ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด"
PUNG191230 (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
→ประวัติสโมสร: ปรับปรุงเนื้อหาครั้งใหญ่ |
||
บรรทัด 66: | บรรทัด 66: | ||
การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือน[[ธันวาคม]] [[ค.ศ. 1892]] ชื่อ '''นิวคาสเซิลยูไนเต็ด''' ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม |
การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือน[[ธันวาคม]] [[ค.ศ. 1892]] ชื่อ '''นิวคาสเซิลยูไนเต็ด''' ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม |
||
นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วง[[ทศวรรษ]] [[1900s]] และยังเข้าชิงชนะเลิศ[[เอฟเอคัพ]]ถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี 1910 หลังจากเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลบาร์นสลีย์|บาร์นสลีย์]]ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่[[กูดิสันพาร์ก]] |
นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วง[[ทศวรรษ]] [[1900s]] และยังเข้าชิงชนะเลิศ[[เอฟเอคัพ]]ถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี [[ค.ศ. 1910]] หลังจากเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลบาร์นสลีย์|บาร์นสลีย์]]ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่[[กูดิสันพาร์ก]] |
||
หลังจาก[[สงครามโลกครั้งที่ 1]] สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์[[เอฟเอคัพ]]ได้อีกสมัยโดยการเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอ |
หลังจาก[[สงครามโลกครั้งที่ 1]] สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์[[เอฟเอคัพ]]ได้อีกสมัยโดยการเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอสตันวิลลา]]ในรอบชิงชนะเลิศที่สนาม[[เวมบลีย์]] นอกจากนั้น นิวคาสเซิลยังเป็นแชมป์ลีกได้อีกหนึ่งสมัยในปี [[ค.ศ. 1927]] อีกด้วย |
||
ในช่วงทศวรรษ [[1950s]] นิวคาสเซิลเป็นแชมป์[[เอฟเอคัพ]]ถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลแบล็กพูล|แบล็กพูล]] 2-0 ในปี 1951 ชนะ[[สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล|อาร์เซนอล]] 1-0 ในปี 1952 และชนะ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี|แมนเชสเตอร์ ซิตี]] 3-1 ในปี 1955 โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่น [[แจคกี มิลเบิร์น]], [[บ็อบบี มิทเชลล์]] และ [[สแตน เซมัวร์]] |
ในช่วงทศวรรษ [[1950s]] นิวคาสเซิลเป็นแชมป์[[เอฟเอคัพ]]ถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลแบล็กพูล|แบล็กพูล]] 2-0 ในปี [[ค.ศ. 1951]] ชนะ[[สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล|อาร์เซนอล]] 1-0 ในปี [[ค.ศ. 1952]] และชนะ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี|แมนเชสเตอร์ ซิตี]] 3-1 ในปี [[ค.ศ. 1955]] โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่น [[แจคกี มิลเบิร์น]], [[บ็อบบี มิทเชลล์]] และ [[สแตน เซมัวร์]] |
||
หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม [[โจ ฮาร์วีย์]] ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี 1965 แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก |
หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม [[โจ ฮาร์วีย์]] ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี [[ค.ศ. 1965]] แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก |
||
ทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี 1968 ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วย[[อินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ]] (หรือถ้วย[[ยูฟ่าคัพ]]ในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็น[[สโมสรฟุตบอลสปอร์ติงลิสบอน|สปอร์ติง |
ทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี [[ค.ศ. 1968]] ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วย[[อินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ]] (หรือถ้วย[[ยูฟ่าคัพ]]ในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็น[[สโมสรฟุตบอลสปอร์ติงลิสบอน|สปอร์ติงลิสบอน]]จาก[[โปรตุเกส]], [[สโมสรฟุตบอลไฟเยอโนร์ด|ไฟเยอโนร์ด]]จาก[[เนเธอร์แลนด์]] และ[[เรอัลซาราโกซา]]จาก[[สเปน]] และปิดท้ายด้วยการคว่ำทีม[[สโมสรฟุตบอลอุจเพสท์|อุจเพสท์]]จาก[[ฮังการี]]ในรอบชิงชนะเลิศ |
||
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่น[[กองหน้า]]ชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น [[วิน เดวีส์]], [[ไบรอัน ร็อบสัน]], [[บ็อบบี มอนเคอร์]] หรือ[[แฟรงค์ คลาร์ก]] |
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่น[[กองหน้า]]ชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น [[วิน เดวีส์]], [[ไบรอัน ร็อบสัน]], [[บ็อบบี มอนเคอร์]] หรือ[[แฟรงค์ คลาร์ก]] |
||
หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสร[[ยุโรป]] ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่ [[จิมมี สมิธ]], [[โทนี กรีน]] และ[[เทอร์รี ฮิบบิทท์]] ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง [[มัลคอล์ม แมคโดแนลด์]] เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วย |
หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสร[[ยุโรป]] ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่ [[จิมมี สมิธ]], [[โทนี กรีน]] และ[[เทอร์รี ฮิบบิทท์]] ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง [[มัลคอล์ม แมคโดแนลด์]] เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วย[[เอฟเอคัพ]]และ[[ลีกคัพ]]กับ[[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล|ลิเวอร์พูล]]และ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี|แมนเชสเตอร์ซิตี]]ในปี [[ค.ศ. 1974]] และ [[ค.ศ. 1976]] ตามลำดับ แต่พลพรรคแม็กพายส์กลับล้มเหลวในรอบชิงทั้งสองครั้ง |
||
ในช่วงต้นทศวรรษ [[1980s]] นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีม[[อาร์เธอร์ ค็อกซ์]]จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมี[[เควิน คีแกน]] อดีตกัปตัน[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]]เป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด |
ในช่วงต้นทศวรรษ [[1980s]] นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีม[[อาร์เธอร์ ค็อกซ์]]จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมี[[เควิน คีแกน]] อดีตกัปตัน[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]]เป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด |
||
หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี 1989 |
หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี [[ค.ศ. 1989]] |
||
ในปี 1992 [[เควิน คีแกน]]ได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดย[[เซอร์ จอห์น ฮอลล์]]ไปไม่นานก็ตาม |
ในปี [[ค.ศ. 1992]] [[เควิน คีแกน]] ได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดย[[เซอร์ จอห์น ฮอลล์]]ไปไม่นานก็ตาม และในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลปอร์ทสมัธ|ปอร์ทสมัธ]]ก่อนจะบุกไปเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี|เลสเตอร์ ซิตี]]ในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล |
||
ในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลปอร์ทสมัธ|ปอร์ทสมัธ]]ก่อนจะบุกไปเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี|เลสเตอร์ ซิตี]]ในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล |
|||
ในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่[[พรีเมียร์ลีก]]ด้วยชัยชนะเหนือ[[สโมสรฟุตบอลกริมสบีทาวน์|กริมสบี ทาวน์]] 2-0 |
ในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่[[พรีเมียร์ลีก]]ด้วยชัยชนะเหนือ[[สโมสรฟุตบอลกริมสบีทาวน์|กริมสบี ทาวน์]] 2-0 |
||
บรรทัด 92: | บรรทัด 90: | ||
นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชน[[อังกฤษ]]ว่าเป็น "''The Entertainers''" |
นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชน[[อังกฤษ]]ว่าเป็น "''The Entertainers''" |
||
ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู [[แอนดี โคล]] ให้กับ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ด้วยค่าตัว 6 |
ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู [[แอนดี โคล]] ให้กับ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ด้วยค่าตัว 6,000,000 ปอนด์ บวกกับ[[คีธ กิลเลสพี]] ปีกขวาดาวรุ่งชาวไอริช |
||
<br /> |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
ในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดังเช่น[[ดาวิด ชิโนลา]]และ[[เลส เฟอร์ดินานด์]]มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์[[พรีเมียร์ลีก]]ได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วง[[คริสต์มาส]] พวกเขาทิ้งห่าง[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ถึง 12 คะแนน เกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับ[[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล|ลิเวอร์พูล]]ไป 3-4 ที่สนาม[[แอนฟิลด์]]ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของ[[พรีเมียร์ลีก]]เลยทีเดียว |
ในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดัง เช่น [[ดาวิด ชิโนลา]] และ [[เลส เฟอร์ดินานด์]] มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์[[พรีเมียร์ลีก]]ได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วง[[คริสต์มาส]] พวกเขาทิ้งห่าง[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ถึง 12 คะแนน และเกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับ[[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล|ลิเวอร์พูล]]ไป 3-4 ที่สนาม[[แอนฟิลด์]]ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของ[[พรีเมียร์ลีก]]เลยทีเดียว |
||
นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้า[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]] [[แอลัน เชียเรอร์]] มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15 |
นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้า[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]] [[แอลัน เชียเรอร์]] มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15,000,000 ปอนด์ สำหรับฤดูกาล 1996-97 นี้ เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจากนิวคาสเซิลได้ถล่มเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ไปด้วยสกอร์ถึง 5-0 เมื่อวันที่ [[24 ตุลาคม]] [[ค.ศ. 1996]] |
||
<br /> |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในเดือน[[มกราคม]] |
คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในเดือน[[มกราคม]] [[ค.ศ. 1997]] และถูกแทนที่โดย[[เคนนี ดัลกลิช]] ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997-98 ดัลกลิชพานิวคาสเซิลเข้าไปเล่นฟุตบอล[[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]] และพ่ายต่อ[[สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล|อาร์เซนอล]]ในรอบชิงชนะเลิศถ้วย[[เอฟเอคัพ]]ไป 0-2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มที่จะไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของดัลกลิช เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม เป็นผลให้ดัลกลิชถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงต้นฤดูกาล 1998-99 |
||
[[รืด คึลลิต]]ก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ[[เอฟเอคัพ]]อีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ไปในที่สุด แต่คึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่น[[มาร์เซลิโน]] กองหลังชาว[[สเปน]] และ[[ซิลวิโอ มาริช]] มิดฟิลด์[[โครเอเชีย]] นอกจากนี้คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตถูกกดดันให้ลาออกไป |
[[รืด คึลลิต]]ก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ[[เอฟเอคัพ]]อีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ไปในที่สุด แต่คึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่น[[มาร์เซลิโน]] กองหลังชาว[[สเปน]] และ[[ซิลวิโอ มาริช]] มิดฟิลด์[[โครเอเชีย]] นอกจากนี้คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตถูกกดดันให้ลาออกไป |
||
<br /> |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
นิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้ง[[เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน]] อดีตผู้จัดการ[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]] |
นิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้ง[[เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน]] อดีตผู้จัดการ[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]]เข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมเหย้าเกมแรกของนิวคาสเซิลภายใต้ร็อบสันจบลงด้วยชัยชนะ 8-0 เหนือ[[สโมสรฟุตบอลเชฟฟิลด์เวนส์เดย์|เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์]] พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีม[[แอลัน เชียเรอร์]] ในช่วงที่ร็อบสันคุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่าง[[คีรอน ดายเออร์]], [[เคร็ก เบลลามี่]] และ[[โลรองต์ โรแบร์]] ทำให้นิวคาสเซิลกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของ[[พรีเมียร์ลีก]]อีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้นิวคาสเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001-02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในรายการ[[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]] และได้เข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วย[[เอฟเอคัพ]]และ[[คาร์ลิงคัพ|ลีกคัพ]] |
||
ในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกใน[[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]]ที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง[[สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา|บาร์เซโลนา]] และ [[สโมสรฟุตบอลอินเตอร์ มิลาน|อินเตอร์ มิลาน]] ส่วนผลงานใน[[พรีเมียร์ลีก]]นั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3 |
ในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกใน[[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]]ที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง[[สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา|บาร์เซโลนา]] และ [[สโมสรฟุตบอลอินเตอร์ มิลาน|อินเตอร์ มิลาน]] ส่วนผลงานใน[[พรีเมียร์ลีก]]นั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3 |
