ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Waritpat inmithin (คุย | ส่วนร่วม)
ลักษณะ
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 18: บรรทัด 18:
| fossil_range = ปลาย[[Devonian|ดีโวเนียน]]-ปัจจุบัน
| fossil_range = ปลาย[[Devonian|ดีโวเนียน]]-ปัจจุบัน
}}
}}
'''สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก''' หรือที่นิยมเรียกอย่างทั่วไปว่า '''สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ''' ({{lang-en|Amphibian}}) เป็น[[สัตว์มีกระดูกสันหลัง]]ที่อยู่ใน[[ชั้น (ชีววิทยา)|ชั้น]] Amphibia อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก มีลักษณะเฉพาะ คือ ผิวหนังมีต่อมเมือกทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นตลอดเวลา ผิวหนังเปียกลื่นอยู่เสมอ ไม่มีเกล็ดตัวไม่แห้งหรือไม่มีขน หายใจด้วย[[เหงือก]], [[ปอด]], [[ผิวหนัง]] หรือผิวในปากในคอ โดยชั้นผิวหนังนั้นมีลักษณะพิเศษสามารถแลกเปลี่ยน[[ออกซิเจน]]ได้เนื่องจากมีโครงข่าย[[เส้นเลือดฝอย|หลอดเลือดฝอย]]จำนวนมาก เพื่อใช้ในการหายใจ<ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, ''วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก'' หน้า 2 ([[พ.ศ. 2552]]) ISBN 978-616-556-016-0</ref> สืบพันธุ์โดยการผสมพันธุ์ภายนอกลำตัว สืบพันธุ์เมื่ออายุ 2–3 ปี ออกลูกเป็น[[ไข่]]อยู่ในน้ำ ไม่มีเปลือก วางไข่เป็นกลุ่มในน้ำมีสารเป็นวุ้นหุ้ม
'''สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก''' หรือที่นิยมเรียกอย่างทั่วไปว่า '''สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ''' ({{lang-en|Amphibians}}) เป็น[[สัตว์มีกระดูกสันหลัง]]ที่อยู่ใน[[ชั้น (ชีววิทยา)|ชั้น]] Amphibia อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก มีลักษณะเฉพาะ คือ ผิวหนังมีต่อมเมือกทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นตลอดเวลา ผิวหนังเปียกลื่นอยู่เสมอ ไม่มีเกล็ดตัวไม่แห้งหรือไม่มีขน หายใจด้วย[[เหงือก]], [[ปอด]], [[ผิวหนัง]] หรือผิวในปากในคอ โดยชั้นผิวหนังนั้นมีลักษณะพิเศษสามารถแลกเปลี่ยน[[ออกซิเจน]]ได้เนื่องจากมีโครงข่าย[[เส้นเลือดฝอย|หลอดเลือดฝอย]]จำนวนมาก เพื่อใช้ในการหายใจ<ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 2</ref> สืบพันธุ์โดยการผสมพันธุ์ภายนอกลำตัว สืบพันธุ์เมื่ออายุ 2–3 ปี ออกลูกเป็น[[ไข่]]อยู่ในน้ำ ไม่มีเปลือก วางไข่เป็นกลุ่มในน้ำมีสารเป็นวุ้นหุ้ม


