิทช์ก็ปฏิเสธและฮิตเลอร์ก็นิ่งเฉยต่อการกระทำของเขาจนในที่สุดฮอลเดอร์ก็ถอนใบลาออก [12]
ในวันที่ 23 สิงหาคม ฟรานซ์ ฮอลเดอร์ เรียกประชุมกับนายพล ฟอน บอค และนายกูเดเรียนใน บารีซอฟ (ใน สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเบียโลรัสเซีย) และหลังจากการไปพบฮิตเลอร์ที่ฐานทัพในปรัสเซียตะวันออกกับนายพลกูเดเรียนและระหว่างการพบ ฮิตเลอร์ และ กูเดเรียน[14] และต่อต้านข้อเสนอของฟรานซ์ ฮอลเดอร์ และ วัลเทอร์ ฟอน เบราชิทช์ และกูเดเรียนได้รับอนุญาตจากฮิตเลอร์ให้นำทัพในการรุกสู่มอสโก และปฏิเสธการต่อต้าน ฮิตเลอร์อ้างว่าการตัดสินใจของตนจะทำให้ภาคเหนือ (รัฐบอลติก) กับ ภาคใต้ (ยูเครน) ในโซเวียตตะวันตก และยังพูดว่า "การยึดมอสโก มีความสำคัญมากกว่าปัญหาอื่นๆ" และยังพูดอีกว่า "มันไม่ใช่ปัญหาใหม่เลยแต่ความเป็นจริงมันบอกว่ามันมีโอกาสตั้งแต่เราเริ่ม (ปฏิบัติการบาร์บารอสซา) แล้ว" นอกจากนี้ยังมีการโต้แย้งว่าตอนนี้อยู่ในสภาวะขั้นวิกฤตเพราะโอกาสในการโอบล้อมทหารโซเวียตในจุดยุทธศาสตร์แทบเรียกว่า"เป็นเพียงแค่ความไม่คาดฝันเท่านั้น และมันเป็นการบรรเทาจากถูกทหารโซเวียตถ่วงเวลาในภาคใต้เท่านั้น"[12] ฮิตเลอร์ประกาศว่า "คัดค้านในการที่เสียเวลาไปทำลายทหารโซเวียตทางยูเครน จนทำให้การรุกสู่มอสโกล่าช้าหรือการที่ยานเกราะขาดการสนับสนุนตามเทคนิคสามารถส่งไปได้แต่ไม่สมบูรณ์" ฮิตเลอร์ ย้ำว่าครั้งหนึ่งปีกของกองทัพกลุ่มกลางทำลายจุดยุทธศาสตร์สำคัญโดยเฉพาะทางภาคใต้และได้รับอนุญาตให้กลับไปนำการรุกสู่มอสโกและการรุกครั้งนี้สรุปโดยความว่า"ต้องไม่พลาด"[13] ในความเป็นจริงฮิตเลอร์เตรียมออกคำสั่งย้ายกลุ่มแพนเซอร์ของนายพลกูเดเรียนไปทางภาคใต้[15] กูเดเรียนกลับไปยังกลุ่มแพนเซอร์ของเขากลุ่มแพนเซอร์ที่สอง และเริ่มการรุกสู่ภาคใต้และเริ่มความพยายามในการปิดล้อมจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโซเวียต[12]
กองทัพส่วนใหญ่ของ กลุ่มแพนเซอร์ที่สอง และ กองพลที่สอง ถูกโดดเดี่ยวจากกลุ่มกองทัพกลางและถูกส่งไปยังแนวรบด้านใต้[16] และภารกิจในการโอบล้อมIts mission was to encircle the กองพลตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งถูกควบคุมโดยบูออนนียและเชื่อมต่อกับกลุ่มแพนเซอร์ที่หนึ่ง แห่ง กองทัพกลุ่มใต้ ภายใต้การควบคุมของนายพล คลีสต์ ที่เคลื่อนพลมาจากทางด้านตะวันออกเฉียงใต้[17]
ยุทธการ
กองทัพแพนเซอร์ได้เริ่มบุกทันที่ ในวันที่ 17 กันยายน กลุ่มแพนเซอร์ที่หนึ่งภายได้การนำของนายพลคลีสต์ นำกองทัพข้าม แม่น้ำนีเปอร์ และโจมตี กองพลตะวันตกเฉียงใต้ของเซมิออน บูดิออนนืย ในวันที่ 16 กันยายนกลุ่มแพนเซอร์ที่สอง ภายใต้การนำของไฮนซ์ กูเดเรียน นำกองทัพเข้าทางใต้ ของเมือง Lokhvitsa, 120 ไมล์ หลังเมืองเคียฟ.[18] เซมิออน บูดิออนนืยโดนขับออกจากการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของสตาลินในวันที่ 13 กันยายน
หลังจากการโจมตีที่ล้มเหลวกองทัพโซเวียตกองทัพที่ 6 และ 17 ของเวร์มัคท์ได้เรื่มโจมตีเคียฟในวันที่ 19 กันยายน, เคียฟ ล้มเหลวในการบุกโจมตีกลับและการสู้รบยังดำเนินต่อไป ในที่สุดหลังจาก 10 วันในการสู้รบอย่างหนักและดุเดือดนครเคียฟก็แตกกองทัพตะวันออกชุดสุดท้ายในเคียฟก็ยอมจำนน ในวันที่ 26 กันยายน เวร์มัคท์จับเชลยทหารของกองทัพแดงได้ประมาณ 600,000 นาย