||
ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือก[[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]]หลังพ่ายในการดวล[[จุดโทษ]]ให้กับ[[สโมสรฟุตบอลพาร์ทิซานเบลเกรด|พาร์ทิซาน เบลเกรด]] จนต้อง |
ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือก[[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]]หลังพ่ายในการดวล[[จุดโทษ]]ให้กับ[[สโมสรฟุตบอลพาร์ทิซานเบลเกรด|พาร์ทิซาน เบลเกรด]] จนต้องตกชั้นลงไปเล่นในถ้วย[[ยูฟ่าคัพ]]แทน และจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 รวมทั้งเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วย[[ยูฟ่าคัพ]] แต่หลังจากนั้นทางสโมสรได้ทำการปลด เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน ในเดือน[[สิงหาคม]] [[ค.ศ. 2004]] และได้แต่งตั้ง[[แกรม ซูเนส]] ขึ้นเป็นผู้จัดการทีมแทน |
||
<br /> |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
ในฤดูกาล 2004-2005[[แกรม ซูเนส]]ได้เซ็นสัญญา[[ไมเคิล โอเวน]]มาสู่ทีมโดยมีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของสโมสร อย่างไรก็ตามในเดือนกุมภาพันธ์ 2006 เขาก็ถูกปลดหลังจากที่ทีมเริ่มฤดูกาล 2005-2006ได้อย่างย่ำแย่ [[เกล็น โรเดอร์]]ถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวและเขาก็พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 สโมสรจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม ขณะที่[[แอลัน เชียเรอร์]]ก็ได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากจบฤดูกาลนี้ด้วย ในช่วงปิดฤดูกาล [[เกล็น โรเดอร์]] ได้พาทีมคว้าแชมป์[[ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ]] พร้อมกับได้สิทธ์ไปเตะในถ้วยยูฟ่าคัพในฤดูกาล 2006-2007 อีกด้วย |
ในฤดูกาล 2004-2005 [[แกรม ซูเนส]] ได้เซ็นสัญญา[[ไมเคิล โอเวน]] มาสู่ทีมโดยมีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของสโมสร อย่างไรก็ตามในเดือน[[กุมภาพันธ์]] [[ค.ศ. 2006]] เขาก็ถูกปลดหลังจากที่ทีมเริ่มฤดูกาล 2005-2006 ได้อย่างย่ำแย่ [[เกล็น โรเดอร์]] ถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวและเขาก็พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 สโมสรจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม ขณะที่[[แอลัน เชียเรอร์]]ก็ได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากจบฤดูกาลนี้ด้วย ในช่วงปิดฤดูกาล [[เกล็น โรเดอร์]] ได้พาทีมคว้าแชมป์[[ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ]] พร้อมกับได้สิทธ์ไปเตะในถ้วย[[ยูฟ่าคัพ]]ในฤดูกาล 2006-2007 อีกด้วย และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2006-2007 นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 และ [[เกล็น โรเดอร์]] ลาออกจากผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้แต่งตั้ง[[แซม อัลลาร์ไดซ์]] เป็นผู้จัดการทีมในวันที่ [[15 พฤษภาคม]] [[ค.ศ. 2007]] และในวันที่ [[7 มิถุนายน]] [[ค.ศ. 2007]] บอร์ดบริหารสโมสรก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อ [[เฟรดดี้ เชฟเฟริด]] ผู้บริหารสโมสรในขณะนั้นได้ตัดสินใจขายสโมสรให้แก่[[ไมค์ แอชลีย์]] เจ้าของธุรกิจขายอุปกรณ์กีฬา |
||
ในฤดูกาล2007-2008 แซม |
ในฤดูกาล 2007-2008 [[แซม อัลลาร์ไดซ์]] ได้เซ็นสัญญานักแตะมาสู่ทีมหลายคนเช่น เฌเรมี่, [[แอลัน สมิธ]] จาก [[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]] ด้วยค่าตัว 6,000,000 ปอนด์, [[ดาวิด โรเซนนาล]], [[เคลาดิโอ คาซาปา]], [[โจอี บาร์ตัน]] เป็นต้น แต่นักเตะที่ซื้อมากับทำผลงานได้ย่ำแย่และทำให้ทีมฟอร์มตกจนไปอยู่ท้ายตาราง รวมถึงในเกมส์ในบ้านที่แพ้ลิเวอร์พูล 3-0 ชนิดว่าไม่มีลุ้นทำให้มีเสียงโห่จากแฟนนิวคาสเซิ่ลจำนวนมากใน[[เซนต์เจมส์พาร์ก]] ก่อนที่แซมจะโดนปลดออกในวันที่ [[9 มกราคม]] [[ค.ศ. 2008]] และแทนที่ด้วย [[เควิน คีแกน]] ที่กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งโดยเซ็นสัญญา 3 ปี ทำให้สร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเตะและแฟนบอลจนผลงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและจบฤดูกาลด้วยอันดับ 12 |
||
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2008-2009 ได้เกิดวิกฤติอีกครั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่าง[[เควิน คีแกน]]กับบอร์ดบริหารเรื่องการแทรกแทรงการซื้อขายนักเตะ และในวันที่ 4 กันยายน 2008[[เควิน คีแกน]]ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้เซ็นสัญญาให้ โจ คินเนียร์ อดีตผู้จัดการทีมวิมเบิลดันมาเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 26 กันยายน 2008 แต่แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 โจ คินเนียร์ |
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2008-2009 ได้เกิดวิกฤติอีกครั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่าง [[เควิน คีแกน]] กับบอร์ดบริหารเรื่องการแทรกแทรงการซื้อขายนักเตะ และในวันที่ [[4 กันยายน]] [[ค.ศ. 2008]] [[เควิน คีแกน]] ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้เซ็นสัญญาให้ [[โจ คินเนียร์]] อดีตผู้จัดการทีมวิมเบิลดันมาเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ [[26 กันยายน]] [[ค.ศ. 2008]] แต่แล้วในเดือน[[กุมภาพันธ์]] [[ค.ศ. 2009]] [[โจ คินเนียร์]] ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ ทำให้สโมสรต้องเรียก[[แอลัน เชียเรอร์]] อดีตศูนย์หน้าของทีมเข้ามารับหน้าที่แทนในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด |
||
<br /> |
|||
⚫ | |||
⚫ | นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้[[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอสตันวิลลา]] 1-0 ที่[[วิลลาพาร์ก]] ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่[[เดอะแชมเปี้ยนชิพ|ฟุตบอลลีกแช |
||
<br /> |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้[[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอสตันวิลลา]] 1-0 ที่[[วิลลาพาร์ก]] ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่[[เดอะแชมเปี้ยนชิพ|ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป]]ด้วยอันดับ 18 ของตาราง หลังจากตกชั้นได้ไม่นาน[[แอลัน เชียเรอร์]] ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมี[[คริส ฮิวจ์ตัน]] ทำหน้าที่รักษาการแทน หลังจากนั้นทีมต้องเสียนักเตะอย่าง [[ไมเคิล โอเวน]], [[มาร์ค วิดูก้า]], [[ดาวิด เอ็ดการ์]], [[โอบาเฟมี มาร์ตินส์]], [[เชย์ กิฟเวน]], [[เซบาสเตียน บาสซง]], [[เดเมียน ดัฟฟ์]] และ [[ฮาบิบ เบย์]] ออกไป พร้อมทั้งมีข่าวว่า [[เควิน คีแกน]] อดีตผู้จัดการทีมและขวัญใจแฟนนิวคาสเซิ่ลได้เรียกร้องเงินชดเชยที่ได้ระบุในสัญญาคุมทีม 3 ปี ก่อนที่คีแกนจะลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากโดนแทรกแซงเรื่องการบริหาร ศาลตัดสินให้นิวคาสเซิ่ลจ่ายเงินชดเชยจำนวน 2,000,000 ปอนด์ หรือ 112,000,000 บาท โดยในเหตุการณ์ครั้งนั้นคีแกนไม่พอใจที่ถูก [[เดนนิส ไวส์]] ผู้อำนวยการแทรกแซงเรื่องการซื้อขายนักเตะโดยคีแกนไม่พอใจที่ขาย[[เจมส์ มิลเนอร์]] กองกลาง[[ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|ทีมชาติอังกฤษ]]ให้[[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอสตันวิลล่า]] รวมถึงการซื้อ[[ชิสโก (นักฟุตบอลเกิดปี พ.