ลูกอ่อนที่ออกจากไข่มีรูปร่างคล้าย[[ปลา]]เรียกว่า "[[ลูกอ๊อด]]" อยู่ในน้ำหายใจด้วยเหงือก เมื่อเติบโตเต็มที่แล้วมีปอดหายใจ ขึ้นบกได้ แต่ต้องอยู่ใกล้น้ำ
ลูกอ่อนที่ออกจากไข่มีรูปร่างคล้าย[[ปลา]]เรียกว่า "[[ลูกอ๊อด]]" อยู่ในน้ำหายใจด้วยเหงือก เมื่อเติบโตเต็มที่แล้วมีปอดหายใจ ขึ้นบกได้ แต่ต้องอยู่ใกล้น้ำ
บรรทัด 31: บรรทัด 31:
== อันดับของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ==
== อันดับของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ==
* '''[[Anura]]''' หรือ '''อันดับกบ'''
* '''[[Anura]]''' หรือ '''อันดับกบ'''
เป็นอันดับของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งรวมถึง [[คางคก]], [[อึ่ง]] และ[[กบ|เขียด]]หรือปาดด้วย มีรูปร่างโดยรวมคือ มีสี่ขา ขาหลังขาวใหญ่และมี[[กล้ามเนื้อ]]ที่แข็งแรงใช้กระโดดได้ระยะไกล โดย[[มุม]]ที่กระโดดได้มีความสูงที่สุด คือ 90 [[องศา]] กับพื้นราบ ส่วนการกระโดดที่ไกลที่สุดคือ เมื่อทำมุม 45 องศา กับพื้นราบ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับอัตราการเร่งและหดตัวของกล้ามเนื้อ<ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, ''วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก'' หน้า 115 ([[พ.ศ. 2552]]) ISBN 978-616-556-016-0</ref> ระหว่างนิ้วมีพังผืดเชื่อมติดกันเพื่อช่วยในการ[[ว่ายน้ำ]] ตาโต ปากกว้าง เป็นสัตว์ที่ดูเหมือนว่าไม่มีคอ ใน[[เพศผู้|ตัวผู้]]มีต่อมที่ลำคอทั้งสองข้างใช้ในการส่งเสียงร้องได้ เพื่อเรียกความสนใจของตัวเมียเพื่อการผสมพันธุ์และวางไข่ วางไข่ในน้ำ ไข่ติดกันเป็นพวงเหมือนเม็ด[[แมงลัก]] วัยอ่อนมีหางเหมือนปลาและมีพู่เหงือกใช้ในการหายใจเห็นชัดเจน มี 2 ชุด เรียกว่า "ลูกอ๊อด" บางจำพวก เช่น ปาดอาจวางไข่เพียงครั้งละฟองบนน้ำค้างบน[[ใบไม้]] เมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วจะไม่มีหาง
เป็นอันดับของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งรวมถึง [[คางคก]], [[อึ่ง]] และ[[กบ|เขียด]]หรือปาดด้วย มีรูปร่างโดยรวมคือ มีสี่ขา ขาหลังขาวใหญ่และมี[[กล้ามเนื้อ]]ที่แข็งแรงใช้กระโดดได้ระยะไกล โดย[[มุม]]ที่กระโดดได้มีความสูงที่สุด คือ 90 [[องศา]] กับพื้นราบ ส่วนการกระโดดที่ไกลที่สุดคือ เมื่อทำมุม 45 องศา กับพื้นราบ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับอัตราการเร่งและหดตัวของกล้ามเนื้อ<ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 115</ref> ระหว่างนิ้วมีพังผืดเชื่อมติดกันเพื่อช่วยในการ[[ว่ายน้ำ]] ตาโต ปากกว้าง เป็นสัตว์ที่ดูเหมือนว่าไม่มีคอ ใน[[เพศผู้|ตัวผู้]]มีต่อมที่ลำคอทั้งสองข้างใช้ในการส่งเสียงร้องได้ เพื่อเรียกความสนใจของตัวเมียเพื่อการผสมพันธุ์และวางไข่ วางไข่ในน้ำ ไข่ติดกันเป็นพวงเหมือนเม็ด[[แมงลัก]] วัยอ่อนมีหางเหมือนปลาและมีพู่เหงือกใช้ในการหายใจเห็นชัดเจน มี 2 ชุด เรียกว่า "ลูกอ๊อด" บางจำพวก เช่น ปาดอาจวางไข่เพียงครั้งละฟองบนน้ำค้างบน[[ใบไม้]] เมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วจะไม่มีหาง