หลังการรบ
หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีได้กล่าวว่า ปฏิบัติการในเคียฟ ควรถูกเลื่อนออกและเริ่ม ยุทธการมอสโก ซึ่งควรเริ่มในเดือนกันยายนและตุลาคม เวร์มัคท์ ก็จะสามารถบุกและยึดมอสโกได้ในช่วงก่อนฤดูหนาว[19]
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 Glantz 1995, p. 293.
- ↑ Freier 2009.
- ↑ 3.0 3.1 Krivosheev 1997, p. 260.
- ↑ Krivosheev 1997, p. 114.
- ↑ Glantz 2011, pp. 54–55.
- ↑ Clark 1965, p. 130.
- ↑ Clark 1965, p. 101.
- ↑ Glantz 2011, p. 55.
- ↑ 9.0 9.1 Glantz 2011, p. 56.
- ↑ Glantz 2011, p. 57.
- ↑ Glantz 2011, p. 60.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 Glantz 2011, p. 58.
- ↑ 13.0 13.1 Glantz 2011, p. 59.
- ↑ Guderian 1952, p. 200.
- ↑ Guderian 1952, pp. 202.
- ↑ Clark 1965, p. 111,139.
- ↑ Clark 1965, p. 133.
- ↑ Clark 1965, p. 135,141.
- ↑ Glantz 2001, p. 23.
Notes
บรรณานุกรม
- Read, Anthony (2005). The Devil's Disciples: Hitler's Inner Circle. W W Norton & Co. ISBN 0-3933-2697-7.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Erickson, John (1975). The Road to Stalingrad, Stalin's War with Germany. New York: Harper & Row. ISBN 0-06-011141-0.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Glantz, David (2001). The Soviet-German War 1941-1945: Myths and Realities: A Survey Essay (pdf).
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Clark, Alan (1965). Barbarossa: The Russian-German Conflict, 1941-45. London: William Morrow and Company.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Glantz, David (2011). Barbarossa Derailed: The battle for Smolensk, Volume 2. Birmingham: Helion & Company. ISBN 1-9060-3372-2.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Glantz, David (1995). When Titans Clashed: How the Red Army Stopped Hitler. Lawrence: University Press of Kansas. ISBN 0-7006-0899-0.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Guderian, Heinz (1952). Panzer Leader. New York: Da Capo Press. ISBN 0-3068-1101-4.
- Krivosheev, Grigori F. (1997). Soviet Casualties and Combat Losses in the Twentieth Century. London: Greenhill Books. ISBN 1-85367-280-7.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help)
หนังสือเพิ่มเติม
- Stahel, David (2012), Kiev 1941: Hitler's Battle for Supremacy in the East, Cambridge University Press, ISBN 978-1-107-01459-6
แหล่งข้อมูลอื่น
- Freier, Thomas (2009). "10-Day Medical Casualty Reports". Human Losses in World War II. สืบค้นเมื่อ July 2016.
{{cite web}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|access-date=
(help)