ศ. 2529)|ชิสโก]] กองหน้าชาว[[สเปน]] และ[[อิกนาซิโอ กอนซาเลซ]] นักเตะชาวอุรุกวัยโดยไม่ผ่านการตัดสินใจของคีแกน พร้อมกับทางสโมสรพยายามปล่อย[[โจอี บาร์ตัน]] กองกลางที่พึ่งพ้นโทษออกจากคุกออกจากทีมโดยที่ขัดแย้งกับคีแกนซึ่งพยายามรั้งตัวไว้ ขณะเดียวกัน [[ไมค์ แอชลีย์]] เจ้าของสโมสรได้ถูกกดดันจากแฟนบอลจึงประกาศขายทีมในราคา 100,000,000 ปอนด์ ทำให้ทีมเริ่มระส่ำระส่ายมากขึ้น แต่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ นิวคาสเซิ่ลก็สามารถคว้านักเตะเสริมทัพได้โดยเป็น [[แดนนี ซิมป์สัน]] จาก[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]] ในสัญญายืมตัว ยืม[[มาร์ลอน แฮร์วูด]]มาจาก[[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอสตันวิลล่า]] และเซ็นสัญญาคว้าตัว [[ปีเตอร์ โลเวนครานด์]] กับ [[ฟาบริซ ป็องครัต]] มาแบบไร้ค่าตัว โดยผลงานของนิวคาสเซิ่ลในนัดเปิดฤดูกาล 2009-2010 สามารถบุกไปเสมอ[[สโมสรฟุตบอลเวสต์บรอมมิชอัลเบียน|เวสต์บรอมวิชอัลเบียน]]ได้ 1-1 เมื่อถึงวันที่ [[27 ตุลาคม]] [[ค.ศ. 2009]] ไมค์ แอชลีย์ ก็ประกาศยุติการขายสโมสรเนื่องจากไม่สามารถตกลงราคากับผู้ที่สนใจซื้อสโมสรได้ พร้อมทั้งแต่งตั้ง [[คริส ฮิวจ์ตัน]] เป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ |
||
⚫ | |||
⚫ | ในฤดูกาล 2010-2011 นิวคาสเซิลเริ่มฤดูกาลได้อย่าง |
||
⚫ | |||
<br /> |
|||
⚫ | |||
⚫ | ในฤดูกาล 2010-2011 นิวคาสเซิลเริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาชนะทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง [[สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล|อาร์เซนอล]], [[สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอสตันวิลล่า]] รวมถึง [[สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์|ซันเดอร์แลนด์]] ทำให้ [[คริส ฮิวจ์ตัน]] เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแฟนบอลนิวคาสเซิล แต่หลังจากการพ่ายแพ้ต่อทีม[[สโมสรฟุตบอลเวสต์บรอมมิชอัลเบียน|เวสต์บรอมวิชอัลเบียน]]ซึ่งถูกเลื่อนชั้นมาพร้อมกันด้วยสกอร์ 1-3 [[คริส ฮิวจ์ตัน]] ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ [[6 ธันวาคม]] [[ค.ศ. 2010]] โดยมี [[แอลัน พาร์ดิว]] เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยได้สัญญาระยะยาว 5 ปีครึ่ง ในวันที่ [[31 มกราคม]] [[ค.ศ. 2011]] สโมสรได้ปล่อย [[แอนดี้ คาร์โรลล์|แอนดี แคร์โรล]] เด็กปั้นของสโมสรให้แก่ลิเวอร์พูล ด้วยราคาสูงถึง 35,000,000 ปอนด์ และทีมก็จบฤดูกาลด้วยอันดับ 12 |
||
⚫ | ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011-2012 แอลัน พาร์ดิวได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง เควิน โน |
||
⚫ | |||
⚫ | ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011-2012 [[แอลัน พาร์ดิว]]ได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง [[เควิน โนลัน]], [[โจอี บาร์ตัน]], และ [[โคเซ เอนรีเก ซานเชซ]] ออกจากทีม และเรียก [[ติม กรึล|ทิม ครูล]] มาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 แทน [[สตีฟ ฮาร์เปอร์]] และเซ็นสัญญานักเตะรายใหม่ ๆ เข้ามาเช่น [[ยออาน กาบาย|โยฮัน กาบาย]], [[ดาวิเด ซานตอน]], และ [[แดมบา บา|เดมบา บา]] ซึ่งทำให้เริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครอย่างต่อเนื่องถึง 11 เกม ก่อนจะแพ้ให้กับ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี|แมนเชสเตอร์ซิตี]]เป็นเกมแรก และยังสามารถเอาชนะทีม[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วงเดือนมกราคม สโมสรได้เซ็นสัญญานักเตะเพิ่มอีก 2 คน คือ [[ปาปิส ซีเซ|ปาปิส ซิสเซ]] และ [[อาแตม แบน อาร์ฟา|ฮาเทม เบนอาร์กฟา]] ทำให้ทีมสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมรวมถึงการชนะ [[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล|ลิเวอร์พูล]] และ [[สโมสรฟุตบอลเชลซี|เชลซี]] ทำให้พวกเขาจบในอันดับที่ 5 ได้สิทธิ์ไปแข่ง[[ยูฟ่ายูโรปาลีก]]ในฤดูกาลหน้า และ[[แอลัน พาร์ดิว]] ยังได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมอีกด้วย |
||
== ผู้เล่น == |
== ผู้เล่น == |
||
บรรทัด 183: | บรรทัด 174: | ||
!ชื่อ |
!ชื่อ |
||
!สัญชาติ |
!สัญชาติ |
||
!ตำแหน่ง |
|||
!เริ่ม |
|||
!ปี |
|||
!ถึง |
|||
!ลงสนาม |
|||
|- |
|||
!ประตู |
|||
!style="width:15em"|Name!!Nationality!!Position!!Newcastle United career!!Appearances!!Goals |
|||
|- |
|- |
||
| align = "left"|[[Andy Aitken (footballer born 1877)|Andy Aitken]]||{{SCO}}||HB||1895–1906||349||42 |
| align = "left"|[[Andy Aitken (footballer born 1877)|Andy Aitken]]||{{SCO}}||HB||1895–1906||349||42 |
||
บรรทัด 578: | บรรทัด 569: | ||
| align = left|2007 |
| align = left|2007 |
||
|- |
|- |
||
| align = left|[[แซม |
| align = left|[[แซม อัลลาร์ไดซ์]] |
||
|{{flagicon|England}} |
|{{flagicon|England}} |
||
| align = left|2007 |
| align = left|2007 |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:48, 27 ตุลาคม 2559
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | เดอะแม็กพาย, เดอะทูน สาลิกาดง (ภาษาไทย) | |||
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1892 | |||
สนาม | เซนต์เจมส์พาร์ก[1] | |||
ความจุ | 52,387 คน | |||
เจ้าของ | ไมค์ แอชลีย์ | |||
ประธาน | ลี ชาร์นลีย์ | |||
ผู้จัดการ | ราฟาเอล เบนีเตซ | |||
ลีก | ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป | |||
2015–16 | พรีเมียร์ลีก, อันดับที่ 18 (ตกชั้น) | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด (อังกฤษ: Newcastle United Football Club; ตัวย่อ: NUFC) เป็นทีมฟุตบอลอาชีพทีมหนึ่งในฟุตบอลลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองนิวคาสเซิลอะพอนไทน์ มีชื่อเล่นของทีมว่า "แม็กพายส์" ("สาลิกาดง" หรือ "กางเขนเหล็ก" ในภาษาไทย) แฟนของทีมนิวคาสเซิลยูไนเต็ด จะมีชื่อเรียกว่า "ทูนอาร์มี" ซึ่งคำว่า "ทูน" นั้นเป็นภาษาแซกซัน คือคำว่า "ทาวน์" ที่แปลว่า "เมือง" [2]
นิวคาสเซิลยูไนเต็ดถือว่ามีคู่แข่งในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยกัน คือ ซันเดอร์แลนด์ (Sunderland) และ มิดเดิลส์เบรอ (Middlesbrough)
ในฤดูกาล 2015–16 นิวคาสเซิลยูไนเต็ดต้องตกชั้นลงไปเล่นในเดอะแชมเปียนชิป หลังจากจบการเล่นนัดที่ 37 ของฤดูกาล เนื่องจากมีเพียง 34 คะแนน และอยู่ในอันดับ 18 ของตารางคะแนน ซึ่งไม่สามารถไล่ตามทันทีมที่อยู่ในอันดับ 17 คือ ซันเดอร์แลนด์ ที่มี 38 คะแนน ได้ทันแล้ว เนื่องจากเหลือการแข่งขันอีกเพียงนัดเดียว [3]
ประวัติสโมสร
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1881 ทีมคริกเก็ตสแตนลีย์ได้ตัดสินใจตั้งทีมฟุตบอลขึ้น เพื่อลงเล่นในช่วงที่ฤดูกาลแข่งขันคริกเก็ตปิดตัวลงในฤดูหนาว พวกเขาชนะเกมแรกที่ลงแข่งขันด้วยสกอร์ 5-0 โดยมีคู่แข่งเป็นทีมเอลสวิกเลเธอร์เวิร์คส์ชุดสำรอง หนึ่งปีต่อมา ทีมก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์
ขณะเดียวกัน ทีมคริกเก็ตอีกทีมหนึ่งในย่านเดียวกันก็ได้เริ่มสนใจที่จะตั้งทีมฟุตบอล จนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ขึ้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยในช่วงแรกนั้น พวกเขาใช้สนามคริกเก็ตเดิมเป็นสนามเหย้า ก่อนที่จะย้ายไปลงเตะในเซนต์เจมส์พาร์ก
หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งฟุตบอลลีกท้องถิ่นขึ้นในปี ค.ศ. 1889 การที่มีลีกอาชีพในบริเวณใกล้เคียงให้ลงเตะ ประกอบกับความสนใจในถ้วยเอฟเอคัพ ทำให้นิวคาสเซิลอีสต์เอนด์เปลี่ยนจากทีมสมัครเล่นมาเป็นทีมอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง แต่ทว่าทางฝั่งนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์กลับล้มเหลวที่จะตามรอยทีมเพื่อนบ้านสู่สถานะทีมฟุตบอลอาชีพ จนกระทั่งในช่วงต้นปี ค.ศ. 1892 ผู้บริหารของนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ได้ตัดสินใจที่จะขอเข้าควบกิจการกับนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์ เพื่อมิให้ทีมต้องยุบตัวลงโดยสิ้นเชิง
การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1892 ชื่อ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม
นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วงทศวรรษ 1900s และยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี ค.ศ. 1910 หลังจากเอาชนะบาร์นสลีย์ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่กูดิสันพาร์ก
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสมัยโดยการเอาชนะแอสตันวิลลาในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ นอกจากนั้น นิวคาสเซิลยังเป็นแชมป์ลีกได้อีกหนึ่งสมัยในปี ค.ศ. 1927 อีกด้วย
ในช่วงทศวรรษ 1950s นิวคาสเซิลเป็นแชมป์เอฟเอคัพถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะแบล็กพูล 2-0 ในปี ค.ศ. 1951 ชนะอาร์เซนอล 1-0 ในปี ค.ศ. 1952 และชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี 3-1 ในปี ค.ศ. 1955 โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่น แจคกี มิลเบิร์น, บ็อบบี มิทเชลล์ และ สแตน เซมัวร์
หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม โจ ฮาร์วีย์ ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี ค.ศ. 1965 แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก
ทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี ค.ศ. 1968 ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วยอินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ (หรือถ้วยยูฟ่าคัพในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ติงลิสบอนจากโปรตุเกส, ไฟเยอโนร์ดจากเนเธอร์แลนด์ และเรอัลซาราโกซาจากสเปน และปิดท้ายด้วยการคว่ำทีมอุจเพสท์จากฮังการีในรอบชิงชนะเลิศ
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่นกองหน้าชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น วิน เดวีส์, ไบรอัน ร็อบสัน, บ็อบบี มอนเคอร์ หรือแฟรงค์ คลาร์ก
หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสรยุโรป ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่ จิมมี สมิธ, โทนี กรีน และเทอร์รี ฮิบบิทท์ ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง มัลคอล์ม แมคโดแนลด์ เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพกับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ซิตีในปี ค.ศ. 1974 และ ค.ศ. 1976 ตามลำดับ แต่พลพรรคแม็กพายส์กลับล้มเหลวในรอบชิงทั้งสองครั้ง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีมอาร์เธอร์ ค็อกซ์จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมีเควิน คีแกน อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด
หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1989
ในปี ค.ศ. 1992 เควิน คีแกน ได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดยเซอร์ จอห์น ฮอลล์ไปไม่นานก็ตาม และในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะปอร์ทสมัธก่อนจะบุกไปเอาชนะเลสเตอร์ ซิตีในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล
ในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะเหนือกริมสบี ทาวน์ 2-0
นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชนอังกฤษว่าเป็น "The Entertainers"
ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู แอนดี โคล ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 6,000,000 ปอนด์ บวกกับคีธ กิลเลสพี ปีกขวาดาวรุ่งชาวไอริช
เปิดฉากความท้าทาย
ในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดัง เช่น ดาวิด ชิโนลา และ เลส เฟอร์ดินานด์ มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วงคริสต์มาส พวกเขาทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนน และเกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับลิเวอร์พูลไป 3-4 ที่สนามแอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้าทีมชาติอังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15,000,000 ปอนด์ สำหรับฤดูกาล 1996-97 นี้ เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจากนิวคาสเซิลได้ถล่มเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ถึง 5-0 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1996
ช่วงปัญหา
คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในเดือนมกราคม ค.ศ. 1997 และถูกแทนที่โดยเคนนี ดัลกลิช ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997-98 ดัลกลิชพานิวคาสเซิลเข้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และพ่ายต่ออาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพไป 0-2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มที่จะไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของดัลกลิช เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม เป็นผลให้ดัลกลิชถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงต้นฤดูกาล 1998-99
รืด คึลลิตก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปในที่สุด แต่คึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่นมาร์เซลิโน กองหลังชาวสเปน และซิลวิโอ มาริช มิดฟิลด์โครเอเชีย นอกจากนี้คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตถูกกดดันให้ลาออกไป
ยุคแห่งความสำเร็จ
นิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้งเซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมเหย้าเกมแรกของนิวคาสเซิลภายใต้ร็อบสันจบลงด้วยชัยชนะ 8-0 เหนือเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีมแอลัน เชียเรอร์ ในช่วงที่ร็อบสันคุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่างคีรอน ดายเออร์, เคร็ก เบลลามี่ และโลรองต์ โรแบร์ ทำให้นิวคาสเซิลกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้นิวคาสเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001-02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และได้เข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพ
ในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลนา และ อินเตอร์ มิลาน ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกนั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3
ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกหลังพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับพาร์ทิซาน เบลเกรด จนต้องตกชั้นลงไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพแทน และจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 รวมทั้งเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วยยูฟ่าคัพ แต่หลังจากนั้นทางสโมสรได้ทำการปลด เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 และได้แต่งตั้งแกรม ซูเนส ขึ้นเป็นผู้จัดการทีมแทน