กบใน[[ประเทศไทย]]ใช้เนื้อในการรับประทานของ[[มนุษย์]]เป็น[[อาหาร]] มีหลายชนิด ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี อาทิ [[กบทูด|กบภูเขา]] (''Limnonectes blythii'') ซึ่งเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชนิดที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในประเทศไทยด้วย, [[อึ่งปากขวด]] (''Glyphoglossus molossus''), [[Hoplobatrachus rugulosus|กบนา]] (''Hoplobatrachus rugulosus'') ซึ่งนิยมเพาะเลี้ยงกันเป็น[[สัตว์เศรษฐกิจ]]
กบใน[[ประเทศไทย]]ใช้เนื้อในการรับประทานของ[[มนุษย์]]เป็น[[อาหาร]] มีหลายชนิด ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี อาทิ [[กบทูด|กบภูเขา]] (''Limnonectes blythii'') ซึ่งเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชนิดที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในประเทศไทยด้วย, [[อึ่งปากขวด]] (''Glyphoglossus molossus''), [[Hoplobatrachus rugulosus|กบนา]] (''Hoplobatrachus rugulosus'') ซึ่งนิยมเพาะเลี้ยงกันเป็น[[สัตว์เศรษฐกิจ]]


ปัจจุบันมีการค้นพบและอนุกรมวิธานแล้วกว่าเกือบ 4,800 ชนิด นับว่ามีความหลากหลายที่สุดของสัตว์ในชั้นนี้<ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, ''วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก'' หน้า 301 ([[พ.ศ. 2552]]) ISBN 978-616-556-016-0</ref>
ปัจจุบันมีการค้นพบและอนุกรมวิธานแล้วกว่าเกือบ 4,800 ชนิด นับว่ามีความหลากหลายที่สุดของสัตว์ในชั้นนี้<ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 301</ref>


* '''[[Caudata]]''' หรือ '''อันดับซาลาแมนเดอร์และนิวต์'''
* '''[[Caudata]]''' หรือ '''อันดับซาลาแมนเดอร์และนิวต์'''
เป็นอันดับของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกอีกอันดับหนึ่ง มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับ[[จิ้งจก]]ที่เป็นสัตว์เลื้อยคลาน จึงได้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งใน[[ภาษาไทย]]ว่า "จิ้งจกน้ำ" หรือ "จั๊กกิ้มน้ำ" กล่าวคือ เมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วก็ยังมีหาง ในขณะที่ยังเป็นวัยอ่อนก็มีรูปร่างไม่ได้ต่างอะไรกับตัวเต็มวัย แต่สภาพของพู่เหงือกจะมีความแตกต่างกันออกไปตามสภาพถิ่นที่อยู่ โดยพวกที่วางไข่ในแหล่งน้ำนิ่งหรือบกบก เหงือกได้ลดรูปและช่องเหงือกปิดก่อนหน้าจะเป็นตัวฟักออกจากไข่ สำหรับพวกที่อาศัยในแหล่งน้ำไหลมีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูง จะมีได้ทั้งเหงือกขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีทั้งแบบเป็นพู่คล้ายขนนก แต่ในจำพวกที่ต้องอาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลา จะไม่เปลี่ยนรูปร่างของเหงือกไปตามวัย แม้จะมีปอดขึ้นมาแล้วก็ตาม<ref name=14-42>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, ''วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก'' หน้า 41-42 ([[พ.ศ. 2552]]) ISBN 978-616-556-016-0</ref>
เป็นอันดับของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกอีกอันดับหนึ่ง มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับ[[จิ้งจก]]ที่เป็นสัตว์เลื้อยคลาน จึงได้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งใน[[ภาษาไทย]]ว่า "จิ้งจกน้ำ" หรือ "จั๊กกิ้มน้ำ" กล่าวคือ เมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วก็ยังมีหาง ในขณะที่ยังเป็นวัยอ่อนก็มีรูปร่างไม่ได้ต่างอะไรกับตัวเต็มวัย แต่สภาพของพู่เหงือกจะมีความแตกต่างกันออกไปตามสภาพถิ่นที่อยู่ โดยพวกที่วางไข่ในแหล่งน้ำนิ่งหรือบกบก เหงือกได้ลดรูปและช่องเหงือกปิดก่อนหน้าจะเป็นตัวฟักออกจากไข่ สำหรับพวกที่อาศัยในแหล่งน้ำไหลมีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูง จะมีได้ทั้งเหงือกขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีทั้งแบบเป็นพู่คล้ายขนนก แต่ในจำพวกที่ต้องอาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลา จะไม่เปลี่ยนรูปร่างของเหงือกไปตามวัย แม้จะมีปอดขึ้นมาแล้วก็ตาม <ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 14-42</ref>


