ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สุภาพร กิตติขจร"
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 5: | บรรทัด 5: | ||
คุณสุภาพร กิตติขจร เป็นบุตรคนที่ 3 ของ[[ประภาส จารุเสถียร|จอมพลประภาส จารุเสถียร]]และ[[ไสว จารุเสถียร|ท่านผู้หญิงไสว จารุเสถียร]] เกิดเมื่อวันที่ [[23 กันยายน]] [[พ.ศ. 2483]] เมื่อเยาว์วัยเข้าเรียนชั้นอนุบาลในโรงเรียนกรมทหารสื่อสาร [[บางซื่อ|เขตบางซื่อ]] ในขณะที่[[จอมพลประภาส]] รับราชการที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ที่ตั้งเดิม ปัจจุบันเป็น ร.1 พัน 3 รอ.) ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียน เมื่อ[[จอมพลประภาส]]ย้ายไปเป็น ผบ.ร.1 รอ.ซึ่งตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชตุ ตรงข้ามวัดโพธิ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมรักษาดินแดน) ครอบครัวก็ย้ายตามไปหมด คุณสุภาพรจึงย้ายไปเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนซันตาครู๊ซ แล้วย้ายมาเรียนชั้นประถมตอนปลายที่โรงเรียนราชินีบน (บางกระบือ) จนจบมัธยมบริบูรณ์ แล้วจึงไปเรียนต่อในไฮสคูล ที่ลอเร้นโต้ คอนแวนต์ เมืองซิมล่า [[ประเทศอินเดีย]] หลังจากจบลอเร็นโต้กำลังจะไปศึกษาต่อใน[[ประเทศอังกฤษ]] แต่ [[ณรงค์ กิตติขจร|ร้อยตรีณรงค์ กิตติขจร]] (ยศในขณะนั้น) ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับคุณสุภาพรมาตั้งแต่อายุได้ 5-6 ขวบ ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่เยาว์วัย ได้ขอแต่งงานเมื่อคุณสุภาพรอายุได้เพียง 18 ปีเท่านั้น โดยมีบุตร - ธิดารวม 4 คน ได้แก่ |
คุณสุภาพร กิตติขจร เป็นบุตรคนที่ 3 ของ[[ประภาส จารุเสถียร|จอมพลประภาส จารุเสถียร]]และ[[ไสว จารุเสถียร|ท่านผู้หญิงไสว จารุเสถียร]] เกิดเมื่อวันที่ [[23 กันยายน]] [[พ.ศ. 2483]] เมื่อเยาว์วัยเข้าเรียนชั้นอนุบาลในโรงเรียนกรมทหารสื่อสาร [[บางซื่อ|เขตบางซื่อ]] ในขณะที่[[จอมพลประภาส]] รับราชการที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ที่ตั้งเดิม ปัจจุบันเป็น ร.1 พัน 3 รอ.) ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียน เมื่อ[[จอมพลประภาส]]ย้ายไปเป็น ผบ.ร.1 รอ.ซึ่งตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชตุ ตรงข้ามวัดโพธิ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมรักษาดินแดน) ครอบครัวก็ย้ายตามไปหมด คุณสุภาพรจึงย้ายไปเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนซันตาครู๊ซ แล้วย้ายมาเรียนชั้นประถมตอนปลายที่โรงเรียนราชินีบน (บางกระบือ) จนจบมัธยมบริบูรณ์ แล้วจึงไปเรียนต่อในไฮสคูล ที่ลอเร้นโต้ คอนแวนต์ เมืองซิมล่า [[ประเทศอินเดีย]] หลังจากจบลอเร็นโต้กำลังจะไปศึกษาต่อใน[[ประเทศอังกฤษ]] แต่ [[ณรงค์ กิตติขจร|ร้อยตรีณรงค์ กิตติขจร]] (ยศในขณะนั้น) ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับคุณสุภาพรมาตั้งแต่อายุได้ 5-6 ขวบ ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่เยาว์วัย ได้ขอแต่งงานเมื่อคุณสุภาพรอายุได้เพียง 18 ปีเท่านั้น โดยมีบุตร - ธิดารวม 4 คน ได้แก่ |
||
* |
* พลตรี เกริกเกียรติ กิตติขจร |
||
* นายกรกาจ กิตติขจร |
* นายกรกาจ กิตติขจร |
||
* พลตรี กิจก้อง กิตติขจร |
* พลตรี กิจก้อง กิตติขจร |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:01, 21 กันยายน 2559
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
สุภาพร กิตติขจร (23 กันยายน พ.ศ. 2483 — 17 มีนาคม พ.ศ. 2548) ภริยาพันเอกณรงค์ กิตติขจร
ประวัติ
คุณสุภาพร กิตติขจร เป็นบุตรคนที่ 3 ของจอมพลประภาส จารุเสถียรและท่านผู้หญิงไสว จารุเสถียร เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2483 เมื่อเยาว์วัยเข้าเรียนชั้นอนุบาลในโรงเรียนกรมทหารสื่อสาร เขตบางซื่อ ในขณะที่จอมพลประภาส รับราชการที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ที่ตั้งเดิม ปัจจุบันเป็น ร.1 พัน 3 รอ.) ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียน เมื่อจอมพลประภาสย้ายไปเป็น ผบ.ร.1 รอ.ซึ่งตั้งอยู่ที่สวนเจ้าเชตุ ตรงข้ามวัดโพธิ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมรักษาดินแดน) ครอบครัวก็ย้ายตามไปหมด คุณสุภาพรจึงย้ายไปเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนซันตาครู๊ซ แล้วย้ายมาเรียนชั้นประถมตอนปลายที่โรงเรียนราชินีบน (บางกระบือ) จนจบมัธยมบริบูรณ์ แล้วจึงไปเรียนต่อในไฮสคูล ที่ลอเร้นโต้ คอนแวนต์ เมืองซิมล่า ประเทศอินเดีย หลังจากจบลอเร็นโต้กำลังจะไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ แต่ ร้อยตรีณรงค์ กิตติขจร (ยศในขณะนั้น) ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับคุณสุภาพรมาตั้งแต่อายุได้ 5-6 ขวบ ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่เยาว์วัย ได้ขอแต่งงานเมื่อคุณสุภาพรอายุได้เพียง 18 ปีเท่านั้น โดยมีบุตร - ธิดารวม 4 คน ได้แก่
- พลตรี เกริกเกียรติ กิตติขจร
- นายกรกาจ กิตติขจร
- พลตรี กิจก้อง กิตติขจร
- นางกรองกาญจน์ ดิศกุล ณ อยุธยา
ชีวิตส่วนตัว
พันโทณรงค์และคุณสุภาพร กิตติขจรอยู่กันมาเป็นระยะเวลาถึง 47 ปี แม้ว่า พันโทณรงค์ กิตติขจร ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ราชการสงครามในต่างประเทศหรือขณะที่ พันโทณรงค์ ถูกมรสุมทางการเมือง ต้องไปอยู่ในประเทศเยอรมนีก็ตาม
บั้นปลายชีวิต
คุณสุภาพร กิตติขจร เริ่มป่วยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 ได้รับการรักษาจากคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ในเบื้องต้น และคณะแพทย์พยาบาลโรงพยาบาลกรุงเทพ โดยเฉพาะ นพ.นิพนธ์ ลิ้มตระกูล ได้พยายามรักษาพยาบาลอย่างเต็มความสามารถจนกลับบ้านได้ในครั้งแรก ต่อมาภายหลังมีอาการไม่ค่อยดี จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพอีกครั้ง และมีอาการทรุดลงเรื่อยๆ จนสุดจะเยียวยาได้และจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2548