ช่วงที่น่าผิดหวัง
ในฤดูกาล 2004-2005 แกรม ซูเนส ได้เซ็นสัญญาไมเคิล โอเวน มาสู่ทีมโดยมีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของสโมสร อย่างไรก็ตามในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 เขาก็ถูกปลดหลังจากที่ทีมเริ่มฤดูกาล 2005-2006 ได้อย่างย่ำแย่ เกล็น โรเดอร์ ถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวและเขาก็พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 สโมสรจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม ขณะที่แอลัน เชียเรอร์ก็ได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากจบฤดูกาลนี้ด้วย ในช่วงปิดฤดูกาล เกล็น โรเดอร์ ได้พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ พร้อมกับได้สิทธ์ไปเตะในถ้วยยูฟ่าคัพในฤดูกาล 2006-2007 อีกด้วย และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2006-2007 นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 และ เกล็น โรเดอร์ ลาออกจากผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้แต่งตั้งแซม อัลลาร์ไดซ์ เป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 และในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2007 บอร์ดบริหารสโมสรก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อ เฟรดดี้ เชฟเฟริด ผู้บริหารสโมสรในขณะนั้นได้ตัดสินใจขายสโมสรให้แก่ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของธุรกิจขายอุปกรณ์กีฬา
ในฤดูกาล 2007-2008 แซม อัลลาร์ไดซ์ ได้เซ็นสัญญานักแตะมาสู่ทีมหลายคนเช่น เฌเรมี่, แอลัน สมิธ จาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 6,000,000 ปอนด์, ดาวิด โรเซนนาล, เคลาดิโอ คาซาปา, โจอี บาร์ตัน เป็นต้น แต่นักเตะที่ซื้อมากับทำผลงานได้ย่ำแย่และทำให้ทีมฟอร์มตกจนไปอยู่ท้ายตาราง รวมถึงในเกมส์ในบ้านที่แพ้ลิเวอร์พูล 3-0 ชนิดว่าไม่มีลุ้นทำให้มีเสียงโห่จากแฟนนิวคาสเซิ่ลจำนวนมากในเซนต์เจมส์พาร์ก ก่อนที่แซมจะโดนปลดออกในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2008 และแทนที่ด้วย เควิน คีแกน ที่กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งโดยเซ็นสัญญา 3 ปี ทำให้สร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเตะและแฟนบอลจนผลงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและจบฤดูกาลด้วยอันดับ 12
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2008-2009 ได้เกิดวิกฤติอีกครั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่าง เควิน คีแกน กับบอร์ดบริหารเรื่องการแทรกแทรงการซื้อขายนักเตะ และในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2008 เควิน คีแกน ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้เซ็นสัญญาให้ โจ คินเนียร์ อดีตผู้จัดการทีมวิมเบิลดันมาเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2008 แต่แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 โจ คินเนียร์ ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ ทำให้สโมสรต้องเรียกแอลัน เชียเรอร์ อดีตศูนย์หน้าของทีมเข้ามารับหน้าที่แทนในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด
การตกชั้น
นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้แอสตันวิลลา 1-0 ที่วิลลาพาร์ก ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิปด้วยอันดับ 18 ของตาราง หลังจากตกชั้นได้ไม่นานแอลัน เชียเรอร์ ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมีคริส ฮิวจ์ตัน ทำหน้าที่รักษาการแทน หลังจากนั้นทีมต้องเสียนักเตะอย่าง ไมเคิล โอเวน, มาร์ค วิดูก้า, ดาวิด เอ็ดการ์, โอบาเฟมี มาร์ตินส์, เชย์ กิฟเวน, เซบาสเตียน บาสซง, เดเมียน ดัฟฟ์ และ ฮาบิบ เบย์ ออกไป พร้อมทั้งมีข่าวว่า เควิน คีแกน อดีตผู้จัดการทีมและขวัญใจแฟนนิวคาสเซิ่ลได้เรียกร้องเงินชดเชยที่ได้ระบุในสัญญาคุมทีม 3 ปี ก่อนที่คีแกนจะลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากโดนแทรกแซงเรื่องการบริหาร ศาลตัดสินให้นิวคาสเซิ่ลจ่ายเงินชดเชยจำนวน 2,000,000 ปอนด์ หรือ 112,000,000 บาท โดยในเหตุการณ์ครั้งนั้นคีแกนไม่พอใจที่ถูก เดนนิส ไวส์ ผู้อำนวยการแทรกแซงเรื่องการซื้อขายนักเตะโดยคีแกนไม่พอใจที่ขายเจมส์ มิลเนอร์ กองกลางทีมชาติอังกฤษให้แอสตันวิลล่า รวมถึงการซื้อชิสโก กองหน้าชาวสเปน และอิกนาซิโอ กอนซาเลซ นักเตะชาวอุรุกวัยโดยไม่ผ่านการตัดสินใจของคีแกน พร้อมกับทางสโมสรพยายามปล่อยโจอี บาร์ตัน กองกลางที่พึ่งพ้นโทษออกจากคุกออกจากทีมโดยที่ขัดแย้งกับคีแกนซึ่งพยายามรั้งตัวไว้ ขณะเดียวกัน ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรได้ถูกกดดันจากแฟนบอลจึงประกาศขายทีมในราคา 100,000,000 ปอนด์ ทำให้ทีมเริ่มระส่ำระส่ายมากขึ้น แต่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ นิวคาสเซิ่ลก็สามารถคว้านักเตะเสริมทัพได้โดยเป็น แดนนี ซิมป์สัน จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในสัญญายืมตัว ยืมมาร์ลอน แฮร์วูดมาจากแอสตันวิลล่า และเซ็นสัญญาคว้าตัว ปีเตอร์ โลเวนครานด์ กับ ฟาบริซ ป็องครัต มาแบบไร้ค่าตัว โดยผลงานของนิวคาสเซิ่ลในนัดเปิดฤดูกาล 2009-2010 สามารถบุกไปเสมอเวสต์บรอมวิชอัลเบียนได้ 1-1 เมื่อถึงวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ไมค์ แอชลีย์ ก็ประกาศยุติการขายสโมสรเนื่องจากไม่สามารถตกลงราคากับผู้ที่สนใจซื้อสโมสรได้ พร้อมทั้งแต่งตั้ง คริส ฮิวจ์ตัน เป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ
กลับสู่พรีเมียร์ลีก
ในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิปฤดูกาล 2009-2010 นิวคาสเซิลสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องจนสามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จและได้เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกโดยอัตโนมัติในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2010 ทั้งที่ยังเหลือเกมแข่งขันอีกถึง 5 นัด
ในฤดูกาล 2010-2011 นิวคาสเซิลเริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาชนะทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง อาร์เซนอล, แอสตันวิลล่า รวมถึง ซันเดอร์แลนด์ ทำให้ คริส ฮิวจ์ตัน เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแฟนบอลนิวคาสเซิล แต่หลังจากการพ่ายแพ้ต่อทีมเวสต์บรอมวิชอัลเบียนซึ่งถูกเลื่อนชั้นมาพร้อมกันด้วยสกอร์ 1-3 คริส ฮิวจ์ตัน ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2010 โดยมี แอลัน พาร์ดิว เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยได้สัญญาระยะยาว 5 ปีครึ่ง ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2011 สโมสรได้ปล่อย แอนดี แคร์โรล เด็กปั้นของสโมสรให้แก่ลิเวอร์พูล ด้วยราคาสูงถึง 35,000,000 ปอนด์ และทีมก็จบฤดูกาลด้วยอันดับ 12
เดินหน้าสู่ถ้วยยุโรปอีกครั้ง