ซึ่งสัตว์ในอันดับนี้ในประเทศไทยมีพบเพียงชนิดเดียวเท่านั้น คือ [[กะท่าง]] หรือ จิ้งจกน้ำดอยอินทนนท์ (''Tylototriton verrucosus'') ซึ่งจะพบได้เฉพาะ[[ลำธาร]]ในเขตภูเขาสูงของ[[ภาคเหนือ]]ของประเทศเท่านั้น และต่อมาได้มีการค้นพบเพิ่มอีกที่แอ่งน้ำใน[[จังหวัดขอนแก่น]] ซึ่งตัวผู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงฤดูผสมพันธุ์จะมี[[สีสัน]]ที่สดใส[[สวย]]งามมาก นอกจากนี้แล้ว สัตว์ในอันดับนี้ถือได้ว่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำทะเทินบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย คือ [[ซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน]] (''Andrias davidianus'') ที่อยู่ใน[[ซาลาแมนเดอร์ยักษ์|วงศ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์]] (Cryptobranchidae) เมื่อโตเต็มที่อาจมีความยาวได้ถึงเกือบ 2 เมตร อาศัยอยู่เฉพาะในลำธารน้ำที่ใสสะอาดแถบภาคกลางและภาคใต้ของ[[ป่าดิบชื้น]]ใน[[จีน]]เท่านั้น
ซึ่งสัตว์ในอันดับนี้ในประเทศไทยมีพบเพียงชนิดเดียวเท่านั้น คือ [[กะท่าง]] หรือ จิ้งจกน้ำดอยอินทนนท์ (''Tylototriton verrucosus'') ซึ่งจะพบได้เฉพาะ[[ลำธาร]]ในเขตภูเขาสูงของ[[ภาคเหนือ]]ของประเทศเท่านั้น และต่อมาได้มีการค้นพบเพิ่มอีกที่แอ่งน้ำใน[[จังหวัดขอนแก่น]] ซึ่งตัวผู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงฤดูผสมพันธุ์จะมี[[สีสัน]]ที่สดใส[[สวย]]งามมาก นอกจากนี้แล้ว สัตว์ในอันดับนี้ถือได้ว่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำทะเทินบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย คือ [[ซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน]] (''Andrias davidianus'') ที่อยู่ใน[[ซาลาแมนเดอร์ยักษ์|วงศ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์]] (Cryptobranchidae) เมื่อโตเต็มที่อาจมีความยาวได้ถึงเกือบ 2 เมตร อาศัยอยู่เฉพาะในลำธารน้ำที่ใสสะอาดแถบภาคกลางและภาคใต้ของ[[ป่าดิบชื้น]]ใน[[จีน]]เท่านั้น


อนึ่ง คำว่า "ซาลาแมนเดอร์" นั้น มีที่มาจาก[[เทพปกรณัมกรีก]]คือ ตัว[[ซาลาแมนเดอร์ (สิ่งมีชีวิตในตำนาน)|ซาลาแมนเดอร์]] ที่เป็น[[สัตว์ในตำนาน]]ที่เมื่ออยู่ใน[[ไฟ]]ก็ไม่ตาย ส่วนคำว่า "[[นิวต์]]" นั้นจะใช้เรียกซาลาแมนเดอร์ที่มีขนาดเล็ก เช่น กะท่าง เป็นต้น<ref>[http://dictionary.flexthai.com/dictionary.php?key=newt&image.x=39&image.y=27 ดิกชันนารีออนไลน์ โปรแกรมแปลภาษา แปลศัพท์ online English-Thai]</ref> ปัจจุบันมีการจำแนกและอนุกรมวิธานแล้วกว่า 580 ชนิด<ref name=14-42/>
อนึ่ง คำว่า "ซาลาแมนเดอร์" นั้น มีที่มาจาก[[เทพปกรณัมกรีก]]คือ ตัว[[ซาลาแมนเดอร์ (สิ่งมีชีวิตในตำนาน)|ซาลาแมนเดอร์]] ที่เป็น[[สัตว์ในตำนาน]]ที่เมื่ออยู่ใน[[ไฟ]]ก็ไม่ตาย ส่วนคำว่า "[[นิวต์]]" นั้นจะใช้เรียกซาลาแมนเดอร์ที่มีขนาดเล็ก เช่น กะท่าง เป็นต้น<ref>[http://dictionary.flexthai.com/dictionary.php?key=newt&image.x=39&image.y=27 ดิกชันนารีออนไลน์ โปรแกรมแปลภาษา แปลศัพท์ online English-Thai]</ref> ปัจจุบันมีการจำแนกและอนุกรมวิธานแล้วกว่า 580 ชนิด <ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 14-42</ref>