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011-2012 แอลัน พาร์ดิวได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง เควิน โนลัน, โจอี บาร์ตัน, และ โคเซ เอนรีเก ซานเชซ ออกจากทีม และเรียก ทิม ครูล มาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 แทน สตีฟ ฮาร์เปอร์ และเซ็นสัญญานักเตะรายใหม่ ๆ เข้ามาเช่น โยฮัน กาบาย, ดาวิเด ซานตอน, และ เดมบา บา ซึ่งทำให้เริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครอย่างต่อเนื่องถึง 11 เกม ก่อนจะแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ซิตีเป็นเกมแรก และยังสามารถเอาชนะทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วงเดือนมกราคม สโมสรได้เซ็นสัญญานักเตะเพิ่มอีก 2 คน คือ ปาปิส ซิสเซ และ ฮาเทม เบนอาร์กฟา ทำให้ทีมสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมรวมถึงการชนะ ลิเวอร์พูล และ เชลซี ทำให้พวกเขาจบในอันดับที่ 5 ได้สิทธิ์ไปแข่งยูฟ่ายูโรปาลีกในฤดูกาลหน้า และแอลัน พาร์ดิว ยังได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมอีกด้วย
ผู้เล่น
- ณ วันที่ 27 มกราคม 2016[4]
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง
ชื่อ | สัญชาติ | ตำแหน่ง | ปี | ลงสนาม | ประตู |
---|---|---|---|---|---|
Andy Aitken | สกอตแลนด์ | HB | 1895–1906 | 349 | 42 |
Jack Carr | อังกฤษ | LB | 1897–1912 | 278 | 5 |
Matt Kingsley | อังกฤษ | GK | 1898–1904 | 189 | 0 |
Alexander Gardner | สกอตแลนด์ | RW | 1899–1910 | 314 | 26 |
Peter McWilliam | สกอตแลนด์ | HB | 1902–1911 | 242 | 12 |
Jock Rutherford | อังกฤษ | RW | 1902–1913 | 334 | 92 |
Bill Appleyard | อังกฤษ | FW | 1903–1908 | 145 | 88 |
Albert Gosnell | อังกฤษ | LW | 1904–1909 | 106 | 15 |
Andy McCombie | สกอตแลนด์ | FB | 1904–1910 | 132 | 0 |
Jimmy Lawrence | สกอตแลนด์ | GK | 1904–1921 | 496 | 0 |
Billy McCracken | ไอร์แลนด์เหนือ | HB | 1904–1924 | 432 | 8 |
Jimmy Stewart | อังกฤษ | FW | 1908–1913 | 138 | 51 |
Albert Shepherd | อังกฤษ | FW | 1908–1914 | 123 | 92 |
Frank Hudspeth | อังกฤษ | CB | 1910–1929 | 472 | 37 |
William Bradley | อังกฤษ | GK | 1914–1927 | 143 | 0 |
Stan Seymour | อังกฤษ | LW | 1920–1929 | 266 | 84 |
Billy Aitken | อังกฤษ | FW | 1920–1924 | 110 | 10 |
Charlie Spencer | อังกฤษ | DF | 1921–1928 | 175 | 1 |
Tom McDonald | สกอตแลนด์ | IF | 1921–1931 | 367 | 113 |
Hughie Gallacher | สกอตแลนด์ | FW | 1925–1930 | 174 | 143 |
Jimmy Boyd | สกอตแลนด์ | RW | 1925–1935 | 214 | 57 |
David Fairhurst | อังกฤษ | FB | 1929–1939 | 285 | 2 |
Jack Allen | อังกฤษ | FW | 1931–1934 | 90 | 41 |
Billy Cairns | อังกฤษ | FW | 1933–1944 | 90 | 53 |
Tommy Pearson | สกอตแลนด์ | LW | 1933–1948 | 212 | 46 |
William Imrie | อังกฤษ | RW | 1934–1938 | 128 | 24 |
Bobby Ancell | สกอตแลนด์ | LB | 1936–1944 | 102 | 1 |
Jackie Milburn | อังกฤษ | FW | 1943–1957 | 397 | 200 |
Ron Batty | อังกฤษ | LB | 1945–1958 | 184 | 1 |
Joe Harvey | อังกฤษ | HB | 1945–1953 | 247 | 12 |
Roy Bentley | อังกฤษ | FW | 1946–1948 | 54 | 25 |
Bobby Cowell | อังกฤษ | RB | 1946–1955 | 289 | 0 |
Frank Brennan | สกอตแลนด์ | MF | 1946–1956 | 349 | 3 |
Charlie Crowe | อังกฤษ | LF | 1946–1957 | 178 | 5 |
Tommy Walker | อังกฤษ | RW | 1946–1954 | 184 | 35 |
Jack Fairbrother | อังกฤษ | GK | 1947–1952 | 161 | 0 |
Ernie Taylor | อังกฤษ | IF | 1947–1951 | 107 | 19 |
George Hannah | อังกฤษ | FW | 1949–1957 | 175 | 43 |
Alf McMichael | ไอร์แลนด์เหนือ | LB | 1949–1962 | 433 | 1 |
Bobby Mitchell | สกอตแลนด์ | FW | 1949–1961 | 412 | 113 |
George Robledo | ชิลี | FW | 1949–1953 | 166 | 91 |
Ted Robledo | ชิลี | LB | 1949–1953 | 47 | 0 |
Bob Stokoe | อังกฤษ | CB | 1950–1961 | 261 | 4 |
Ronnie Simpson | สกอตแลนด์ | GK | 1951–1960 | 295 | 0 |
Ivor Broadis | อังกฤษ | FW | 1951–1955 | 51 | 18 |
Reg Davies | เวลส์ | FW | 1951–1958 | 171 | 50 |
Vic Keeble | อังกฤษ | FW | 1952–1957 | 121 | 69 |
Tommy Casey | ไอร์แลนด์เหนือ | HB | 1952–1958 | 116 | 8 |
Jimmy Scoular | สกอตแลนด์ | RW | 1953–1961 | 273 | 6 |
Len White | อังกฤษ | FW | 1953–1962 | 269 | 153 |
Jackie Bell | อังกฤษ | RB | 1956–1962 | 117 | 8 |
George Eastham | อังกฤษ | FW | 1956–1960 | 129 | 34 |
Gordon Hughes | อังกฤษ | FW | 1956–1963 | 133 | 18 |
Dick Keith | ไอร์แลนด์เหนือ | RB | 1956–1964 | 223 | 4 |
Ivor Allchurch | เวลส์ | FW | 1958–1962 | 154 | 51 |
Dave Hollins | เวลส์ | GK | 1960–1967 | 112 | 0 |
John McGrath | อังกฤษ | CB | 1960–1967 | 179 | 2 |
Alan Suddick | อังกฤษ | FW | 1962–1967 | 144 | 41 |
แฟรงค์ คลาร์ก | อังกฤษ | LB | 1962–1975 | 464 | 2 |
David Craig | ไอร์แลนด์เหนือ | RB | 1962–1978 | 412 | 12 |
Dave Hilley | สกอตแลนด์ | IF | 1962–1968 | 194 | 31 |
Jim Iley | อังกฤษ | RB | 1962–1969 | 249 | 16 |
Ron McGarry | อังกฤษ | FW | 1962–1967 | 132 | 46 |
บ็อบบี มอนเคอร์ | สกอตแลนด์ | CB | 1962–1974 | 356 | 8 |
Pop Robson | อังกฤษ | FW | 1962–1971 | 244 | 97 |
Gordon Marshall | อังกฤษ | GK | 1963–1968 | 187 | 0 |
Ollie Burton | เวลส์ | CD | 1963–1972 | 188 | 6 |
Albert Bennett | อังกฤษ | FW | 1965–1969 | 85 | 22 |
John McNamee | สกอตแลนด์ | CB | 1966–1971 | 117 | 8 |
Iam McFaul | ไอร์แลนด์เหนือ | GK | 1966–1975 | 290 | 0 |
Wyn Davies | เวลส์ | FW | 1966–1971 | 216 | 53 |
David Elliott | อังกฤษ | MF | 1966–1971 | 90 | 4 |
Alan Foggon | อังกฤษ | FW | 1967–1971 | 61 | 14 |
Tommy Gibb | สกอตแลนด์ | MF | 1968–1975 | 199 | 12 |
จิมมี สมิธ | สกอตแลนด์ | MF | 1969–1975 | 167 | 13 |
Stewart Barrowclough | อังกฤษ | RW | 1970–1978 | 274 | 24 |
Tommy Cassidy | ไอร์แลนด์เหนือ | MF | 1970–1980 | 180 | 22 |
Irving Nattrass | อังกฤษ | DM | 1970–1979 | 304 | 20 |
John Tudor | อังกฤษ | FW | 1970–1977 | 164 | 53 |
เทอร์รี ฮิบบิทท์ | อังกฤษ | LF | 1971–1975 1978–1981 |
262 | 14 |
Pat Howard (footballer) | อังกฤษ | CD | 1971–1977 | 184 | 7 |
Malcolm Macdonald | อังกฤษ | FW | 1971–1976 | 228 | 121 |
Alan Kennedy | อังกฤษ | LB | 1972–1978 | 158 | 9 |
Terry McDermott | อังกฤษ | MF | 1973–1974 1982–1984 |
160 | 24 |
Mickey Burns | อังกฤษ | FW | 1974–1978 | 184 | 48 |
Tommy Craig | สกอตแลนด์ | MF | 1974–1978 | 124 | 22 |
Geoff Nulty | อังกฤษ | MF | 1974–1978 | 101 | 11 |
David Barton | อังกฤษ | CB | 1975–1983 | 110 | 6 |
Alan Gowling | อังกฤษ | FW | 1975–1978 | 92 | 30 |
Mike Mahoney | อังกฤษ | GK | 1975–1979 | 108 | 0 |
เควิน คาร์ | อังกฤษ | GK | 1976–1985 | 195 | 0 |
Steve Hardwick | อังกฤษ | GK | 1976–1983 | 101 | 0 |
Mark McGhee | สกอตแลนด์ | FW | 1977–1978 1989–1991 |
112 | 36 |
John Brownlie | สกอตแลนด์ | RB | 1978–1982 | 136 | 3 |
Mick Martin | ไอร์แลนด์ | MF | 1978–1983 | 163 | 6 |
Alan Shoulder | อังกฤษ | FW | 1978–1982 | 117 | 38 |
Kenny Wharton | อังกฤษ | FB | 1978–1989 | 290 | 26 |
ปีเตอร์ วิธ | อังกฤษ | FW | 1978–1980 | 83 | 27 |
Steve Carney | อังกฤษ | CB | 1979–1985 | 149 | 1 |
Chris Waddle | อังกฤษ | LW | 1980–1985 | 191 | 52 |
Imre Varadi | อังกฤษ | FW | 1981–1983 | 90 | 42 |
Jeff Clarke | อังกฤษ | FW | 1982–1987 | 124 | 4 |
เควิน คีแกน | อังกฤษ | FW | 1982–1984 | 85 | 49 |
David McCreery | ไอร์แลนด์เหนือ | MF | 1982–1989 | 243 | 2 |
John Anderson | ไอร์แลนด์ | CB | 1982–1991 | 333 | 15 |
ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ | อังกฤษ | FW | 1983–1987 1993–1997 |
324 | 119 |
Neil McDonald | อังกฤษ | RB | 1983–1988 | 207 | 29 |
เกล็น โรเดอร์ | อังกฤษ | CB | 1983–1988 | 216 | 10 |
Martin Thomas | เวลส์ | GK | 1983–1988 | 118 | 0 |
พอล แกสคอยน์ | อังกฤษ | MF | 1984–1988 | 107 | 25 |
เควิน สกอตต์ | อังกฤษ | CB | 1986–1994 | 227 | 8 |
Kevin Brock | อังกฤษ | MF | 1988–1993 | 145 | 14 |
Liam O'Brien | ไอร์แลนด์ | MF | 1988–1994 | 151 | 19 |
Bjørn Kristensen | เดนมาร์ก | CB | 1989–1993 | 90 | 4 |
Steve Howey | อังกฤษ | MF | 1989–2000 | 238 | 7 |
Mickey Quinn | อังกฤษ | FW | 1989–1992 | 110 | 77 |
Gavin Peacock | อังกฤษ | MF | 1990–1993 | 119 | 42 |
Lee Clark | อังกฤษ | MF | 1990–1997 2005–2006 |
257 | 27 |
Robbie Elliott | อังกฤษ | LB | 1991–1997 2001–2006 |
188 | 11 |
เดวิด เคลลี่ | ไอร์แลนด์ | FW | 1991–1993 | 70 | 35 |
Pavel Srníček | เช็กเกีย | GK | 1991–1998 2006-2007 |
185 | 0 |
Steve Watson | อังกฤษ | RB | 1991–1998 | 263 | 14 |
John Beresford | อังกฤษ | LB | 1992–1998 | 229 | 8 |
รอบ ลี | อังกฤษ | MF | 1992–2002 | 381 | 56 |
Barry Venison | อังกฤษ | FB | 1992–1995 | 109 | 1 |
แอนดี โคล | อังกฤษ | FW | 1993–1995 | 85 | 68 |
Philippe Albert | เบลเยียม | CB | 1993–1999 | 135 | 12 |
Steve Harper | อังกฤษ | GK | 1993– | 178 | 0 |
Darren Peacock | อังกฤษ | CB | 1994–1998 | 178 | 4 |
David Ginola | ฝรั่งเศส | MF | 1995–1997 | 75 | 7 |
Keith Gillespie | ไอร์แลนด์เหนือ | MF | 1995–1998 | 146 | 14 |
Shaka Hislop | ตรินิแดดและโตเบโก | GK | 1995–1998 | 73 | 0 |
Warren Barton | อังกฤษ | RB | 1995–2002 | 220 | 5 |
เลส เฟอร์ดินานด์ | อังกฤษ | FW | 1995–1997 | 84 | 50 |
David Batty | อังกฤษ | MF | 1996–1998 | 113 | 4 |
Faustino Asprilla | โคลอมเบีย | FW | 1996–1998 | 48 | 12 |
Aaron Hughes | ไอร์แลนด์เหนือ | CB | 1996–2005 | 277 | 6 |
แอลัน เชียเรอร์ | อังกฤษ | FW | 1996–2006 | 405 | 206 |
Temuri Ketsbaia | จอร์เจีย | MF | 1997–2000 | 109 | 14 |
เชย์ กิฟเวน | ไอร์แลนด์ | GK | 1997–2009 | 462 | 0 |
Nolberto Solano | เปรู | MF | 1998–2004 2005–2007 |
315 | 47 |
Andy Griffin | อังกฤษ | RB | 1998–2004 | 104 | 3 |
โชลา อเมโอบี | อังกฤษ | FW | 1998– | 280 | 64 |
Nikos Dabizas | กรีซ | CB | 1998–2003 | 176 | 13 |
แกรี สปีด | เวลส์ | MF | 1998–2004 | 284 | 40 |
Alain Goma | ฝรั่งเศส | DF | 1999–2001 | 40 | 1 |
คีรอน ดายเออร์ | อังกฤษ | MF | 1999–2007 | 251 | 36 |
Lomana LuaLua | สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก | FW | 2000–2004 | 59 | 9 |
Olivier Bernard | ฝรั่งเศส | LB | 2000–2005 2006–2007 |
145 | 6 |
Clarence Acuña | ชิลี | MF | 2000–2003 | 47 | 6 |
เคร็ก เบลลามี่ | เวลส์ | FW | 2001–2005 | 128 | 42 |
Laurent Robert | ฝรั่งเศส | MF | 2001–2005 | 181 | 32 |
Andrew O'Brien | ไอร์แลนด์ | CB | 2001–2005 | 168 | 6 |
Titus Bramble | อังกฤษ | CB | 2002–2007 | 157 | 7 |
Jermaine Jenas | อังกฤษ | MF | 2002–2005 | 151 | 12 |
สตีเฟน คาร์ | ไอร์แลนด์ | DF | 2004–2008 | 107 | 1 |
สตีเวน เทย์เลอร์ | อังกฤษ | DF | 2003– | 179 | 10 |
เจมส์ มิลเนอร์ | อังกฤษ | MF | 2004–2008 | 136 | 11 |
Charles N'Zogbia | ฝรั่งเศส | MF | 2004–2009 | 157 | 9 |
นิกกี บัตต์ | อังกฤษ | MF | 2004–2010 | 179 | 5 |
Celestine Babayaro | ไนจีเรีย | LB | 2005–2007 | 66 | 1 |
Amdy Faye | เซเนกัล | MF | 2005–2006 | 35 | 1 |
โอบาเฟมี มาร์ตินส์ | ไนจีเรีย | FW | 2006–2009 | 104 | 38 |
Geremi | แคเมอรูน | MF | 2007–2009 | 49 | 3 |
ไมเคิ่ล โอเว่น | อังกฤษ | FW | 2005–2009 | 79 | 30 |
ฮาบิบ เบย์ | เซเนกัล | RB | 2007–2009 | 52 | 1 |
José Enrique | สเปน | LB | 2007–2011 | 100 | 1 |
Fabricio Coloccini | อาร์เจนตินา | DF | 2008– | 87 | 3 |
โฆนาส กูเตียร์เรส | อาร์เจนตินา | MF | 2008– | 76 | 5 |
เควิน โนแลน | อังกฤษ | MF | 2009–2011 | 83 | 28 |
แอนดี คาร์โรลล์ | อังกฤษ | FW | 2006–2011 | 91 | 33 |
เดเมียน ดัฟฟ์ | ไอร์แลนด์ | MF | 2006–2010 | 86 | 6 |
แอลัน สมิธ | อังกฤษ | MF | 2007– | 91 | 0 |
โจอี้ บาร์ตัน | อังกฤษ | MF | 2007–2011 | 71 | 8 |
ผู้จัดการทีม
ตั้งแต่ ค.ศ. 1992 - ปัจจุบัน
ชื่อ | สัญชาติ | เริ่ม | ถึง |
---|---|---|---|
เควิน คีแกน | 1992 | 1997 | |
เคนนี ดัลกลิช | 1997 | 1998 | |
รุส กุสลิต | 1998 | 1999 | |
เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน | 1999 | 2004 | |
แกรม ซูเนสส์ | 2004 | 2006 | |
เกล็น โรเดอร์ | 2006 | 2007 | |
แซม อัลลาร์ไดซ์ | 2007 | 2008 | |
เควิน คีแกน | 2008 | 2008 | |
โจ คินเนียร์ | 2008 | 2009 | |
อลัน เชียเรอร์ | 2009 | 2009 | |
คริส ฮิลตัน | 2009 | 2010 | |
อลัน พาร์ดิว | 2010 | 2015 | |
จอร์น คาร์เวอร์ (รักษาการ) | 2015 | 2015 | |
สตีฟ แม็คคาเรน | 2015 | 2016 | |
ราฟาเอล เบนิเตช | 2016 | ปัจจุบัน |
เกียรติยศ
เกียรติยศ | จำนวน | ปี | |||
---|---|---|---|---|---|
ฟุตบอลลีก | |||||
ฟุตบอลลีกดิวิชันหนึ่ง แชมป์ | 4 | 1904/05, 1906/07, 1908/09, 1926/27 | |||
เอฟเอพรีเมียร์ลีก รองแชมป์ | 2 | 1995/96, 1996/97 | |||
ฟุตบอลลีกดิวิชันสอง แชมป์ | 3 | 1964/65, 1983/84, 1992/93 , 2009/2010 | |||
ฟุตบอลลีกดิวิชันสอง รองแชมป์ | 2 | 1897/98, 1947/48 | |||
นอร์เทิร์นลีก แชมป์ | 3 | 1902/03, 1903/04, 1904/05 | |||
ฟุตบอลถ้วยภายในประเทศ | |||||
เอฟเอคัพ ชนะเลิศ | 6 | 1910, 1924, 1932, 1951, 1952, 1955 | |||
เอฟเอคัพ รองชนะเลิศ | 7 | 1905, 1906, 1908, 1911, 1974, 1998, 1999 | |||
ฟุตบอลลีกคัพ รองชนะเลิศ | 1 | 1976 | |||
คอมมูนิตี้ชิลด์ ชนะเลิศ | 1 | 1909 | |||
คอมมูนิตี้ชิลด์ รองชนะเลิศ | 5 | 1932, 1951, 1952, 1955, 1996 | |||
เอฟเอยูธคัพ ชนะเลิศ | 2 | 1962, 1985 | |||
ฟุตบอลถ้วยยุโรป | |||||
อินเตอร์ซิตีแฟร์สคัพ ชนะเลิศ | 1 | 1969 | |||
ยูฟ่าอินเตอร์โตโต้คัพ ชนะเลิศ | 1 | 2006 | |||
ยูฟ่าอินเตอร์โตโต้คัพ รองชนะเลิศ | 1 | 2001 | |||
Anglo-Italian Cup ชนะเลิศ | 1 | 1973 | |||
ฟุตบอลถ้วยอื่น | |||||
คีรินคัพ ชนะเลิศ | 1 | 1983 | |||
เท็กเซโกคัพ ชนะเลิศ | 2 | 1974, 1975 | |||
Sheriff of London Charity Shield ชนะเลิศ | 1 | 1907 | |||
พรีเมียร์ลีกเอเชียโทรฟี่ ชนะเลิศ | 1 | 2003 |
อ้างอิง
- ↑ "Newcastle rename St James' Park the Sports Direct Arena". BBC Sport. British Broadcasting Corporation. 9 November 2011. สืบค้นเมื่อ 4 December 2011.
- ↑ "สารคดีท่องโลกกว้าง: ท่องทั่วทวีป". ไทยพีบีเอส. 1 January 2015. สืบค้นเมื่อ 2 January 2015.
- ↑ ""เบนเตเก" ฮีโร่โขกหงส์เจ๊าสิงห์ 1-1 "นิว-นอริช" ตกชั้น". ผู้จัดการออนไลน์. 12 May 2016. สืบค้นเมื่อ 12 May 2016.
- ↑ "2015/16 Squad Numbers Announced". Newcastle United. 31 July 2015. สืบค้นเมื่อ 31 July 2015.
- ↑ "Club Honours". nufc.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2008-08-01.