* '''[[Gymnophiona]]''' หรือ '''อันดับเขียดงู'''
* '''[[Gymnophiona]]''' หรือ '''อันดับเขียดงู'''
เป็นอันดับที่มีรูปร่างคล้ายเหมือน[[ปลาไหล]]หรือ[[งู]]ที่เป็นสัตว์เลื้อยคลาน เพราะมีลำตัวเรียวยาวไม่มีขาหรือเกล็ด [[ตา]]มีขนาดเล็ก ทำให้ส่วนใหญ่เมื่อมีผู้พบเห็นเข้าใจผิดอยู่เสมอว่าเป็นงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน พบได้ในทั่วโลก มีลำตัวเป็นปล้อง โดยปล้องโดยทั่วไปมีขนาดจำนวนเท่ากับปล้องของกระดูกสันหลัง แต่บางชนิดอาจมีปล้องจำนวน 2 หรือ 3 ปล้องต่อกระดูกสันหลังปล้องเดียวก็ได้ ในบางชนิดที่มีเกล็ด จะเป็นเกล็ดที่ประกอบด้วย[[คอลลาเจน]]หลายชั้นฝังและเรียงตัวซ้อนกันในร่องส่วนลึกสุดของปล้องลำตัวปฐมภูมิ โดยเรียงลำดับต่อเนื่องกันในแนวเฉียง
เป็นอันดับที่มีรูปร่างคล้ายเหมือน[[ปลาไหล]]หรือ[[งู]]ที่เป็นสัตว์เลื้อยคลาน เพราะมีลำตัวเรียวยาวไม่มีขาหรือเกล็ด [[ตา]]มีขนาดเล็ก ทำให้ส่วนใหญ่เมื่อมีผู้พบเห็นเข้าใจผิดอยู่เสมอว่าเป็นงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน พบได้ในทั่วโลก มีลำตัวเป็นปล้อง โดยปล้องโดยทั่วไปมีขนาดจำนวนเท่ากับปล้องของกระดูกสันหลัง แต่บางชนิดอาจมีปล้องจำนวน 2 หรือ 3 ปล้องต่อกระดูกสันหลังปล้องเดียวก็ได้ ในบางชนิดที่มีเกล็ด จะเป็นเกล็ดที่ประกอบด้วย[[คอลลาเจน]]หลายชั้นฝังและเรียงตัวซ้อนกันในร่องส่วนลึกสุดของปล้องลำตัวปฐมภูมิ โดยเรียงลำดับต่อเนื่องกันในแนวเฉียง


อาศัยทั้งบนบก โพรงดิน ใต้กองใบไม้ หรือในน้ำ ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานได้ 33 [[genus|สกุล]] 174 ชนิด ใน 6 [[วงศ์ (ชีววิทยา)|วงศ์]] จำแนกโดยการใช้รูปร่าง[[โครโมโซม]] และลักษณะทาง[[โมเลกุล]] ในประเทศไทยพบได้ 4 ชนิด อยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกันทั้งหมด ชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ [[Ichthyophis kohtaoensis|เขียดงูเกาะเต่า]] (''Ichthyophis kohtaoensis'') <ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, ''วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก'' หน้า 303-304 ([[พ.ศ. 2552]]) ISBN 978-616-556-016-0</ref>
อาศัยทั้งบนบก โพรงดิน ใต้กองใบไม้ หรือในน้ำ ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานได้ 33 [[genus|สกุล]] 174 ชนิด ใน 6 [[วงศ์ (ชีววิทยา)|วงศ์]] จำแนกโดยการใช้รูปร่าง[[โครโมโซม]] และลักษณะทาง[[โมเลกุล]] ในประเทศไทยพบได้ 4 ชนิด อยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกันทั้งหมด ชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ [[Ichthyophis kohtaoensis|เขียดงูเกาะเต่า]] (''Ichthyophis kohtaoensis'') <ref>วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 303-304</ref>


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
===รายการอ้างอิง===
{{รายการอ้างอิง}}
{{รายการอ้างอิง}}
===บรรณานุกรม===
*{{cite book| title=วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก|first=วีรยุทธ์ |last=เลาหะจินดา |publisher=สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |year=2552 |isbn=978-616-556-016-0}}
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
{{wikispecies|Amphibia}}
{{wikispecies|Amphibia}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:46, 25 กรกฎาคม 2559

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ปลายดีโวเนียน-ปัจจุบัน
กบ จัดเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ไฟลัมย่อย: Vertebrata
ชั้น: Amphibia
Linnaeus, 1758
ชั้นย่อย และ อันดับ

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก หรือที่นิยมเรียกอย่างทั่วไปว่า สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (อังกฤษ: Amphibians) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในชั้น Amphibia อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก มีลักษณะเฉพาะ คือ ผิวหนังมีต่อมเมือกทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นตลอดเวลา ผิวหนังเปียกลื่นอยู่เสมอ ไม่มีเกล็ดตัวไม่แห้งหรือไม่มีขน หายใจด้วยเหงือก, ปอด, ผิวหนัง หรือผิวในปากในคอ โดยชั้นผิวหนังนั้นมีลักษณะพิเศษสามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้เนื่องจากมีโครงข่ายหลอดเลือดฝอยจำนวนมาก เพื่อใช้ในการหายใจ[1] สืบพันธุ์โดยการผสมพันธุ์ภายนอกลำตัว สืบพันธุ์เมื่ออายุ 2–3 ปี ออกลูกเป็นไข่อยู่ในน้ำ ไม่มีเปลือก วางไข่เป็นกลุ่มในน้ำมีสารเป็นวุ้นหุ้ม

ลูกอ่อนที่ออกจากไข่มีรูปร่างคล้ายปลาเรียกว่า "ลูกอ๊อด" อยู่ในน้ำหายใจด้วยเหงือก เมื่อเติบโตเต็มที่แล้วมีปอดหายใจ ขึ้นบกได้ แต่ต้องอยู่ใกล้น้ำ

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างทั้งภายนอกและภายในอย่างสิ้นเชิง ไปตามวงจรชีวิต ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน้ำ หายใจด้วยเหงือก เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนรูปร่างอาศัยอยู่บนบก หายใจด้วยปอดหรือผิวหนัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งในช่วงระหว่างฤดูหนาวถึงฤดูร้อน ส่วนใหญ่จะขุดรูจำศีล เพื่อหนีความแห้งแล้ง มิให้ผิวหนังแห้ง ถ้าผิวหนังแห้งจะหายใจไม่ได้และตายในที่สุด เพราะก๊าชจากอากาศต้องละลายไปกับน้ำเมือกที่ผิวหนัง แล้วจึงแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต ระยะนี้จะใช้อาหารที่สะสมไว้ในร่างกายอย่างช้า ๆ นิวต์และซาลามานเดอร์ก็เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหมือนกัน แต่แตกตางกันตรงที่นิวต์และซาลามานเดอร์จะยังคงหางของมันไว้ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกถือเป็นสัตว์เลือดเย็น เช่นเดียวกับสัตว์พวกปลา หรือแมลง หรือสัตว์เลื้อยคลาน ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานสัตว์ในชั้นแล้วกว่า 6,500 ชนิด[2]

วิวัฒนาการของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกถือเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจำพวกแรกที่ขึ้นจากน้ำมาอยู่บนบก โดยวิวัฒนาการตัวเองมาจากปลาในยุคปลายดีโวเนียน (406 ล้านปีก่อน) ในปลาชั้น Sarcopterygii โดยเฉพาะปลาในชั้นย่อย Tetrapodomorpha ที่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์และวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์อย่างอื่นไปแล้ว ก่อนที่จะวิวัฒนาการเป็นสัตว์เลื้อยคลานต่อไป[3]

ภาพแสดงให้เห็นถึงการวิวัฒนาการของปลามาอยู่บนบกจนกลายมาเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และกลายเป็นสัตว์เลื้อยคลานในที่สุด

อันดับของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก

  • Anura หรือ อันดับกบ

เป็นอันดับของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งรวมถึง คางคก, อึ่ง และเขียดหรือปาดด้วย มีรูปร่างโดยรวมคือ มีสี่ขา ขาหลังขาวใหญ่และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงใช้กระโดดได้ระยะไกล โดยมุมที่กระโดดได้มีความสูงที่สุด คือ 90 องศา กับพื้นราบ ส่วนการกระโดดที่ไกลที่สุดคือ เมื่อทำมุม 45 องศา กับพื้นราบ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับอัตราการเร่งและหดตัวของกล้ามเนื้อ[4] ระหว่างนิ้วมีพังผืดเชื่อมติดกันเพื่อช่วยในการว่ายน้ำ ตาโต ปากกว้าง เป็นสัตว์ที่ดูเหมือนว่าไม่มีคอ ในตัวผู้มีต่อมที่ลำคอทั้งสองข้างใช้ในการส่งเสียงร้องได้ เพื่อเรียกความสนใจของตัวเมียเพื่อการผสมพันธุ์และวางไข่ วางไข่ในน้ำ ไข่ติดกันเป็นพวงเหมือนเม็ดแมงลัก วัยอ่อนมีหางเหมือนปลาและมีพู่เหงือกใช้ในการหายใจเห็นชัดเจน มี 2 ชุด เรียกว่า "ลูกอ๊อด" บางจำพวก เช่น ปาดอาจวางไข่เพียงครั้งละฟองบนน้ำค้างบนใบไม้ เมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วจะไม่มีหาง

กบในประเทศไทยใช้เนื้อในการรับประทานของมนุษย์เป็นอาหาร มีหลายชนิด ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี อาทิ กบภูเขา (Limnonectes blythii) ซึ่งเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชนิดที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในประเทศไทยด้วย, อึ่งปากขวด (Glyphoglossus molossus), กบนา (Hoplobatrachus rugulosus) ซึ่งนิยมเพาะเลี้ยงกันเป็นสัตว์เศรษฐกิจ

ปัจจุบันมีการค้นพบและอนุกรมวิธานแล้วกว่าเกือบ 4,800 ชนิด นับว่ามีความหลากหลายที่สุดของสัตว์ในชั้นนี้[5]

  • Caudata หรือ อันดับซาลาแมนเดอร์และนิวต์

เป็นอันดับของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกอีกอันดับหนึ่ง มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับจิ้งจกที่เป็นสัตว์เลื้อยคลาน จึงได้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งในภาษาไทยว่า "จิ้งจกน้ำ" หรือ "จั๊กกิ้มน้ำ" กล่าวคือ เมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วก็ยังมีหาง ในขณะที่ยังเป็นวัยอ่อนก็มีรูปร่างไม่ได้ต่างอะไรกับตัวเต็มวัย แต่สภาพของพู่เหงือกจะมีความแตกต่างกันออกไปตามสภาพถิ่นที่อยู่ โดยพวกที่วางไข่ในแหล่งน้ำนิ่งหรือบกบก เหงือกได้ลดรูปและช่องเหงือกปิดก่อนหน้าจะเป็นตัวฟักออกจากไข่ สำหรับพวกที่อาศัยในแหล่งน้ำไหลมีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูง จะมีได้ทั้งเหงือกขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีทั้งแบบเป็นพู่คล้ายขนนก แต่ในจำพวกที่ต้องอาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลา จะไม่เปลี่ยนรูปร่างของเหงือกไปตามวัย แม้จะมีปอดขึ้นมาแล้วก็ตาม [6]

ซึ่งสัตว์ในอันดับนี้ในประเทศไทยมีพบเพียงชนิดเดียวเท่านั้น คือ กะท่าง หรือ จิ้งจกน้ำดอยอินทนนท์ (Tylototriton verrucosus) ซึ่งจะพบได้เฉพาะลำธารในเขตภูเขาสูงของภาคเหนือของประเทศเท่านั้น และต่อมาได้มีการค้นพบเพิ่มอีกที่แอ่งน้ำในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งตัวผู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงฤดูผสมพันธุ์จะมีสีสันที่สดใสสวยงามมาก นอกจากนี้แล้ว สัตว์ในอันดับนี้ถือได้ว่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำทะเทินบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย คือ ซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน (Andrias davidianus) ที่อยู่ในวงศ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ (Cryptobranchidae) เมื่อโตเต็มที่อาจมีความยาวได้ถึงเกือบ 2 เมตร อาศัยอยู่เฉพาะในลำธารน้ำที่ใสสะอาดแถบภาคกลางและภาคใต้ของป่าดิบชื้นในจีนเท่านั้น

อนึ่ง คำว่า "ซาลาแมนเดอร์" นั้น มีที่มาจากเทพปกรณัมกรีกคือ ตัวซาลาแมนเดอร์ ที่เป็นสัตว์ในตำนานที่เมื่ออยู่ในไฟก็ไม่ตาย ส่วนคำว่า "นิวต์" นั้นจะใช้เรียกซาลาแมนเดอร์ที่มีขนาดเล็ก เช่น กะท่าง เป็นต้น[7] ปัจจุบันมีการจำแนกและอนุกรมวิธานแล้วกว่า 580 ชนิด [8]

  • Gymnophiona หรือ อันดับเขียดงู

เป็นอันดับที่มีรูปร่างคล้ายเหมือนปลาไหลหรืองูที่เป็นสัตว์เลื้อยคลาน เพราะมีลำตัวเรียวยาวไม่มีขาหรือเกล็ด ตามีขนาดเล็ก ทำให้ส่วนใหญ่เมื่อมีผู้พบเห็นเข้าใจผิดอยู่เสมอว่าเป็นงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน พบได้ในทั่วโลก มีลำตัวเป็นปล้อง โดยปล้องโดยทั่วไปมีขนาดจำนวนเท่ากับปล้องของกระดูกสันหลัง แต่บางชนิดอาจมีปล้องจำนวน 2 หรือ 3 ปล้องต่อกระดูกสันหลังปล้องเดียวก็ได้ ในบางชนิดที่มีเกล็ด จะเป็นเกล็ดที่ประกอบด้วยคอลลาเจนหลายชั้นฝังและเรียงตัวซ้อนกันในร่องส่วนลึกสุดของปล้องลำตัวปฐมภูมิ โดยเรียงลำดับต่อเนื่องกันในแนวเฉียง

อาศัยทั้งบนบก โพรงดิน ใต้กองใบไม้ หรือในน้ำ ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานได้ 33 สกุล 174 ชนิด ใน 6 วงศ์ จำแนกโดยการใช้รูปร่างโครโมโซม และลักษณะทางโมเลกุล ในประเทศไทยพบได้ 4 ชนิด อยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกันทั้งหมด ชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ เขียดงูเกาะเต่า (Ichthyophis kohtaoensis) [9]

อ้างอิง

รายการอ้างอิง

  1. วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 2
  2. Amphibian diversity and life history. (อังกฤษ)
  3. A supertree of early tetrapods. (อังกฤษ)
  4. วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 115
  5. วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 301
  6. วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 14-42
  7. ดิกชันนารีออนไลน์ โปรแกรมแปลภาษา แปลศัพท์ online English-Thai
  8. วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 14-42
  9. วีรยุทธ์ เลาหะจินดา, 2552: หน้า 303-304

บรรณานุกรม

  • เลาหะจินดา, วีรยุทธ์ (2552). วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ISBN 978-616-556-016-0.

แหล่งข้อมูลอื่น